สตีวิออลไกลโดไซด์
สตีวิออลไกลโดไซด์
ชื่อสามัญ Steviol glycosides
ประเภทและข้อแตกต่างสารสารสตีวิออลไกลโคไซด์
สารสตีวิออลไกลโคไซด์ คือ กลุ่มของสารบริสุทธิ์ที่สกัดได้จากหญ้าหวาน (stevia rebaudiana Bertoni) ซึ่งมีลักษณะเป็นผงสีขาวถึงสีเหลืองอ่อน มีความคงตัวสูงในตัวทำละลาย กรดอ่อน เบสอ่อน และทนต่อความร้อน ส่วนประเภทของสตีวิออลไกลโคไซด์จากหญ้าหวานนั้น สามารถแบ่งออกเป็น 88 ชนิด แต่พบว่าเป็นสารรสหวาน 8 ชนิด คือ slevioside, steviobioside , Rebaudiosides A, B, C, D, E และ Dulcoside A โดยสาร stevioside (สตีวิโอไซด์) จะมีปริมาณสูงสุดในหญ้าหวาน
ชื่อและโครงสร้างทางเคมีของสารรสหวานในใบหญ้าหวาน
แต่ในปัจจุบันรูปแบบที่ถูกนำมาใช้ในการบริโภคมากที่สุดมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่สตีวิโอไซด์ (Stevioside) และรีบาวดิโอไซด์เอ (Rebaudioside A)
แหล่งที่พบและแหล่งที่มาสารสตีวิออลไกลโคไซด์
สารให้ความหวานกลุ่มสตีวิออลไกลโคไซด์ นั้น มีแหล่งที่มาจากหญ้าหวานแต่ในส่วนการค้นพบสารให้ความหวานกลุ่ม สตีวิออลไกลโคไซด์นั้น เริ่มจากในปี ค.ศ.1908 (พ.ศ.2451) ด๊อกเตอร์รีบาวโอลิ (Dr. Rebanoli) นักเคมีปารากวัยได้ศึกษาวิจัยหาสาระสำคัญในใบหญ้าหวาน และประสบความสำเร็จจนถึงปี ค.ศ.1921 (พ.ศ.2464) ได้มีการยอมรับและตั้งชื่อสารที่ค้นพบว่า Stevioside ซึ่งเป็นสารที่ให้ความหวานประเภท Glycoside ได้แก่ Stevioside และ Rebaudioside หรือ Monoglucosyl Stevioside สารนี้กระจายอยู่ทั่วไปทั้งที่ใบและลำต้นของหญ้าหวาน แต่พบว่าอยู่ที่ใบมากกว่าแห่งอื่น โดยในใบมีสารให้ความหวานนี้ประมาณร้อยละ 8 ถึง ร้อยละ 15 โดย Stevioside ที่ค้นพบนั้นมีลักษณะเป็นผลึกของแข็งสีขาวมีจุดหลอมเหลว 198 องศาเซลเซียส ในใบหญ้าหวานแห้งพบว่ามีสารนี้อยู่ 5-10% นอกจากจะมีสารนี้ในใบหญ้าหวานแล้วยับพบสารให้ความหวานอีกหลายตัว เช่น ในปี 1975 (พ.ศ.2518) นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นพบ Rebaudioside-A ซึ่งเป็นสารให้ความหวานมากกว่า Stevioside ประมาณ 20-40% แต่มีอยู่เป็นปริมาณเพียง 1-2% ในใบหญ้าหวานแห้งเท่านั้น ต่อมาในปี ค.ศ.1977 (พ.ศ.2520) ก็มาการค้นสารประกอบจำพวกไกลโคไซด์อีกหลายๆ ตัว เช่น Rebaudiostde-B), Rebaudioside-D ,Rebaudioside-E และ Dulcoside-A
สำหรับปริมาณความหวานของสารให้ความหวานชนิดต่างๆ ในกลุ่ม สตีวิออลไกลโคไซด์ มีดังตารางต่อไปนี้
ความหวานของสาระสำคัญในใบหญ้าหวานเปรียบเทียบกับน้ำตาลทราย (sucrose)
ปริมาณที่ควรได้รับสารสตีวิออลไกลโคไซด์
สำหรับการใช้สารกลุ่มสตีวิออลไกลโคไซด์ นั้นปกติน้ำสกัดจากใบหญ้าหวานซึ่งหวานกว่าน้ำตาลทรายถึง 30 เท่า เพียง 1-2 ใบต่อหนึ่งถ้วยก็ให้รสหวานเพียงพอ และเป็นที่ยอมรับต่อผู้บริโภคทั่วไป เพราะหากน้ำสกัดเข้มข้นเกินไปจะมีรสค่อนข้างขม ซึ่งสารสำคัญสตีวิโอไซด์ที่บริสุทธิ์นั้นจะมีรสหวานมากกว่าน้ำตาลทราย ถึง 300 เท่าโดยน้ำหนัก ส่วนความเข้มข้นของสารสกัดสตีวิโอไซด์ที่นิยมนำมาใช้ผสมอาหารและเครื่องดื่มมากมายหลายชนิดในญี่ปุ่น มีค่าเหมาะสมอยู่ในช่วงกว้างระหว่าง 0.005-0.06% (โดย น.น.)
