โนรา ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

โนรา งานวิจัยและสรรพคุณ 9 ข้อ

ชื่อสมุนไพร โนรา

ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น  กำลังช้างเผือก , พญาช้างเผือก ,สะเลา (ภาคเหนือ),แหนปีก (ภาคอีสาน)

ชื่อวิทยาศาสตร์Hiptage benghalensis (L.) Kurz.

ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์Hiptage benghelensis var. benghalensis

ชื่อสามัญHiptage

วงศ์MALPIGHIACEAE

ถิ่นกำเนิด  โนราจัดเป็นพืชในวงศ์โนรา (MALPIGHIACEAE) ซึ่งเป็นวงศ์ที่มีพืชต่างๆมากกว่า 1250 ชนิด โดยถิ่นกำเนิด ดั้งเดิมของโนรานั้น พบว่ามีถิ่นกำเนิดเป็นบริเวณกว้าง ในเขตร้อน และกึ่งเขตร้อนของทวีปเอเชีย อาทิเช่น ตั้งแต่อินเดีย พม่า ไทย ลาว เวียดนามจีนตอนใต้ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ลงมาจนถึงมาเลเซีย สำหรับในประเทศไทสามารถพบได้ทั่วทุกภคของประเทศบริเวณป่าดิบเขา ป่าโปร่ง ป่าผลัดใบ รวมถึงบริเวณป่าชายหาด ที่มีระดับความสูง จากระดับน้ำทะเลไปจนถึง 2000 เมตร

ประโยชน์/สรรพคุณ  โนราถูกนำมาปลูกเป็นไม้ประดับกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากดอกมีความสวยงามและยังมีกลิ่นหอมสดชื่อตลอดวัน โดยเฉพาะตอนเย็นจะหอมมาก และในการออกดอกของโนราจะออกดอกจำนวนมาก และจะทยอยบานทำให้มีเวลาอยู่บนต้นนานกว่าไม้หอมชนิดอื่นๆ ส่วนประกอบอีกอย่างหนึ่งของโนรา คือ เป็นยาสมุนไพร โดยในตำรายาไทย และตำรายาพื้นบ้านได้ระบุถึงสรรพคุณของโนราเอาไว้ว่า

  • แก่นมีรสร้อนขื่น ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงธาตุในร่างกาย บำรุงกำหนัด บำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น บำรุงโลหิต แก้อาการอ่อนเพลีย ช่วยขับลม แก้อาการจุกเสียดแน่นเฟ้อ
  • เปลือกต้น ใช้บำรุงโลหิต ทำให้โลหิตร้อน บำรุงธาตุ บำรุงเส้นเอ็น รักษาแผลสด
  • ใบมีรสร้อนขื่น ใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง รักษาหิด รูมาติก 

นอกจากนี้ในตำราอายุรเวทของอินเดียยังระบุถึงสรรพคุณของโนราเอาไว้ว่า ช่วยบำรุงหัวใจ ต้านการอักเสบ บรรเทาอาการแสบร้อนแผล แก้ไอหอบหืด ใช้เป็นยาฆ่าแมลง  ช่วยขับเสมหะ แก้แผลในกระเพาะอาหาร แก้อาการคัน แก้หิด โรคเรื้อน มีฤทธิ์ฝาดสมาน

รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้  ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง บำรุงกำหนด บำรุงโลหิต บำรุงเส้นเอ็น แก้อาการอ่อนเพลีย ทำให้เจริญอาหาร ขับลม แก้จุดเสียดแน่นเฟ้อ โดยนำแก่นมาต้มกับน้ำดื่ม หรือใช้ดองกับเหล้ากิน วันละ 1-2 เป๊ก ใช้บำรุงโลหิต ทำให้โลหิตร้อน บำรุงธาตุ บำรุงเส้นเอ็น โดยนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้รักษาแผลสด โดยนำเปลือกต้นสดมาตำพอกบริเวณที่เป็นแผล ใช้แก้โรคผิวหนังต่างๆ เช่น หิด กลาก เกลื้อน โดยนำใบสดมาตำพอก หรือทาบริเวณที่เป็น

