ว่านพญาแร้งคอดำ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

ว่านพญาแร้งคอดำ งานวิจัยและสรรพคุณ 16 ข้อ

ชื่อสมุนไพร ว่านพญาแร้งคอดำ

ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น  พญาแร้งคอดำ , พญาแร้งคอแดง , ว่านแร้งคอดำ , ว่านพญาแร้ง (ภาคกลาง), ว่านคอแดง , ว่านกระทู้ (ภาคใต้)

ชื่อวิทยาศาสตร์Crinum latifolium Linn.

วงศ์ AMARYLLIDACEAE

ถิ่นกำเนิด ว่านพญาแร้งคอดำจัดเป็นพืชในวงศ์พลับพลึง (AMARYLLIDACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมเป็นบริเวณกว้าง โดยมีถิ่นกำเนิดและกระจายพันธุ์ตั้งแต่ อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ พม่า ไทย เวียดนาม ลาว กัมพูชา จนถึงทางตอนใต้ของจีน ต่อมาจึงได้มีการกระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนต่างๆในอินเดีย เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ รวมถึงมีการแพร่กระจายพันธุ์ไปไกลถึงหมู่เกาะเวสอินดีสอีกด้วย สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้มากในภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคใต้ บริเวณชายป่าที่มีความชื้นสูง และตามสวนสมุนไพรต่างๆ แต่ในปัจจุบันนิยมปลูกเป็นไม้ประดับตามบ้านเรือน

ประโยชน์/สรรพคุณ ปัจจุบันมีความนิยมนำว่านพญาแร้งคอดำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับตามสวนสมุนไพร สวนสาธารณะหรือใช้ประดับตามอาคารสถานที่ต่างๆ เนื่องจาก ว่านพญาแร้งคอดำ มีฟอร์มต้นที่สวยงามเป็นพุ่มแผ่ออก และมีดอกสีขาวกลีบดอกแต้มสีชมพูบานแผ่ปลายกลีบม้วนดูสวยงาม อีกทั้งยังมีการนำมาปลูกในกระถาง เพื่อใช้ประดับภายในอาคารสำนักงานต่างๆ อีกด้วย สำหรับสรรพคุณทางยาของว่านพญาแร้งคอดำนั้น ตามตำรายาไทยและตำรายาพื้นบ้านได้ระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ว่า หัวใช้เป็นยาแก้กษัย แก้ไตพิการ แก้มดลูกหย่อน ปีกมดลูกอักเสบในสตรีหลังคลอด แก้ริดสีดวงทวาร แก้ปวดในข้อ แก้เคล็ดขัดยอก แก้บวม ใช้รักษาฝี ใบใช้แก้อาการปวดหู

รูปแบบ/ชนาดวิธีใช้

  • ใช้เป็นยาแก้กษัย แก้ไตพิการ แก้ริดสีดวงทวาร โดยนำส่วนหัวสด 5 หัว มาดองกับเหล้าขาวโรง 1 ขวดใหญ่ ใช้ดื่มวันละเป๊ก
  • ใช้แก้อาการมดลูกหย่อน ปีกมดลูกอักเสบ ในสตรีที่เพิ่มคลอดบุตรใหม่ๆ โดยนำหัวว่านแร้งคอดำมา 5 หัว หัวว่านชักมดลูก 2 หัวนำมาดองกับเหล้าขาว 1 ขวดใหญ่ ใช้ดื่มวันละเป๊ก
  • ใช้แก้อาการปวดหู โดยนำใบมาคั้นเอาน้ำหยอดหู หรือหัวมาโขลกให้ละเอียด เอาน้ำมาหยอดหูก็ได้
  • ใช้แก้ริดสีดวงทวาร โดยนำหัวมาเผาไฟรอให้อุ่นใช้ทาบริเวณที่เป็น
  • ใช้แก้อาการปวดในข้อ โดยนำหัวมาทุบเผาไฟ ใช้ทาถูนวดบริเวณที่ปวด
  • ใช้รักษาฝี โดยนำหัวมาทุบเผาไฟ แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นฝี
  • ใช้เคล็ดขัดยอก บวกโดยนำหัวมาใช้ฝนทา ถูนวดบริเวณปวดบวมเคล็ดขัดยอก