โดยในประเทศญี่ปุ่นถือว่าสารสกัดจากหญ้าหวานเป็นสารธรรมชาติ องค์การอาหารและยาญี่ปุ่นได้อนุญาตให้ใช้หญ้าหวานและสารสกัดในอาหารและเครื่องดื่มมานานแล้ว และยังไม่เคยมีรายงานถึงความเป็นพิษหรือผลเสียหายต่อสุขภาพของผู้บริโภคที่ติดต่อกันมานานๆ แต่อย่างใด และในปัจจุบันยังมีการอนุญาตให้ใช้สารสกัดจากหญ้าหวานเป็นสารทดแทนน้ำตาลในประเทศต่างๆ ไม่น้อยกว่า 30 ประเทศ เช่น แคนนาดา จีน แคนนาดา ออสเตเลีย นิวซีแลนด์ เกาหลี มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เป็นต้น ในขณะที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศในยุโรปก็อนุญาตให้มีการใช้สารหวานจากหญ้าหวานเป็นส่วนผสมในเครื่องดื่ม ตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 และ พ.ศ.2554 ตามลำดับ สำหรับในประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุข ประกาศอนุญาตให้มีการผลิต และจำหน่ายหญ้าหวานในประเทศไทยฉบับล่าสุด คือ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 360) พ.ศ.2556 เรื่องสตีวิออลไกลโคไซด์ โดยอ้างอิงข้อมูลของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญว่าด้วยวัตถุเจือปนอาหารขององค์การอาหารและเกษตรกร และองค์การอนามัยโลก แห่งสหประชาชาติ (The Joint FAO/WHO Expert Committee on Food Additives, JECFA) ซึ่งได้ประเมินและกำหนดค่าความปลอดภัย (Acceptable Daily Intake, ADI) แล้วโดยมีรายละเอียดดังนี้
บัญชีแนบท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 360) พ.ศ.2556 เรื่อง สตีวิออลไกลโคไซด์
ประโยชน์และโทษสารสตีวิออลไกลโคไซด์
ในปัจจุบันมีการนำสารให้ความหวานกลุ่มสตีวิออลไกลโคไซด์ เช่น สตีวิโอไซด์และรีบาวด์ดิโอไซด์ มาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารต่างๆ อย่างแพร่หลาย เช่น เครื่องดื่มต่างๆ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ไอศกรีม ขนมต่างๆ รวมถึงและหมากฝรั่ง ผักดอง อาหารหมักดอง เต้าเจี้ยว ซีอิ้ว อาหารทะเล เนื้อปลาบด ตลอดจนกระทั่งนำไปผสมในของใช้ต่างๆ เช่น ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก ซึ่งเป็นที่นิยมกันเพราะสารสกัดจากหญ้าหวาน ดังกล่าวไม่ให้พลังงานและไม่ทำให้อ้วน อีกทั้งยังไม่ทำให้อาหารบูดเน่า ลดการใส่สารกันเสีย และไม่ทำให้อาหารที่ถูกความร้อนเปลี่ยนสีหรือลักษณะเป็นสีคล้ำ
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยพบว่าสารสติไวโอไซด์ (stevioside) (ซึ่งมีความหวานมากกว่าน้ำตาลซูโครส 300 เท่า) เมื่อเข้าสู่ลำไส้แล้ว จุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่จะย่อย สตีไวโอไซด์เป็นสตีไวออล (steviol) และน้ำตาลกลูโคส ซึ่งสตีไวออลจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ส่วนน้ำตาลกลูโคสจะถูกจุลินทรีย์ย่อยสลาย ดังนั้นสตีไวโอไซด์จึงเป็นสารให้ความหวานที่ให้แคลอรี่ต่ำมาก จึงมีประโยชน์ในการใช้เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลซูโครส สำหรับคนที่ต้องการลดความอ้วนหรือผู้ป่วยโรคเบาหวานแล้ว อีกทั้งยังมีรายงานว่ามีการใช้สารสกัดจากใบหญ้าหวานในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวานในประเทศต่างๆ แถบทวีปอเมริกาใต้อีกด้วย
การศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องสารสตีวิออลไกลโคไซด์
มีผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสาร stevioside ซึ่งเป็นสารในกลุ่มสตีวิออลไกลโคไซด์อยู่หลายฉบับดังนี้
ผลต่อความดันโลหิต (arterial blood pressure) ของหนูขาว มีผลการศึกษาวิจัยระบุว่า stevioside ในขนาดต่ำหรือความเข้มข้น 0.1% (รสหวานเท่ากับน้ำตาลซูโครส 10%) ไม่มีผลต่อความดันโลหิตของหนูขาว โดยเมื่อเพิ่มความเข้มข้นเป็น 0.5% ก็ไม่พบการเปลี่ยนแปลงความดันโลหิตแต่อย่างใด และจากการทดสอบขั้นต้นพบว่าสาร steviostde ในขนาด 0.45-25 mg/Kg body weight ไม่มีผลต่อความดันโลหิต แต่เมื่อเพิ่มเป็น 100 mg/Kg body weight ความดันโลหิต จะลำต่ำ ลงชั่วขณะ และกลับเข้าสู่ปกติภายใน 15-30 นาที ส่วนในบราซิลได้มีกำหนดทดสอบโดยให้ผู้เข้ารับการวิจัย 18 คน ที่มีความดันโลหิตอยู่ในระดับปกติ ที่มีอายุระหว่าง 20-40 ปี ดื่มชาจากใบหญ้าหวานติดต่อกัน 30 วัน และดูการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก การทำงานของหัวใจ คลื่นไฟฟ้าของหัวใจ ความดันโลหิต โดยพบว่าความดันโลหิตลงลง 9.5% และเมื่อให้ดื่มชาโดยเตรียมจากใบหญ้าหวาน 3 กรัม ในคนปกติอีก 10 คน พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงของความดันตัวล่าง (diastolic) แต่ความดันตัวบน ลดลงเล็กน้อย
ผลต่อกล้ามเนื้อเรียบ (โดยใช้หลอดลมของหนูขาว) มีการศึกษาวิจัยพบว่าเมื่อให้ stevioside 0.1% 0.5% 1% 10% w/v โดยหยดลงในหลอดแก้วทดลองที่บรรจุส่วนของหลอดลมของหนูขาวในปริมาณ 0.1 ml พบว่าไม่มีผลต่อการหดตัวของกล้ามเนื้อหลอดลมและไม่มีผลต่อการทำงานของ อะเซททิลโคลีน (acetyicholtne.Ach) ในการทดลองนี้ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า stevioside 10-4 M กระตุ้นการทำงานของลำไส้ในภาวะที่มี Ca** และ Ach
ผลต่อกล้ามเนื้อลาย เมื่อบันทึกการหดตัวของกล้ามเนื้อลาย โดยใช้ส่วนของกล้ามเนื้อกระบังลมของหนูขาว (rat diaphragm) ซึ่งอยู่ติดกับส่วนของเส้นประสาทฟรีนิค พบว่า stevioside ในขนาด 0.1%-1.0% และให้ในปริมาณ 0.1-0.2 ml ไม่มีผลต่อการหดตัวของกล้ามเนื้อลาย
ผลต่อหัวใจ (atrium) ของหนูขาว เมื่อแยกหัวใจออกจากตัวแล้วแขวนในหลอดแก้ว แล้วหลดน้ำยาของ stevioside พบว่าในขนาด ปริมาณที่ให้ 0.1 ml ไม่มีผลต่อการทำงาน (contraction) ของหัวใจแต่เมื่อใช้ความเข้มข้นที่สูงขึ้นคือ 10% w/v พบว่ากระตุ้นการทำงานหรือการหดตัวของหัวใจแรงข้น amplitude of contraction เพิ่มขึ้น) ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า stevioside ลดอาการหัวใจเต้นช้า เนื่องจาก Ach ได้
