โบตั๋น ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
โบตั๋น งานวิจัยและสรรพคุณ 13 ข้อ
ชื่อสมุนไพร โบตั๋น
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น โบตั๋นจีน, นางพญานิรมล (ไทย), เป่ยเช่า, บ๊อต้น, หมู่ต้น (จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Paeonia lactiflora Pall.
ชื่อสามัญ Peony, Common garden peony, Chinese peony
วงศ์ PAEONIACEAE
ถิ่นกำเนิดโบตั๋น
โบตั๋น จัดเป็นพืชในวงศ์ PAEONIACEAE ที่มีอยู่หลายชนิดและสายพันธุ์ โดยคาดกันว่ามีด้วยกันกว่า 30 ชนิด/สายพันธุ์ เช่น โบตั๋นยุโรป (Paeonia officinalis), โบตั๋นกรีม (Paeonia parnassica), โบตั๋นญี่ปุ่น (Paeoniajaponica), โบตั๋นแคลิฟอเนีย (Paeonia californica) เป็นต้น แต่โบตั๋นที่จะกล่าวถึงในบทความนี้ คือ โบตั๋น ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Paeonia lactiflora Pall. หรือ โบตั๋นจีน ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเมืองลั่วหยางประเทศจีน โดยมีความสำคัญขนาดที่นับว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของจีนชนิดหนึ่ง และยังเป็นดอกไม้ประจำชาติของจีนอีกด้วย
ประโยชน์และสรรพคุณโบตั๋น
- ช่วยบำรุงตับ
- ช่วยให้ผ่อนคลายอารมณ์
- แก้โรคตับ
- ช่วยปรับอารมณ์ปรับประสาท
- แก้อาการไข้
- ช่วยรักษาโรคหืด
- ช่วยรักษาโรคไขข้อ
- แก้โรคแพ้ภูมิตัวเอง
- รักษาโรคตับอักเสบ
- แก้อาการปวดประจำเดือน และประจำเดือนมาไม่ปกติ
- แก้อาการชักเป็นตะคริว และอาการกระตุก ของกล้ามเนื้อ
- ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นเปล่งปลั่ง
- ช่วยลดรอยคล้ำรอบดวงตา
โบตั๋นนั้นพบว่ามีการใช้รากโบตั๋นเป็นยาสุมไพรในประเทศจีนมานาน กว่า 1,200 ปีมาแล้ว โดยอีกทั้ง โบตั๋น ยังถูกนำมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ หลายประการมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว โดยในปัจจุบัน โบตั๋นได้รับความนิยมอย่างมากในการนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ หรือ นำมาใช้จัดชื่อดอก หรือ นำมาตกแต่งตามงานต่างๆ เนื่องจากดอกโบตั๋น มีความสวยงามและมีกลิ่นหอม อีกทั้งยังมีหลากหลายตามสายพันธุ์อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการนำดอกโบตั๋น มาใช้เป็นส่วนผสมในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงาม โดยมักจะนำไปใส่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น โลชั่นทาผิว ครีมทาหน้า แชมพู เจลอาบน้ำ ฯลฯ เพื่อทำความสะอาด และเพิ่มความชุ่มชื้นในกับผิว และยังมีการนำผลจากรากโบตั๋น มาใช้เป็นเครื่องปรุงในอาหารจีน โดยจะให้รสหวานอีกด้วย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
ในการนำรากโบตั๋นมาทำเป็นยาสมุนไพรที่เรียกว่าเป่ยเช่านั้นจะมีวิธีการดังนี้
ขุดรากของโบตั๋น ที่มีอายุ 4-5 ปี ขึ้นมาในฤดูร้อน หรือ ฤดูใบไม้ร่วง แล้วล้างทำความสะอาด จากนั้นลอกเปลือกออกแล้วนำมาต้มในน้ำ ตากแดดให้แห้งแล้วหั่นเป็นชิ้น จึงสามารถนำไปใช้เป็นยาได้ โดยมีวิธีการนำไปใช้ดังนี้ นำไปบดเป็นผงใช้ชงดื่ม หรือ รับประทานเป็นยาผง หรือ อาจนำเครื่องยาที่เตรียมได้มาต้มกับน้ำดื่ม หรือ นำมาใช้ชงดื่มแบบชา ก็จะให้สรรพคุณตามที่ได้กล่าวมาแล้ว เช่นเดียวกัน
ลักษณะทั่วไปของโบตั๋น
โบตั๋น จัดเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ส่วนรากใต้ดินอวบน้ำมีขนาดใหญ่กว่าลำต้น ส่วนลำต้นมีความสูง 60-100 เซนติเมตร ลำต้นมีสีเขียวลักษณะกลมคล้ายต้นกุหลาบ แต่ไม่มีหนาม
ใบโบตั๋น เป็นใบประกอบขนาดใหญ่ยาว 20-40 เซนติเมตร ใบเป็นรูปใบหอกมีสีเขียว โคนใบและปลายใบแหลม ขอบใบเป็นหยักลึก 3 แฉก