ลักษณะทั่วไป ว่านพญาแร้งคอดำจัดเป็นไม้ล้มลุกมีหัวใต้ดิน หัวมีลักษณะฉ่ำน้ำคล้ายกับหัวหอมใหญ่ เนื้อในมีสีขาว ผิวของหัวเป็นสีแดง ลำต้นที่โผล่พ้นดิน มีสายวงสีน้ำตาล ตั้งแต่โคนจนถึงปลายต้น โดยบริเวณปลายต้นจะเป็นสีม่วงอมแดงหรือสีแดงและจะมีวงขนาดใหญ่กว่าบริเวณโคนต้น ใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกจากส่วนหัวใต้ดิน คล้ายใบพลับพลึงแต่มีขนาดเล็กกว่า และจะออกซ้อนกันเป็นกาบ โดยใบจะมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานยาวเรียว หรือใบรีแกมรูปขอบขนาน มีขนาดกว้าง 7-10 เซนติเมตร และยาว 50-90 เซนติเมตร โคนใบสอบเรียวปลายใบแหลม ขอบใบเป็นคลื่นบางๆ แผ่นใบบางและห่อเล็กน้อย ใบมีสีเขียวถึงเขียวอมเหลือง บริเวณแนวเส้นกลางใบเป็นร่องลึก และมักจะแตกใบอ่อนตรงส่วนยอดของหัวใต้ดิน ดอกออกเป็นช่อแบบซี่ร่ม มีดอกย่อย 10-20 ดอก ดอกเรื่องยังตูมมีลักษณะเป็นรูปหอกหรือรูปกระสวย เมื่อดอกบานจะคล้ายรูปปากแตร โดยดอกมีกาบหุ้มยาว 7-10 เซนติเมตร ดอกย่อยจะมีกลีบดอก 6 กลีบ แผ่ออกทางด้านปลายดอก และงอม้วนออกดอกมีสีขาวกลีบดอกมีสีขาวตรงกลางกลีบเจือสีชมพูเรื่อๆ ตามแนววงกลีบ และจะมีเกสรเพศผู้ 6 อัน และมีอับเรณูลักษณะเป็นรูปโค้งบริเวณกลางดอก ส่วนก้านช่อดอกมีลักษณะอวบหนา มีความยาว 60-90 เซนติเมตร แทงมาจากส่วนหัวใต้ดิน ผลมีลักษณะฉ่ำน้ำรูปค่อนข้างกลม เบี้ยว ไม่สมมาตร ผิวผลเรียบมีสีเหลืองหรือเขียวอมเหลือง ด้านในผลมีเมล็ด 2-3 เมล็ด

การขยายพันธุ์ ว่านพญาแร้งคอดำสามารถพบได้ เช่น การใช้เมล็ด การใช้หัวปลูกและการแยกหน่อ แต่วิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ การแยกหน่อ และการใช้หัวปลูก ซึ่งเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายและมีอัตราการรอดรวมถึงอัตราการเจริญเติบโตของต้นใหม่ รวดเร็วกว่าวิธีอื่น สำหรับวิธีการแยกหน่อและการใช้หัวปลูกสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการแยกหน่อและการใช้หัวปลูกของพืชหัวชนิดอื่นๆตามที่ได้กว่าถึงมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้

องค์ประกอบทางเคมี มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนหัวและส่วนหัวและส่วนใบของว่านพญาแร้งคอดำ ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น สารกลุ่มแอลคาลอยด์ เช่น crinamine  ,  crinamidine (crinamidine) ,  crinine ,  powelline ,1-O-acetyllycorine , diacetyllycorine , lycorine , hamayne, undulatine, cherylline , crinamidine , crinafoline , crinafolidine , bowdensine และ crinamidine derivatives.  สารกลุ่มสเตอรอล เช่น β-sitosterol , stigmast-5-en-3-β-ol และ campesterol สารกลุ่มไตรเทอร์พีน เช่น lupeol , β-amyrin , β-amyrin-3-β-O-glucoside และ phytol สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ เช่น quercetin และ kaempferol และสารกลุ่มฟีนอร์ลิก เช่น p-hydroxybenzoic acid , p-coumaric acid , ferulic acid และ caffeic acid เป็นต้น    

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาระบุว่าสารสกัดจากส่วนหัวและส่วนหัวและส่วนใบของว่านพญาแร้งคอดำ มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้

ฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็ง   มีรายงานการศึกษาวิจัยหลายฉบับที่ได้ทำการศึกษา ฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งเต้านม และเซลล์มะเร็งอื่นๆของสารสกัดจากส่วนใบและส่วนหัวของว่านพญาแร้งคอดำในหลอดทดลอง พบว่าสารสกัดดังกล่าวสามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์และกระตุ้นการตายของเซลล์แบบ apoptosis ได้ โดยเฉพาะสารในกลุ่ม crinane และ lycorine-type alkaloidsที่พบในสารสกัด

ฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน   มีรายงานการศึกษาวิจัยระบุว่าสารสกัดจากส่วนใบของว่านพญาแร้งคอดำ สามารถกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันบางชนิด และยังสามารถฟื้นฟูการทำงานระบบภูมิคุ้มกันของเซลล์ที่ถูกกดได้ (recovery of immune functions)

ฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ รายงานระบุว่าสารสกัดจากส่วนหัวของว่านพญาแร้งคอดำ มีฤทธิ์ลดการสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบและมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในแบบทดสอบมาตรฐาน DPPH และ FRAP ได้อย่างมีนัยสำคัญ

