พุดทุ่ง ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
พุดทุ่ง งานวิจัยและสรรพคุณ 11 ข้อ
ชื่อสมุนไพร พุดทุ่ง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น พุดนา, โมกเตี้ย (ภาคกลาง), พุดป่า, โมกน้อย, โมกนั่ง, มูกน้อย, นมเสื่อ, นมราชสีห์ (ภาคเหนือ), น้ำนมเสือ (ภาคตะวันออก), พุดทอง, พุดน้ำ, หัสคุณเทศ, หัสคุณใหญ่, ถั่วหนู, สรรพคุณ (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Holarrdena curtisii King&Gamble.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Holarrhena densiflora Ridl, Holarrhena latifolia Ridl, Holarrhena similis Craib.
วงศ์ APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิดพุดทุ่ง
พุดทุ่ง จัดเป็นพันธุ์ไม้ประจำถิ่นของไทยชนิดหนึ่ง โดยมีรายงานว่าถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของพุดทุ่งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในบริเวณประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และทางตอนใต้ของจีน สำหรับในประเทศไทยสามารพบพุดทุ่ง ได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ในบริเวณป่าผลัดใบทั่วไป ป่าชายหอด ริมถนนหนทาง หรือ ตมที่รกร้างว่างเปล่า ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลลึกไปจนถึง 400 เมตร
ประโยชน์และสรรพคุณพุดทุ่ง
- แก้ท้องเสีย
- แก้บิด
- แก้ถ่ายเป็นมูกเลือด
- แก้อาเจียน
- แก้ผิดสำแดง
- ใช้ขับเลือด
- ช่วยขับหนองให้ตก
- ช่วยขับลม
- ช่วยกระจายเลือดลม
- ช่วยขับพยาธิ
- แก้อาการท้องร่วง
พุดทุ่งถูกนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับตามอาคารบ้านเรือน สวนสาธารณะ สถานที่ราชการ หรือ ตามโรงแรมที่พักต่างๆ เนื่องจากดอกมีสีขาวนวลสวยงาม และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ อีกทั้งยังมีทรงพุ่มที่ไม่สูง สามารถดูแลได้ง่าย และสำหรับประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของพุดทุ่ง คือ มีการนำมาใช้เป็นยาสมุนไพร
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้ขับลม ช่วยกระจายเลือดลม ขับเลือด และหนอง ขับพยาธิ โดยใช้ลำต้น และรากพุดทุ่ง มาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้อาการท้องร่วง ท้องเสีย แก้บิด โดยนำเปลือกลำต้น และรากพุดทุ่ง มาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้บิด ถ่ายเป็นมูกเลือด แก้ท้องเสีย แก้อาเจียน แก้ผิดสำแดง โดยนำรากพุดทุ่งมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้ผิดสำแดง โดยนำรากพุดทุ่งผสมกับรากติ้วขน ต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้อาเจียน โดยนำรากผสมพุดทุ่งกับอ้อยดำ และข้าวสารเจ้า มาแช่กับน้ำดื่ม
ลักษณะทั่วไปของพุดทุ่ง
พุดทุ่ง จัดเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นตั้งตรง สูง 1-2.5 เมตร แตกกิ่งก้านไม่มาก โดยมักแตกกิ่งก้านในระดับต่ำเกือบติดพื้นดิน กิ่งอ่อนมีลักษณะเป็นเหลี่ยมมีขนปกนุ่มสั้นขึ้นปกคลุม เปลือกลำต้นมีสีเทา จนถึงน้ำตาลดำมักแตกเป็นสะเก็ด และจะมีน้ำยางสีขาวขุ่นออกมา เมื่อหักตามลำต้น กิ่งก้านและใบ
ใบพุดทุ่ง เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้าม สลับตั้งฉาก ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลับ หรือ รูปรีแกมขอบขนาน มีขนาดกว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ยาว 7-12 เซนติเมตร โคนใบมน หรือ เป็นรูปลิ่ม ปลายใบมน หรือ เป็นติ่งหนม ขอบใบเรียบ แผ่นใบคล้านแผ่นหนัง หลังใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้ม ท้องใบด้านล่างมีสีเขียวแกมขาวนวล มีขนนุ่มสั้นสีขาว ทั้งสองด้าน สามารถมองเห็นเส้นแขนงใบข้างละประมาณ 12-16 เส้น ได้ชัดเจน และมีก้านใบยาว 2-4 เซนติเมตร
ดอกพุดทุ่ง ออกเป็นช่อแยกแขนงบริเวณซซองใบและปลายกิ่ง โดยจะออกเป็นกระจุก ซึ่งช่อดอกจะมีความยาว 3-12 เซนติเมตร และมีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกย่อยมีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกมีลักษณะเป็นรูปไข่กลับถึงรูปรี ปลายกลม มีขนทั้งสองด้าน หนาสีขาว มีกลิ่นหอม มีขนาดกว้าง 0.4-0.8 เซนติเมตร ยาว 1.2-2 เซนติเมตร โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอด โดยมีความยาว 0.8-1.5 เซนติเมตร ส่วนปลายกลีบแยกเป็นกลีบ 5 กลีบ เรียงซ้อนเวียนไปทางขวาเหลื่อมกันเล็กน้อย และจะมีกลีบเลี้ยงรูปแถบกว้าง 0.8-1.2 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 2.5-8 มิลลิเมตร 5 กลีบ ด้านนอกมีขนเล็กน้อย หรือ มีขนสั้นนุ่มทั้งสองด้าน และมีเกสรเพศผู้ 5 อัน ติดอยู่ใกล้โคนหลอดดอก ส่วนก้านดอกยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร และเมื่อดอกบานจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตร
ผลพุดทุ่ง ออกเป็นฝักคู่ มีลักษณะกลมยาวสีเขียว คล้ายดาบ มีขนาดกว้าง 1.5-5 เซนติเมตร ยาว 7-10 เซนติเมตร ปลายผลชี้ขึ้น ซึ่งเมื่อฝักแก่จะมีสีน้ำตาล และจะแตกตะเข็บเดี่ยว ด้านในฝักมีเมล็ดสีน้ำตาล มีขนาด กว้าง 1 มิลลิเมตร ยาว 8-10 มิลลิเมตร มีกระจุกขนสีขาว คล้ายเส้นไหม ขึ้นปกคลุม