ดอกโบตั๋น เป็นดอกเดี่ยวมีขนาดใหญ่และกลม เมื่อดอกบานจะเปิดออกมีขนาดใหญ่ โดยจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8-16 เซนติเมตร และมีกลิ่นหอม กลีบดอกสีขาว ชมพู หรือ แดงเข้มแล้วแต่สายพันธุ์ กลีบดอกจะมี 5-10 กลีบ เรียงซ้อนนกันเป็นชั้นๆ มีเกสรตัวผู้สีเหลือง อยู่ตรงกลางดอกจำนวนมาก
ผลโบตั๋น เป็นผลแห้งที่เรียกว่า follicle ซึ่งผลเมื่อแก่ หรือ สุกจะแตกออกตามแนวยาว ด้านในมีเมล็ด 1-3 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะกลม สีดำผิวเรียบแข็ง
การขยายพันธุ์โบตั๋น
โบตั๋น สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้รากและการใช้เมล็ด แต่วิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือการแบ่งรากมาปลูก ทั้งนี้โบตั๋นเป็นพืชที่ต้องการแสงแดดจ้า อย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวัน และเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนที่มีความอุดม สมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี และเคล็ดลับการปลูกควรฝั่งรากโบตั๋น ให้ลึกลงไปจากดินไม่เกิน 2 นิ้ว
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของรากและสารสกัดจากส่วนรากของโบตั๋น ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด เช่น ส่วนรากพบสาร Paeoniflorin, paeoniflorigenone, paeonol, pyrethrin, palbinone, casuariin, pedunculagin, pentagalloylglucose, albiflorin, strictinin, casuarictin, benzoic acid, methyl gallate, glycoside oxypaeoniflorin, 1-O-galloyl-beta-d-glucose, 1,2,3-tri-O-galloyl-β-d-glucose, 1,2,3,4,6-pentagalloylglucose และ 1,2,6-tri-O-galloyl-β-d-glucose ส่วนสารสกัดน้ำและสารสกัดเอธานอลจากรากของโบตั๋น พบสารต่างๆ ได้แก่ paeoniflorin, albiflorin, oxypaeoniflorin, paeonol, oxybenzoyl-paeoniflorin, paeoniflorigenone, galloylpaeoniflorin, benzoylpaeoniflorin, paeonin, paeonolide และ lactiflorin
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของโบตั๋น
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาจากส่วนรากและสารสกัดโบตั๋น จากส่วนรากของระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการ ดังนี้
ฤทธิ์ต้านความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ มีรายงานผลการศึกษาฤทธิ์ต้านความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ (Posttraumatic stress disorder; PTSD) จากสาร albiflorin ซึ่งแยกได้จากส่วนรากของเป่ยเช่า หรือ โบตั๋นจีน (Paeonia lactiflora Pall) ในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะ PTSD ด้วยโมเดล single prolonged stress (SPS) โดยกรอกสาร albiflorin เข้าทางกระเพาะอาหารของหนูวันละครั้ง ในขนาด 3.5, 7 และ 14.0 มก./กก. หลังจากการทำให้เกิดภาวะเครียดด้วย SPS เป็นเวลานาน 12 วัน (วันที่ 2-13) ทำการประเมินพฤติกรรมของหนูเช่นความกลัว และวิตกกังวลด้วย contextual fear paradigm (CFP) ในวันที่ 8 และ 9, elevated plus-maze test (EPMT) ในวันที่ 11 และ open-field test (OFT) ในวันที่ 13 หลังจากจบการทดลองหนูจะถูกฆ่าและทำการวัดระดับของสาร allopregnanolone (สาร allopregnanolone มีผลลดความกังวลและลดอารมณ์ซึมเศร้า) ในสมองส่วน prefrontal cortex, hippocampus และ amygdala จากผลการทดลองพบว่าสาร albiflorin ที่ขนาด 7 และ 14.0 มก./กก. ทำให้พฤติกรรมที่ผิดปกติจากการเหนี่ยวนำด้วย SPS ลดลง และทำให้ระดับของสาร allopregnanolone ที่ลดลง กลับเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้สามารถสรุปได้ว่า สาร albiflorin มีฤทธิ์ต้านความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ ซึ่งคาดว่ากลไกน่าจะเกี่ยวข้องกับการเพิ่มการสร้างสาร allopregnanolone ในสมอง