ฤทธิ์ต้านมะเร็ง มีรายงานการการศึกษาวิจัยโดยการให้สารสกัดจากส่วนใบและส่วนหัวของว่านพญาแร้งคอดำในหนูทดลอง พบว่าสามารถยับยั้งการเจริญของก้อนเนื้อและเพิ่มการทำงานของเซลล์แมคโครฟาจ (macrophage) รวมถึงแสดงผลการลดขนาดเนื้องอกหรือยืดอายุของสัตว์ทดลองในบางโมเดลได้ 

ฤทธิ์ต่อระบบต่อมไร้ท่อ มีรายงานงานทดลอง ระบุว่าพบสัญญาณของฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง (การเพิ่มน้ำหนักมดลูก/ผลต่อการเปิดช่องคลอดในหนู) ในหนูทดลองที่ได้รับสารสกัดจากว่านพญาแร้งคอดำซึ่งแสดงให้เห็นว่าสารสกัดดังกล่าวอาจมีสารที่มี activity ต่อระบบสืบพันธุ์เพศหญิง

ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด / ต้านเบาหวาน  มีการศึกษาวิจัยที่ได้ทำการทดสอบในหนูทดลองที่ชักนำให้เกิดเบาหวานด้วย Streptozotocin จากนั้นป้อนสารสกัดจากส่วนหัวของว่านพญาแร้งคอดำ พบว่าสารสกัดดังกล่าวสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดหนูทดลองได้เล็กน้อย

การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา    มีรายงานการศึกษาวิจัยความเป็นพิษเฉียบพลัน (Acute toxicity / LD₅₀) ของสารสกัดเมทานอลและเอทานอลจากส่วนใบและส่วนหัวของว่านพญาแร้งคอดำในหนู/เม้าส์ โดยทำการป้อนสารสกัดดังกล่าวแก่หนูทางปาก ผลการทดลองสรุปว่ามีค่า LD₅₀> 2000 mg/kg  และไม่พบการตายของหนูทดลอง

ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง 

  1. หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการใช้ว่านพญาแร้งคอดำเป็นยาสมุนไพร(โดยเฉพาะในรูปแบบการรับประทาน) เนื่องจากมีหลักฐานในสัตว์ทดลองถึงฤทธิ์ที่คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง (progesterone) ซึ่งอาจส่งผลต่อมดลูก (uterotrophic effects) อีกทั้งยังไม่มีรายงานยืนยันขนาดการใช้ที่มีความปลอดภัยในมนุษย์อีกด้วย 
  2. ผู้ป่วยมะเร็งที่ไวต่อฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านม ควรหลีกเลี่ยงการใช้ว่านพญาแร้งคอดำเป็นยาสมุนไพร(โดยเฉพาะในรูปแบบการรับประทาน) เพราะมีรายงานการออกฤทธิ์ที่อาจเกี่ยวกับระบบฮอร์โมน ซึ่งอาจทำให้อาการของโรคแย่ลงได้ 
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ส่วนหัวของว่านพญาแร้งคอดำแบบสด ในปริมาณสูงหรือการรับประทานยาดอง(เหล้า)จากส่วนหัวของว่านพญาแร้งคอดำในปริมาณมากเนื่องจากส่วนหัวมีความเข้มข้นของสารกลุ่มแอลคาลอยด์สูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดพิษได้

เอกสารอ้างอิง

  1. เต็ม สมิตินันทน์,ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย.กรมป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้.พิมพ์ครั้งที่2.กรุงเทพฯ.2544..810หน้า.
  2. ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม,ว่านแร้งคอดำ,หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย,ฉบับพิมพ์ครั้งที่5,หน้า729-730.
  3. เศรษฐมนตร์ กาญจนกุล,ว่าน,กทม.เศรษฐศิลป์.2553.หน้า109
  4. Jenny, M., M., et al. (2011). Crinum latifolium leaf extracts suppress immune activation and tumor cell growth. Pharmaceuticals (Basel), 4(3), 323–336.
  5. Jørgensen, et al. (J-Stage paper). (Year). Alkaloidal constituents of Crinum latifolium — list of isolated bases (crinamine, powelline, crinine, 1-O-acetyllycorine, hamayne, undulatine, cherylline). Chemical & Pharmaceutical Bulletin. pp. 3015.
  6. Chaichompoo, W., et al. (2024). Amaryllidaceae alkaloids from the bulbs of Crinum species. Journal of Natural Products / Phytochemistry.
  7. ResearchTrend / IJRPR reviews (2023–2024). Crinum latifolium: An updated review on pharmacognosy, phytochemistry and pharmacological profile.      
  8. Gasca-Silva, C. A. (2022). Recent updates on Crinum latifolium L. (Amaryllidaceae). ScienceDirect review, 2022.
  9. Thongphichai, W., et al. (2022). Standardization of the ethanolic extract of Crinum latifolium leaves and investigation of antiproliferative activity. BMC Complementary Medicine and Therapies.
  10. Masi, M., et al. (2020). Advances in the chemical and biological characterization of Amaryllidaceae alkaloids.