ฤทธิ์ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ มีการศึกษาในห้องปฏิบัติการที่นำสารสกัดหยาบจากใบหญ้าหวานมาทดสอบฤทธิ์การฆ่าเชื้อกลุ่มสเตรปโตคอคไค และแลคโตแบซิไล พบว่า สารสกัดหยาบที่ได้มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อที่ทดสอบทั้งหมดในระดับที่แตกต่างกัน
ฤทธิ์ลดการก่อฟันผุ มีการศึกษาในห้องปฏิบัติการเพื่อวัดความสามารถในการก่อฟันผุของผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดที่มีส่วนผสมของสารให้ความหวานแทนน้ำตาลหลายชนิด รวมถึงหญ้าหวาน โดยโมเดลไบโอฟิล์มบนชิ้นเคลือบฟันพบว่าผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของหญ้าหวานลดความเป็นกรดด่างของไบโอฟิล์มเพียงเล็กน้อย และต่างจากชูโครสที่ลดลงมากอย่างมีนัยสำคัญ และพบว่าปริมาณเชื้อที่มีชีวิตในไบโอฟิล์มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับชูโครส ถึงแม้ว่ามวลชีวภาพของไบโอฟิล์มจะไม่แตกต่างกัน แต่มีแนวโน้มลดลง นอกจากนี้การสร้างพอลิแซ็กคาไรด์นอกเซลล์ที่ไม่ละลายน้ำ (water-insoluble extracellular polysaccharide) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างไบโอฟิล์ม ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับชูโครส และยังมีการศึกษาในหนูทดลองโดยใส่เชื้อสเตรปโดคอคคัสชอบรินัส (streptococcus sobrinus) ในช่องปาก แล้วให้อาหารที่เติมชูโครส สตีวิโอไซด์ หรือ รีบาวดิโอไซด์ เอ เปรียบเทียบกับการให้อาหารที่ไม่เติมชูโครสเท่านั้น ที่มีปริมาณเชื้อสเตรปโดคอคคัส ซอบรินัสมากกว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญ และพบฟันผุเฉพาะในกลุ่มที่ได้รับซูโครสเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาความเป็นพิษของสารต่างๆ ในกลุ่มสตีวิออลไกลโคไซด์ ดังนี้
การเกิดพิษอย่างเฉียบพลันของสารสตีวิโอไซด์ มีการศึกษาวิจัยพบว่า ค่า LD50 ของสารหวานสตีวิโอไซด์ในหนูแฮมสเตอร์ หนูพุก และหนูถีบจักร ทั้งเพศผู้ และเพศเมียมีค่ามากกว่า 15 กรัม/น้ำหนักหนู 1 กิโลกรัม เมื่อให้เข้าไปทางปาก ซึ่งอาจจะถือได้ว่าสารหวานสตีวิโอไซด์บริสุทธิ์นั้นไม่เป็นพิษต่อสัตว์ทดลองในกรณีของการเกิดพิษอย่างเฉียบพลัน (acute effect)
การศึกษาพิษเรื้อรังและฤทธิ์ในการก่อมะเร็งของสารสตีวิออล มีการศึกษาวิจัยพบว่าการให้สารสตีวิออล ในอาหารแล้วให้หนูแฮมเตอร์กินตลอดช่วงชีวิตทั้งเพศผู้และเพศเมีย พบว่า สารสตีวิออลในขนาดปริมาณดังกล่าวไม่มีผลต่อช่วงชีวิตเฉลี่ย น้ำหนักตัว ผลการตรวจทางชีวเคมีในเลือด ผลการตรวจวิเคราะห์ปัสสาวะและอุบัติการณ์เกิดมะเร็งในเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม
การศึกษาฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสารสตีวิโอไซด์ มีการศึกษาวิจัยพบว่าสารหวานสตีวิโอไซด์ และสารสตีวิออลในขนาดปริมาณสูงที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ต่อแบคทีเรีย S.typhimurium TA 98 และ TA 100 ทั้งที่มีและไม่มีเอนซัยม์จากตับของหนูพุก หนูถีบจักร หนูแฮมสเตอร์ และหนูตะเภา และนอกจากนี้สารหวานสตีวิโอไซด์และสารสตีวิออลในขนาดปริมาณสูงไม่สามารถชักนำให้จำนวน PCE จากไขกระดูกมีไมโครนิวเคลียสเพิ่มขึ้นในหนูแฮมสเตอร์ หนูพุก และหนูถีบจักรเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม
การศึกษาฤทธิ์ในการก่อให้เกิดวิรูปของสารสตีวิออล มีการศึกษาวิจัยพบว่าการให้สารสตีวิออลในปริมาณ 250 มิลลิกรัม/น้ำหนักหนู 1 กิโลกรัม ในหนูแฮมสเตอร์ที่ตั้งท้องตั้งแต่วันที่ 6-10 พบว่าไม่มีผลต่อความเป็นพิษต่อแม่และตัวอ่อนเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ซึ่งปริมาณของสารสตีวิออลดังกล่าวเมื่อเทียบกับปริมาณของสารหวานสติวิโอไซด์ที่กินเข้าไปในสัตว์ทดลองจะเทียบได้ประมาณ 80 เท่าของปริมาณที่ยินยอมให้มีการบริโภคของสตีวิโอไซด์ในคนต่อวัน (ADI ในคน = 7.938 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน) ทดลองจะเทียบได้ประมาณ 80 เท่าของปริมาณที่ยินยอมให้มีการบริโภคของสตีวิโอไซด์ในคนต่อวัน (ADI ในคน = 7.938 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน)
การศึกษาถึงผลของสตรีวิโอไซด์ต่อหน้าที่การทำงานทางสรีระวิทยาของระยะทางเดินอาหาร มีการศึกษาวิจัยพบว่าการให้สารหวานสตีวิโอไซด์ในขนาดปริมาณสูงถึง 500 และ 1000 มิลลิกรัม/น้ำหนักหนู 1 กิโลกรัม/วัน ให้กินทุกวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงหน้าทางสรีรวิทยาของระบบทางเดินอาหารโดยเฉพาะลำไส้เล็ก แต่ถ้าให้กินขนาดปริมาณ 2500 มิลลิกรัม/น้ำหนักหนู 1 กิโลกรัม/วัน ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงมาก เป็นเวลา 12 สัปดาห์ จะมีผลไปรบกวนการดูดซึมของน้ำตาลกลูโคสในบริเวณลำไส้และทำให้การเจริญเติบโตลดลง
ข้อแนะนำและข้อควรปฏิบัติ
ถึงแม้ว่าจะมีการศึกษาวิจัยหลายฉบับที่ระบุถึงประโยชน์ของสารให้ความหวานกลุ่มสตีวิออลไกลโคไซด์ จากหญ้าหวานอีกทั้งในการศึกษาความเป็นพิษก็ยังไม่มีการระบุถึงความเป็นพิษแต่อย่างใด แต่สำหรับการใช้สารให้ความหวานกลุ่มสตีวิออลไกลโคไซด์นั้น ก็ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกับการใช้สารสกัดชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดที่เหมาะสมไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจากเกินไปหรือใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง สตีวิออลไกลโคไซด์
- นันทา แก้วอุบล หญ้าหวาน วิทยาศาสตร์ 38-5,6 หน้า 302-304 2527.
- อัมพวัน อภิสริยะกุล Pharmacilogical Consideration and Safety Evaluation of Stevioside หนังสือการประชุมวิชาการ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ พ.ศ.2531.