ฤทธิ์ลดอาการปวด มีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า สาร paeoniflorin ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในรากของโบตั๋นมีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการปวดท้องที่เกิดจากภาวะลำไส้ใหญ่บวม (colonectal distention, CRD) ในหนูทดลองที่มีอาการปวดที่ช่องท้อง นอกจากนี้ฤทธิ์ลดอาการปวดของ paeoniflorin ยังถูกควบคุมอย่างน้อยบางส่วนโดยตัวรับอะดีโนซีน A1
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ มีรายงานผลการศึกษาวิจัย ระบุว่าสาร paeoniflorin ซึ่งเป็นสารที่เป็นองค์ประกอบหลักของรากโบตั๋น มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการผลิต NO และ PGE2 จากเซลล์ไมโครฟาจ RAW 264.7 ที่กระตุ้นด้วย LPS
ฤทธิ์ปรับภูมิคุ้มกัน มีรายงานผลการศึกษาวิจัย ในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดน้ำและเอธานอลจากส่วนรากของโบตั๋นมีผลสองประการต่อการแบ่งตัวของเซลล์ม้ามของหนูที่เกิดจากการใช้ concanavalin A (ConA) โดยจะช่วยเพิ่มการแบ่งตัวในความเข้มข้นที่ต่ำกว่า (0.05∼0.4 มก./ล.) แต่จะทำการยับยั้งการแบ่งตัวในความเข้มข้นที่สูงขึ้น (0.4∼1.6 มก./ล.) ในลักษณะที่ขึ้นกับขนาดยา นอกจากนี้สารสกัดดังกล่าว ยังเพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์ T ทั้งเซลล์ T ตัวช่วย (Th) และเซลล์ T ตัวกด (Ts) และย้อนกลับผลการยับยั้งของ cyclosporine A ต่อการแบ่งตัว Th และผลการยับยั้งของ levamisole ต่อการแบ่งตัว Ts ซึ่งจะเพิ่มอัตราส่วนของ Th/Ts ที่ความเข้มข้นที่ต่ำกว่า (0.2 มก./ล.) แต่ลดอัตราส่วนของ Th/Ts ที่ความเข้มข้นที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ยังมีรายงานระบุว่าสาร Penta-O-galloyl-β-D-glucose (PGG) ที่เป็นสารที่พบปริมาณสูงในสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ยังมีผลต่อการทำงานของนิวโทรฟิล (สาเหตุของการอักเสบส่วนหนึ่งมาจากการทำงานของนิวโทรฟิล ซึ่งเป็นเม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ ทำลายเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย โดยกระตุ้นการหลั่ง proteolytic enzymes, pro-inflammatory mediators, adhesion molecules และการผลิตอนุมูลอิสระ (reactive oxygen species [ROS]) จึงทำให้เกิดการอักเสบตามมา) ที่ถูกกระตุ้นด้วย lipopolysacharide (LPS) และ angiotensin II (Ang II) และที่ไม่ถูกกระตุ้น โดยวัดระดับอนุมูลอิสระ[ROS], เอ็นไซม์ metalloproteinase-9 (MMP-9), ไซโตไคน์ interleukin-8 (IL-8) และวัดการแสดงออกของ adhesion molecules ได้แก่ β2 integrin (CD11b) และ L-selectin (CD62L) ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบ นอกจากนี้ยังวัดการเกิด apoptosis ในการทำลายนิวโทรฟิล ผลการทดสอบพบว่า PGG ที่ความเข้มข้น 5 μM-20 μM มีผลยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระ (ROS) การหลั่ง IL-8 ในนิวโทรฟิลที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS และ Ang II ได้ แต่ไม่มีผลต่อการปริมาณ MMP-9 สาร PGG ยังสามารถลดการแสดงออกของ β2 integrin และกระตุ้นการเกิด apoptosis ในนิวโทรฟิลที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS และลดการแสดงออกของ L-selectin ซึ่งเป็นโมเลกุลยึดเกาะที่ปรากฎบนผิวเซลล์ ส่งผลให้ป้องกันการเกาะติดของนิวโทรฟิลที่เซลล์เยื่อบุผิวของผนังหลอดเลือด ดังนั้นผลการทดลองจึงสรุปได้ว่าสาร PPG ที่พบได้สูงในโบตั๋น มีฤทธิ์ในการต้านการเกิดการอักเสบโดยการลดการทำงานของนิวโทรฟิล
การศึกษาทางพิษวิทยาของโบตั๋น