ลักษณะทั่วไป  โนรา จัดเป็นไม้พุ่มรอเลื้อย หรือไม้เถาขนาดใหญ่ โดยสามารถเลื้อยไปได้ถึง 10 เมตร  เถามีลักษณะกลมเกลี้ยงสีเขียว เนื้อแข็งมักจะแตกกิ่งก้านขนาดเล็กจำนวนมาก ซึ่งกิ่งก้านมักจะห้อยลง ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกันบนกิ่งก้าน ใบมีลักษณะเป็นรูปใบหอกหรือรูปรีแกมขอบขนาน มีขนาดกว้าง 4-6 เซนติเมตร ยาว 10-15 เซนติเมตร โคนใบสอบ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบมีสีเขียวด้านบนเกลี้ยง ส่วนท้องใบมีขนเล็กๆ ขึ้นปกคลุมและมีต่อมเล็กๆ อยู่ใกล้ฐานใบ ใบอ่อนมีสีน้ำตาล และมีก้านใบยาว 0.5-1.5 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อบริเวณซอกใบและปลายกิ่ง โดยช่อดอกจะยาว 5-30 เซนติเมตร ซึ่งใน 1 ช่อดอกจะมีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกย่อยมีกลีบดอกรูปขนาน ขนาดไม่เท่ากัน จำนวน 5 กลีบ กลีบข้างจะพับลง ปลายกลีบเป็นฝอย แผ่นกลีบดอกมักจะยู่ยี่มีสีขาวหรือสีชมพูอ่อนกลางดอกเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมแบบอ่อนๆ คล้ายกลิ่นดอกส้มโอ บริเวณกลางดอกมีเกสรเพศผู้ 10 ก้าน มี 1 ก้าน ที่ยาวเป็นพิเศษ มีกลีบรองดอกรูปไข่ ยาว 25 มิลลิเมตร จำนวน 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน ผลเป็นผลแห้งรูปกระสวยปลายแหลม สีแดง มีปีก 3 ปีกกลางมีขนาดใหญ่ ส่วน 2 ปีกด้านข้าง มีขนาดเท่ากัน ปีกทั้ง 3 เมื่อผลยังอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อผลแก่จะเป็นสีน้ำตาล

การขยายพันธุ์  โนราสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธีอาทิเช่น การเพาะเมล็ด การปักชำ และการตอนกิ่ง แต่วิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ การตอนกิ่ง เนื่องจากเป็นวิธีที่ประหยัด เนื่องจากไม่ต้องใช้ฮอร์โมนช่วย ทำได้ง่ายและมีอัตราการรอดสูง สำหรับวิธีการตอนกิ่งโนรานั้นสารถทำได้เช่นเดียวกันกับการตอนก่งไม้พุ่มหรือไม้เถาต่างๆ ซึ่งได้กล่าวถึงมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้  ส่วนการปลูกนั้น เริ่มจากการนำเอาต้นกล้าที่ได้จากการเพาะเมล็ด ที่ได้จากการตอนมาปลูกลงดิน โดยขุดหลุมกว้างและลึกประมาณ 30x30 เซนติเมตร จากนั้นรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก กลบดินเล็กน้อย แล้ววางต้นกล้าหรือกิ่งปักชำลงกลางหลุม แล้วกลบดินพอมิด รดน้ำให้ชุ่ม

องค์ประกอบทางเคมี  มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากเปลือกต้น รากกิ่งและลำต้น ของโนราระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น มีรายงานระบุว่า สารสกัดจากเปลือกต้นและรากของโนรา พบสาร Hiptagin ,  Mangiferin ส่วนอีกรายงานฉบับหนึ่งระบุว่าสารสกัดจาก  กิ่ง,ลำต้น และเปลือกต้น ของโนราพบ สารกลุ่ม Triterpenes เช่น friedelin, epifriedelin, lupeol, betulonic acid และ betulone และยังพบสารกลุ่ม sterols เช่น β-sitosterol , stigmasterol (24R)-24-propylcholesterol และพบสารกลุ่ม flavonoids และ phenolics  เช่น Kaempferol ,Quercetin ,Pomolic acid และ Javablumine A-77 เป็นต้น        

การศึกษาทางเภสัชวิทยา  มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนใบ เปลือกต้น และลำต้น ของโนราระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยในหลอดทดลอง เกี่ยวกับฤทธิ์ต้านมะเร็ง ของสารสกัดเมทานอลจากลำต้น และเปลือกลำต้นของโนรา ระบุว่า สามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งหลายสายพันธุ์ เช่น สายพันธุ์ HeLa, MCF-7, IMR-32 ในการทดสอบ แบบ MTT และมีการศึกษาวิจัยในหลอดทดลอง เกี่ยวกับฤทธิ์ต้านการอักเสบ ของสารกลุ่ม triterpenes และอนุพันธ์ที่แยกได้จากเปลือก ลำต้นและ ลำต้นของโนราพบว่าสามารถยับยั้งการสร้าง Nitric oxide และ prosta glandin E2 ที่เป็นต้นเหตุของการอักเสบ และลดการแสดงออกของเอนไซม์ iNOS และเอนไซม์ COX-2 ในเซลล์มาโครฟาจ (RAW 264.7) ได้อีกด้วย และมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ต้านเบาหวาน (antidiabetic) ของสารสกัดเอทานอลจากลำต้นและใบของโนราในหนูทดลองที่ถูกชักนำให้เป็นเบาหวานโดย Strepto zotocin พบว่าสารสกัดดังกล่าวมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เมื่อให้ทางปากในขนาด 100–200 mg/kg/วัน

