หางนกยูงฝรั่ง ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
หางนกยูงฝรั่ง งานวิจัยและสรรพคุณ 11 ข้อ
ชื่อสมุนไพร หางนกยูงฝรั่ง
ชื่อชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น นกยูงฝรั่ง, อินทรี (ภาคกลาง), ชมพอหลวง (ภาคเหนือ), หงอนยูง ผภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Delonix regia (Bojer ex Hook) Raf.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Delonix regia Hook, Delonix regia Bojer
ชื่อสามัญ Flame tree, Flam boyant tree, Rogal poinciana, Peacock flower
วงศ์ CAESALPINIACEAE
ถิ่นกำเนิดหางนกยูงฝรั่ง
หางนกยูงฝรั่ง จัดเป็นพืชในวงศ์ ถั่ว (วงศ์ย่อยราชพฤกษ์ CAESALPINIACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในทวีปแอฟริกา บริเวณหมู่เกาะมาลาก์สการ์โดยมีการสำรวจพบครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1824 ต่อมาจึงได้มีการนำไปปลูกยังเขตร้อนต่างๆ ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยไม่ปรากฏหลักฐาน ว่าหางนกยูงเข้ามาประเทศไทยเมื่อใด แต่มีการสันนิษฐานว่าน่าจะเข้ามาหลังต้นหางนกยูงไทย ปัจจุบันสามารถพบเห็นต้นหางนกยูงฝรั่ง ได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ตามบริเวณสถานที่ทั่วไป ทั้งตามอาคารบ้านเรือน สถานที่ราชการ วัด หรือ ตามสองข้างทาง เป็นต้น
ประโยชน์และสรรพคุณหางนกยูงฝรั่ง
- ใช้ขับโลหิตสตรี
- แก้อาการบวมปวดบวม
- แก้อาการบวมน้ำ
- แก้ปวดบวม
- แก้วัณโรค
- ใช้แก้ท้องเสีย
- แก้ท้องร่วง
- แก้บิด
- แก้พิษ
- ช่วยถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
- รักษาโรคไข้เรื้อรัง
- รักษาบาดแผล
มีการนำหางนกยูงฝรั่งมาใช้ประโยชน์ต่างๆ ดังนี้ เด็กๆ ในชนบทนิยมนำเมล็ดอ่อนของหางนกยูงฝรั่งนำมากินสดๆ ได้โดยจะนำมาแกะ เปลือกหุ้มออก แล้วกินเนื้อในเมล็ด แต่สำหรับเมล็ดแก่ จะนำมาคั่ว หรือ ต้มให้สุกก่อนกิน เนื่องจากเมล็ดแก่มีสารบางชนิดที่เป็นพิษ แต่จะถูกทำลายด้วยความร้อน หรือ ในบางพื้นที่ก็มีการนำเมล็ดหางนกยูงฝรั่ง มาทำเป็นขนมหวาน โดยนำมาต้มกับน้ำตาลราดกะทิ
นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการนิยมปลูกไว้ประดับตามสถานที่ต่างๆ รวมไปถึงสวนสาธารณะและตามสองข้างถนน เนื่องจากหางนกยูงฝรั่ง มีทรงพุ่มสวยงาม สีของดอกก็ดูสวยสดใส และยังเป็นต้นไม้ที่ทนทานต่อสภาพอากาศแห้งแล้ง
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้แก้อาการบวมต่างๆ (เช่น ปวดบวม บวมน้ำ) แก้วัณโรค ขับโลหิตในสตรี โดยนำ รากหางนกหูงฝรั่ง มาฝนกับน้ำดื่ม หรือ นำมาต้มกับน้ำดื่มก็ได้
- ใช้แก้ท้องร่วง ท้องเสีย แก้บิด โดยนำเนื้อไม้ หรือ ลำต้นของหางนกยูงฝรั่งมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้พิษ ถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย โดยนำเนื้อไม้หางนกหูงฝรั่ง มาฝนทาบริเวณที่เป็น
- ส่วนในต่างประเทศก็มีการใช้หางนกยูงฝรั่ง เป็นสมุนไพร เช่นกันอาทิ ทางตะวันตกเฉียงใต้ ของบังกลาเทศ ใช้ดอกของหางนกยูงฝรั่ง รักษาโรคไข้เรื้อรัง ไนจีเรีย ใช้ดอกของหางนกยูงฝรั่ง รักษาบาดแผล และในรัฐอัสสัมของอินเดีย ใช้ใบของหางนกยูงฝรั่งมาบดทาบนบาดแผล
ลักษณะทั่วไปของหางนกยูงฝรั่ง
หางนกยูงฝรั่ง จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ผลัดใบมีความสูงประมาณ 10-18 เมตร ทรงพุ่มแบบแผ่กว้างเป็นทรงกลม เช่นเดียวกันกับต้นจามจุรี แต่มีขนาดเล็กกว่า ลำต้นมีลักษณะเกลี้ยง เปลือกมีสีน้ำตาลอ่อน เท่าเข้มจนถึงสีน้ำตาลเข้ม โคนต้นเป็นพูพอน เมื่อโตเต็มจะมีรากโผล่ขึ้นมาโดยรอบ