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของส่วนต่างๆ ของโบตั๋น ระบุว่าสาร paeonol ที่พบในทุกส่วนของโบตั๋น มีความเป็นพิษปานกลางต่อมนุษย์ หากรับประทานสดๆ โดยอาจก่อให้เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์ได้ โดยเฉพาะอาการในระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย นอกจากนี้ยังอาจพบการระคายเคืองผิวหนัง หรือ เป็นผื่นได้อีกด้วย
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
สรรพคุณของโบตั๋น ในตำรับยาแผนโบราณของจีน มีสรรพคุณเป็นตัวทำให้เลือดแข็งตัว เพื่อรักษาอาการปวดประจำเดือน รักษาแผลเลือดออก และเลือดกำเดาไหล ซึ่งสรรพคุณทางยานี้อาจไม่เป็นผลดีต่อผู้ที่รับประทานยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด หรือ ผู้หญิงที่มีปัญหาประจำเดือนมากระปริกระปรอย
เอกสารอ้างอิง โบตั๋น
- พจนานุกรม จีน-ไทย ฉบับใหม่ โดย เธียรชัย เอี่ยมวรเมธ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: บริษัท รวมสาส์น (1977) จำกัด, 2537.
- สุภกร บุญยืน, ธนัทภัทร เพชรรัตน์, ละมัย พวงบุรี, อธิคุณ ศรีไพร. การต้านอนุมูลอิสระและการต้านแบคทีเรียของสารสกัดจากโบตั๋น, วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 1. มกราคม-เมษายน 2558. หน้า 37-45.
- ฤทธิ์ต้านความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใย (PTSD) จากสาระสำคัญของเป่ยเช่า. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร. สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- ผลของสาร Penta-o-galloyl-β-D-glucose (PGG) ในการลดการแสดงออกของ L-selectin ที่มีผลต่อการทำงานของนิวโทรฟิล (neutrophils). ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร. สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- Wang X. W., Chen M. Z., Xu S. Y. (1992). The effects of total glucosides’ of paeony (TGP) on T lymphocyte subsets. Zhongguo Yao Li Xue Tong Bao 8, 340–343, 314 (in Chinese).
- Aiko, S., Tsukasa, S., Eiichi, S., Noriyuki, Y., Kazumi, Y. and Tadashi, T., 1991, Inhibitory effect of peony root extract on pentylenetetrazol-induced EEG power spectrum changes and extracellular calcium concentration changes in rat cerebral cortex, J. Ethnopharmacol. 33; 159-167.
- Tan J., Zhao Q., Yang L., Shang Z., Du Z., Yan M. (2010). Chemical constituents in roots of Paeonia lactiflora. Zhong Cao Yao 41, 1245–1248 (in Chinese).
- Sasaki, Sanmi. 2005. Chado: The Way of Tea: A Japanese Tea Master's Almanac. Translated from the Japanese by Shaun McCabe and Iwasaki Satoko. Boston: Tuttle. Page 247.
- Zhang X. J., Chen H. L., Li Z., Zhang H. Q., Xu H. X., Sung J., Bian Z. X. (2009). Analgesic effect of paeoniflorin in rats with neonatal maternal separation-induced visceral hyperalgesia is mediated through adenosine A1 receptor by inhibiting the extracellular signal-regulated protein kinase (ERK) pathway. Pharmacol. Biochem. Behav. 94, 88–97
- Elena, P.C., Rocio, J., Julio, E.P., Manuel, A. and Javier, V., 2009, Antioxidant activity of seed polyphenols in fifteen wild Lathyrus species from South Spain, LWT-Food Sci. Technol. 42: 705-709.
- Zhang X., Wang J., Li X. (2001). A study on the chemical constituents of Paeonia lactiflora Pall. Shengyang Yao Ke Da Xue Xue Bao 18, 30–2 (in Chinese).
- Wang X. W., Cheng M. Z., Xu S. Y. (1991). Effects of total glucosides of paeony on immune system. Zhongguo Bing Li Sheng Li Za Zhi 7, 609–611 (in Chinese).