การขยายพันธุ์พุดทุ่ง
พุดทุ่ง สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด นอกจากนี้พุดทุ่งยังเป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบที่ชุ่มชื้น แต่ก็ชอบแสงแดดจัดเช่นกัน สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกพุดทุ่ง สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและการปลูกไม้ชนิดอื่นๆ ในวงศ์ ตีนเป็น (APOCYNACEAE) เช่น “พญาสัตบรรณ ” ซึ่งได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนราก ใบ และเมล็ด ของพุดทุ่ง ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น สารสกัดจากรากพบสาร pregnenolone และ stigmasterol สารสกัดจากใบพบสารกลุ่ม steroidal alkaloid เช่น holacurtinol, holamine, 15-α-hydroxyholamine, holacurtine, 17-epi-N-demethylholacurtine, N-desmethylholacurtine 17-epi-holacurtine, และ 3α-amino-14β-hydroxypregnan-20-one ส่วนสารสกัดจากเมล็ดพบสารกลุ่มไตรเทอริพินอย ได้แก่ squalene, β-amyrin acetate, α-amyrin acetate, lupeol acetate, lupeol, lanosta-7,24-dien-3β-ol, cycloeucalenol, oleanolic acid ursolic acid และ 3β-hydroxy-11α-hydroperoxyolean-12-en-28-oic acid และ 3β-hydroxy-11α-hydroperoxyursan-12-en-28-oic acid และสารกลุ่มไฟโตเลตอรอล ได้แก่ 24-methylenepollinastanol อีกทั้งยังพบสารกลุ่ม ฟลาโลนอยด์ ได้แก่ catechin และ gallocatechin เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของพุดทุ่ง
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา ของสารสกัดพุดทุ่ง จากเมล็ด เปลือกลำต้น และส่วนใบ ของในต่างประเทศระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ ดังนี้ มีรายงานว่าสารสกัดจากเมล็ดพุดทุ่ง มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ α-glucosidase ในหลอดทดลอง ซึ่งการยับยั้งเอนไซม์ชนิดนี้ จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งรายงานการศึกษาวิจัยระบุว่า สารสกัดจากเปลือกลำต้นของพุดทุ่ง มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และต้านอนุมูลอิสระได้ ส่วนสารสกัดจากใบพุดทุ่งมีรายงานว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งบางชนิดในหลอดทดลอง และมีฤทธิ์ต้านเชื้อก่อโรคลิชมาเนีย ได้อีกด้วย
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของพุดทุ่ง
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
เนื่องจากพุดทุ่งเป็นพันธุ์ไม้ในวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) ซึ่งพันธุ์ไม้ในวงศ์นี้ส่วนมาน้ำยางจะมีความเป็นพิษต่อผิวหนัง และเนื้อเยื่ออ่อน เช่น ตีนเป็ดน้ำ และลีลาวดี ดังนั้นจึงควรระวังน้ำยาง ของพุดทุ่ง เช่นเดียวกัน เพราะหากสัมผัสกับผิวหนังอาจทำให้เกิดอาการแพ้ โดยมีควรระคายเคือง เป็นผื่นแดง และหากเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้
เอกสารอ้างอิง พุดทุ่ง
- องค์การสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์. ไม้ดอกไม้ประดับ. บริษัทด่านสุทธาการพิมพ์ จำกัด; 2536.
- พงษ์ศักดิ์ พลเสนา. 2550. พืชสมุนไพรในสวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน ฉบับสมบูรณ์. งานพฤกษศาสตร์ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ, กรุงเทพฯ.
- นิจศิริ เรืองรังสี, ธวัชชัย มังคละคุปต์. สมุนไพรไทย. กรุงเทพมหานคร: บี เฮลท์ตี้; 2547.
- เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ. 2549. สมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. ศูนย์พัฒนาตำราการแพทย์แผนไทย มูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนา, นนทบุรี.
- พุดทุ่ง, ฐานข้อมูลสมุนไพร. คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.phargarden.com/main.php?action=viewpaye&pid=82
- Mishra, B.B., R.R. Kale, R.K. Singh and V.K. Tiwari. 2009. Alkaloids: future prospective to combat leishmaniasis. Fitoterapia 80(2): 81-90.
- Endress M.E, Bruyns PV. A revised classification of the Apocynaceae. Botanical Review 2000; 66: 1 56.
- สุดารัตน์ หอมหวล. 2553. พุดทุ่ง. แหล่งที่มา http://www.phargarden.com/main.php?action=viewpage&pid=82, 21 มีนาคม 2561.
- Middleton DJ. An update on the Apocynaceae in Thailand. Thai Forest bulletin (Bot.) SpeciaI issue 2009; 143-155.
- เมดไทย. 2560. พุดทุ่ง สรรพคุณและประโยชน์ของต้นพุดทุ่ง 9. แหล่งที่มา: https://medthai.com/พุดทุ่ง/, 19 มีนาคม 2561.
- Kam, T.S., K.M. Sim, T. Koyano, M. Toyoshima, M. Hayashi and K. Komiyama. 1998. Cytotoxic and leishmanicidal aminoglycosteroids and aminosteroids from Holarrhena curtisii. Journal of natural products 61(11): 1332-1336.