ใบหางนกยูงฝรั่ง เป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ออกเรียงเวียนสลับกัน บริเวณปลายกิ่ง โดยมีใบย่อยเรียงตรงข้ามกัน โดยใบย่อยชั้นที่หนึ่งมี 9-24 คู่ ส่วนใบย่อยชั้นที่สอง ซึ่งขนาดของใบย่อยมีขนาดเล็กใกล้เคียงกับย่อยของมะขาม ลักษณะของแผ่นใบเป็นรูปขอบขนาน โคนใบเบี้ยวปลายใบกลม ขอบใบเรียบ ผิวใบเกลี้ยง มีสีเขียว และมีก้านช่อใบยาว 40-60 เซนติเมตร
ดอกหางนกยูงฝรั่ง ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะโดยจะออกบริเวณปลายกิ่งและตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อดอกมีความยาว 10-15 เซนติเมตร และจะมีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกย่อยประกอบด้วยกลีบดอก ค่อนข้างกลมโคนกลีบดอก จำนวน 5 กลีบ กลีบดอกมี 2 สี คือ สีแดงและสีเหลือง แต่เวลามองอาจจะเห็นเป็นสีแสด มีเกสรตัวผู้ 10 อัน ยาวงอนออกมาเหนือกลีบดอก และมีกลีบเลี้ยง รูปของขนานจำนวน 5 กลีบ ด้านนอกสีเขียวด้านในสีจะเหมือนกลีบดอก
ผลหางนกยูงฝรั่ง เป็นฝักแบบรูปขอบขนานค่อนข้างแข็ง ลักษณะโค้งเป็นรูปดาบ กว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 30-60 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีสีเขียว เมื่อฝักแห้งจะเป็นสีน้ำตาลอมดำ ฝักแบ่งช่องเป็นข้อๆ โดยในแต่ละข้อจะมีเมล็ด 1 เมล็ด เมื่อฝักแก่เมล็ดจะแตกออกมา ซึ่งเมล็ดจะเรียงอยู่ตามขวางประมาณ 20-40 เมล็ด เมล็ดเป็นรูปรี หรือ รูปขอบขนานสีน้ำตาล
การขยายพันธุ์หางนกยูงฝรั่ง
หางนกยูงฝรั่งสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธีอาทิเช่น การเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ติดตา หรือ เสียบยอด เป็นต้น แต่วิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ การเพาะเมล็ด สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกหางนกยูงฝรั่งนั้น สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการ เพาะเมล็ดและการปลูกไม้อื่นๆ ที่ได้กล่าวถึงมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ ทั้งนี้หางนกยูงฝรั่ง เป็นพืชที่ชอบแดดจ้า ทนแล้งได้ดี และเจริญเติบโตได้ดีขึ้นทุกสภาพดิน
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีจากส่วนต่างๆ ของหางนกยูงฝรั่ง ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด เช่น Kaempferol 3-rhamnoside, Quercetin 3-rhamnoside, Kaempferol 3-glucoside, Kaempferol 3-rutinoside, Phytol, Squalene, prodelphinidin และ Vitamin E เปลือกต้น พบสาร Lupeol, Epilupeol, β-sitosterol, Stigmasterol และ propelargonidin เป็นต้น ดอกพบสาร gallic acid, protocatechuic acid, Quercetin, Rutin, Quercetin 3-O-glucoside, Rubixanthinc, Astaxanthin, β-Cryptoxanthin, Lutein และ Zeaxanthin เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของหางนกยูงฝรั่ง
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดหางนกยูงฝรั่ง จากส่วนต่างๆ ของหางนกยูงฝรั่ง ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพของสารสกัดเมทานอลจากใบ ดอกและเปลือกต้นหางนกยูงฝรั่งระบุว่า สารสกัดเมทานอล 80% ของใบและดอก สามารถต้านเชื้อ Pseudomonas stutzeri ได้โดยมีค่า MIC ที่ 20±0.8 และ 23±1.3 มก./มล. ตามลำดับ ส่วนสารสกัดอะซิโตนจากดอกและเมล็ดของหางนกยูงฝรั่งที่คามเข้มข้น 0.4 g/ml แสดงฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา Aspergillus niger ได้ 23 และ 18 มม. และมีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านแผลในกระเพาะอาหารของสารสกัดเอทานอล 70% จากดอกหางนกยูงฝรั่งในขนาด 100, 250 และ 500 มก./กก. โดยป้อนทางปากแก่หนูทดลองพบว่ามีฤทธิ์ต้านแผลในกระเพาะอาหารตามขนาดยา