นอกจากนี้ยังมีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพของส่วนลำต้น และเปลือกต้นของโนรา พบว่ามีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคในกลุ่ม Stophylococus epidemidis , S mutans Proteus vulgaris Bacillus subtilis , Pseudomonas oeruginasa , Samonella typhi, Klebsiella pneumonia และ   Proteus vulgaris เป็นต้น

การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา  ไม่มีข้อมูล

ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง  สำหรับการใช้โนราเป็นยาสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคต่างๆนั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาด/ปริมาณที่เหมาะสม ที่ได้ระบุไวในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป หรือใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้

อ้างอิงโนรา

  1. ดร. วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม. พจนานุกรมไม้ดอกไม้ประดับ. 2542 หน้า (396)
  2. พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ.โนรา,หนังสือสมุนไพรใมนอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ.หน้า129.
  3. ปิยะ เฉลิมกลิ่น และคณะ. 2546. หอมกลิ่นดอกไม้เมืองไทย. จัดพิมพ์โดยโครงการ BRT
  4. สุรางค์รัตน์ พันแสง และพวงผกา แก้วกรม. 2561. ฟลาโวนอยด์และฟินอลิกในส่วนต่างๆ ของต้นกำลังช้างเผือกและผลต่อลิมโฟไซต์และโมโนไซต์ในหนู, วารสารนเรศวรพะเยา. 12(1): 10-12.
  5. ฐิติมา ละอองฐิติรัตน์, ศสมล ผาสุข และปุณยนุช นิลแสง, 2563. ประสิทธิภาพของเจลผสมสารสกัดหยาบโนราในการยับยั้งแบคทีเรียก่อโรค. วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์. 15(1): 99-113,
  6. La-ongthitirat, T., S. Phasuk, and P. Nilsang. 2019. Antimicrobial activity of Hiptage candicans (Hook f.) Sirirugsa crude extracts against human pathogen. pp. 542-554. In the Proceeding of the 3d National and International Research Conference 2019 (NIRC |I 2019) 1 February 2019. Burrirum, Thailand.
  7. Desai, D. J., Rajmane, R. B., Hangargekar, C. B., & Joshi, A. A. (2023). A comprehensive review of Hiptage benghalensis (L.) Kurz. Research Journal of Pharmacognosy and Phytochemistry, 15(2), 61–68.
  8. Sirirugsa, P. (1991). Malpighiacee. In Flora of Thailand Vol. 5(3): 277-279.
  9. Bhukya, B.R., and N.R. Yella. 2018. Evaluation of anticancer activity of methanolic extract of Hiptage benghalensis(L.) Kurz on cancer cell line. Pharmacognosy Research. 10: 309-313.
  10. Ngente, L., Chaiyara, S., & Pattaradilokrat, S. (2012). Insecticidal and repellent activity of Hiptage benghalensis (L.) Kurz. Asian Pacific Journal of Tropical Biomedicine, 2(5), 389–394.
  11. Tem Samitinand. Thai Plant Names. Revised Edition 2001. 810 p. (277)
  12. Meena, A.K., J. Meena, A. Jadhav, and M.M. Padhi. 2014. A review on Hiptage benghalensis (Madhavilata) used as an  Ayurvedic drug. Asian Journal of Pharmacy and Technology. 4(1): 28-31.
  13. Hridi, S. U., Karmoker, J. R., Akter, M. S., & Sultana, S. (2013). Phytochemical screening and investigation of the central and peripheral analgesic and anti-inflammatory activity of ethanol extract of Hiptage benghalensis (L.) Kurz. Journal of Pharmaceutical Research International, 3(4), 987–996.
  14. Chen, S.K. and M. Funston. (2008). Malpighiaceae. In Flora of China Vol. 11: 136.
  15. Hse, C.L., S.C. Fang, H.W. Huang, and G.C. Yen. 2015. Anti-inflammatory effects of triterpenes and steroid compounds isolated from the stem bark Hiptage benghalensis. Journal of Functional Foods. 12: 420-427