- เอมอร โสมนะพันธุ์ วารสารเภสัชศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. กรุงเทพฯ
- ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 360) พ.ศ.2556 เรื่องสตีวิออลไกลโคไซด์
- วันชัย แก้วโสภา การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารสตีวิโอไซด์ ภาคนิพนธ์วิทยาศาสตร์บัณฑิต (เทคนิคการแพทย์) คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2530.
- อรนาฎ มงตังคสมบัติ,พนิดา ธัญญศรีสังข์.สารให้ความหวานแทนน้ำตาลกับผลต่อสุขภาพร่างกายและสุขภาพช่องปาก.วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์ปีที่ 69. ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม 2562. หน้า 379-397
- รายงานการทดสอบความปลอดภัยของสารสติวิโอไซด์ และสารสกัดจากหญ้าหวาน คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (รวบรวมจาก การสัมมนา ข้อมูลจากกรมป่าไม้)
- หญ้าหวานและผลิตภัณฑ์จากหญ้าหวาน ความปลอดภัยและการบริโภค.เอกสารแสดงผลงานวิจัยใหม่และประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับหญ้าหวานและผลิตภัณฑ์ และการนำไปใช้ประโภคอย่างปลอดภัย สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- กระแส วัชรปานและเวฬุรีย์ ศรีเทพ “ผลการใช้หญ้าหวานในผู้ป่วย Observations of The Patients Who Consumed Tea of Stevia rebaudiana Leaves” การสัมมนาเรื่องการวิจัยหญ้าหวานครั้งที่ 1, 9-10 พฤษภาคม 2533 หน้า 123
- รศ.ดร.ภญ.พิสมัย กลุกาญจนาธร.หญ้าหวาน.หนทางเลือก...เพื่อสุขภา.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
- S.Klongpanichpak Metagenic tests of dteviol and stevioside MS Thesis, Mahidol Universty (1995)
- Madan S, Ahmad S; Singh G.N, Kohli, Kanchan, Kumar Y, Singh R, Garg M. Stevia rebaudiana (Bert.) Bertoni-A review. Indian Journal of Natural Products and Resources 2010; 1:267-286.
- A.D.Kinghorn and D.D.Soejarto Current Status of Stevioside ad a sweeteninf afent for human use Econornic and Medicinal Planl Research vol.1.p.1-49.1985.
- DasS, Das AK, MurphyRA,Punwani IC, Nasution MP,Kinghorn AD. Evaluationof the cariogenic potentialof the intense natural sweeteners stevioside and rebaudioside a. Caries Res 1992;26(5):363-6
- C.Toskulkao ,L.Charurat.P.Temcharoen and T.Glinsrkon. Acute toxicity of stecviostde,a natural sweetener and its metabolite Steviol in several animal species Drug Toxicol.20:31-44(1997.)
- Kroyer G. Stevioside and Stevia-sweetener in food: application, stability and interaction with food ingredients. J. Verbr. Lebensm. 2010; 5:225-229
- Pilgrtm,F.J.and Schutz H.G.:Nature (London) 183-1469,1959.
- GamboaF, Chaves M. Antimicrobial potentialofextracts from steviarebaudianaleavesagainst bacteriaof importancein dental caries. Acta Odontol Latinoam 2012;25(2):171-5
- L.Xili.B.Chengjiany.X.Eryi.S.Reiming.W.Haodong and H.Zhiyian.Chronic oral toxicity and carcinogenicity study of stevioside in rats. Fd.Chem.Toxicol.30:957-96(1992).
- GiacamanRA, CamposP,Munoz-Sandoval C, CastroRJ. Cariogenic potential of commercial sweeteners in an experimental biofilm caries model on enamel. Arch Oral Biol 2013;58(9):1116-22
- Crammer,B.and lkan,R.(1986) Sweet glycostdes from the stevia plant. Chem.Br.Oct:915-917.
- Goyal SK., Samsher And Goyal RK. Stevia (Stevia rebaudiana) a bio-sweetener: a review. International Journal of Food Sciences and Nutrition. 2010; 61(1):1-10.
- S.Klongpanichpak.P.Timcharoen,C.Todkulkao,S.Apibal and T.Glinsukon.Lack of mutagenicity of stevioside and Steviol in Salmonella typhumurium TA 98 and TA 100.J.Med.Assoc.Thailand (accepted.1997.)