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ปกป้องตับของสารสกัดเมทานอลจากส่วนเหนือดิน โดยป้อนสารสกัดทางปากในขนาด 400 มก./กก. ให้แก่หนูวิสตาร์เผือกที่ถูกชักนำให้เกิดพิษต่อตับจาก CCI4 พบว่ามีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของเอนไซม์ในซีรั่ม AST (แอสปาร์เทตอะมิโน ทรานสเฟอเรส), ALP (อัลคาไลน์ฟอสฟาเทส), ALB (อัลบูมิน)ALP (โปรตีนทั้งหมด), DBIL (บิลิรูบินโดยตรง) และ TBIL (บีลิรูบินทั้งหมด)
นอกจากนี้ยังมีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดเอทานอลจากใบหางนกยูงฝรั่ง โดยการป้อนสารสกัดให้แก่หนูทดลองที่ถูกชักนำให้เกิดการอักเสบ โดยการป้อนสารสกัดให้แก่หนูทดลองที่ถูกชักนำให้เกิดการอักเสบ โดยคาราจีแนนในขนาด 100, 200 และ 400 มก./กก. พบว่าสารสกัด 400 มก./กก. สามารถลดอาการอักเสบและบวมได้ 48.1% หลังจาก 3 ชั่วโมง
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของหางนกยูงฝรั่ง
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
สตรีมีครรภ์ไม่ควรใช้หางนกยูงฝรั่งเป็นสมุนไพร โดยเฉพาะในรูปแบบการรับประทานเนื่องจากหางนกยูงฝรั่ง มีสรรพคุณขับโลหิตและขับระดูในสตรี ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแท้งบุตรได้ นอกจากนี้การปลูกต้นหางนกยูงฝรั่งควรปลูกให้ห่างจากบ้านและกำแพง เนื่องจากรากของต้นหางนกยูงฝรั่งสามารถชอนไชได้ไกล จนสามารถดันพื้นบ้าน พื้นถนน ทางเท้า และโครงสร้างอื่นๆ ให้แตกและเสียหายได้
เอกสารอ้างอิง หางนกยูงฝรั่ง
- ฉัตรชัย เงินแสงสรวย, รัมภ์รดา มีบุญญา, ปวีณา เวสภักตร์, ณัฐนนท์ มีพรหม, สิริพร ชดช้อย, วีรีศา บุญทะศักดิ์ และจามิกร วงศ์จิ้ว. 2562. พรรณไม้ในวังสระปทุม. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ.
- เดชา ศิริภัทร. หางนกยูงฝรั่งความสดใสแห่งฤดูร้อน.คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า.นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 277. พฤษภาคม 2545.
- องค์การสวนพฤกษศาสตร์. 2542. สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4. พิมพ์ครั้งที่ 2. โอ.เอส.พริ้นติ้งเฮ้าส์. กรุงเทพมหานคร. 151 น.
- หางนกยูงฝรั่ง. องค์ความรู้เพื่อการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน). 2559.
- Orwa C, Mutua A, Kindt R, Jamnadass R, Simons A. Delonix regia. Agroforestry; 2013.
- Halim MA, Chowdhury MSH, Wadud AI, Uddin MS, Sarker SK, Uddin MB. The use of plants in traditional health care practice of the Shaiji community in Southwestern Bangladesh. J Trop Forest Sci 2007;19:168-75.
- Ode OJ, Saka S, Oladele GM. The global relevance of traditional medicine and herbal plants, the nigerian perspective. Int J Appl Biol Pharm Technol 2011;2:280-9.
- Sharma RA, Chandrawat P, Sharma S, Sharma D, Sharma B, Singh D. Efficacy of Delonix regia Rafin (syn. Poinciana regia Bojer ex. Hook) for potential antifungal activity. Bioscan 2010;5:441-4.
- Ahmed J, Nirmal S, Dhasade V, Patil A, Kadam S, Pal A, et al. Hepatoprotective activity of methanol extract of aerial parts of Delonix regia. Phytopharmacology 2011;1:118-22.
- Rajabhau SS, Karnakumar VB, Basavaraj VC, Shambhulingayya M, Veerana G. In-vivo antidiarrhoeal activity of ethanolic extract of Delonix regia flowers in experimental induced diarrhoea in Wistar albino rats. Int J Res Pharm Chem 2011;1:442-7.
- Shabir G, Anwar F, Sultana B, Khalid ZM, Afzal M, Khan QM, et al. Antioxidant and antimicrobial attributes and phenolics of different solvent extracts from leaves, flowers and bark of Gold Mohar [Delonix regia (Bojer ex Hook.) Raf.] Molecules 2011;1:7302-19.