จิงจูฉ่าย ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆและข้อมูลงานวิจัย
จิงจูฉ่าย งานวิจัยและสรรพคุณ 20 ข้อ
ชื่อสมุนไพร จิงจูฉ่าย
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ดอกแก้วเมืองจีน, ดอกไม้เมืองจีน (ไทย), ไป่เปาเฮา (จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Artemisia lactiflora Wall. Ex DC.
ชื่อสามัญ White mugwort, Duck food vegetable
วงศ์ ASTERACEAE
ถิ่นกำเนิดจิงจูฉ่าย
จิงจูฉ่าย จัดเป็นพันธุ์พืชพื้นเมืองของแถบตะวันตกของประเทศจีน (คาดว่าน่าจะอยู่ในมลฑลกุ้ยโจว) ต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังบริเวณใกล้เคียงในปัจจุบันพบได้ในจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม ลาว ไทย กัมพูชา พม่า และมาเลเซีย สำหรับในประเทศไทยพบได้มากทางภาคเหนือ บริเวณที่มีอากาศเย็นโดยมีการปลูกเป็นผักขายในเชิงพาณิชย์ทั่วไป
ประโยชน์และสรรพคุณจิงจูฉ่าย
- ใช้แก้ไข้
- ช่วยบำรุงปอด
- ช่วยฟอกเลือด
- ช่วยขับพิษ
- ช้วยทำให้เลือดไหลเวียนดี
- ช่วยขับลมในกระเพาะ และลำไส้
- แก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ
- ช่วยบำรุงกำลัง
- ช่วยบำรุงโลหิต
- ช่วยบำรุงตับ
- ช่วยคลายเส้น
- ช่วยคุมกำเนิด
- ช่วยปรับสมดุลร่างกาย
- ช่วยดับพิษ
- ทำให้เลือดลมหมุนเวียนได้สะดวก
- แก้อักเสบ
- แก้ผิวหนัง เป็นฝี ตุ่ม
- แก้ผดผื่นคัน
- บำรุงเลือดลมสตรี
- ช่วยประสะเลือด
ในทางการแพทย์แผนจีนได้ระบุว่ามีฤทธิ์เป็นยาเย็น (หยิน) จิงจูฉ่าย เป็นที่รู้จักกันดี ในวงการอาหารเนื่องจากมีการนิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารหลายชนิดอาทิเช่น นิยมนำส่วนใบไปทำเป็นอาหารรับประทานในประเภทแกงจืด หรือ ผัดผัก แต่ส่วนใหญ่จะใช้ใส่ในต้มเลือดหมูเพื่อช่วยดับกลิ่นคาว หรือ นำไปทอดกรอบกินคู่กับหอยโข่งทะเล หมู และใช้ทำกระดูกหมู หรือ ลูกชิ้นปลาอีกด้วย และยังมีการนำส่วนใบ และดอกมาอบแห้งใช้ทำชาชงดื่มอีกด้วย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
สำหรับการใช้จิงจูฉ่าย เป็นสมุนไพรตามสรรพคุณที่ได้ระบุว่ามานั้น ส่วนมากจะใช้ทำเป็นอาหารรับประทาน แต่ก็มีบ้างที่นำใบราก และดอกมาต้มกับน้ำดื่ม หรือ นำไปตากแห้งทำเป็นชาดื่ม เพื่อให้ได้สรรพคุณตามตำรายา
ลักษณะทั่วไปของจิงจูฉ่าย
จิงจูฉ่าย จัดเป็นไม้ล้มลุก หรือ ไม้พุ่มขนาดเล็ก ในสกุลโกฐจุฬาลัมพา มีราก หรือ เหง้าใหญ่มีขนาดลำต้นกระจายกว้าง สูง 0.5-1 ฟุต แตกกิ่งก้านหนาแน่นแผ่กว้าง ใบเป็นใบเดี่ยวออกแบบเรียงสลับ ใบเป็นรูปรีกว้าง 1.5-9 เซนติเมตร ยาว 3-11 เซนติเมตร โคนใบสอบแหลมเล็กน้อย ปลายในแหลม ขอบใบหยักลึก 5 แฉก เป็นรูปฟันเลื่อย หรือ เป็นรูปนิ้วมือ เนื้อใบหนา สีเขียวสด มีกลิ่นหอม รสขมเล็กน้อย และมีก้านใบยาว ดอกออกเป็นช่อแตกแขนงตั้งตรงที่ปลายยอด หรือ ตามง่ามใบ ดอกมีลักษณะเป็นดอกขนาดเล็ก ยาว 3.5-5 มิลลิเมตร กลีบดอกมีต่อแบ่งเป็น 2 ชั้น โดยดอกวงนอกยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร ส่วนดอกวงในโคนดอกจะเชื่อมติดกันเป็นรูประฆัง กลีบดอกมีสีขาว โคนดอกเชื่อมติดกันเป็นท่อปลายหยักแฉก 2-3 แฉก กลางดอกมีเกสรโผล่พ้นกลีบดอกออกมา และดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลเป็นผลแห้ง มีขนาดเล็กมาก ส่วนเมล็ดมีขนาดเล็กเป็นรูปไข่ผิวเกลี้ยง
การขยายพันธุ์จิงจูฉ่าย
จิงจูฉ่ายสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี เช่น การใช้เมล็ด การปักชำ และการแยกแขนงมาปลูก แต่วิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ การปักชำเนื่องจากเป็นวิธีการสะดวก และประหยัดเวลา โดยมีวิธีการดังนี้
เริ่มจากการเตรียมดินปลูกใส่ถุงดำ โดยใช้แกลบดิบ, แกลบดำ, ดินร่วน และปุ๋ยไส้เดือน อย่างละ 1 ส่วน จากนั้นนำต้นพันธุ์ที่เติบโตเต็มที่โดยการเลือกต้นที่มีขนาดสูงใหญ่ มีกิ่งก้านแตกจำนวนมากแล้วเลือกกิ่งที่มีขนาดใหญ่ และต้องมีตาอ่อนๆ หรือ ข้อใบ แล้วใช้กรรไกรตัดบริเวณเหนือโคนต้นขึ้นมา ประมาณ 1-2 เซนติเมตร จากนั้นเตรียมปักชำ โดยนำกิ่งที่ตัดออกมา วัดจากปลายส่วนที่ตัดขึ้นมาทางยอดประมาณ 10 เซนติเมตร ใช้กรรไกรตัดเหนือข้อใบเล็กน้อย ซึ่งเป็นส่วนที่จะแตกใบอ่อนออกมาได้ แล้วทำการริดใบอ่อนที่โคนแล้วตัดเฉลีบลเป็นปากฉลาม ปักลงดินปลูกที่เตรียมไว้ลึกพอให้กิ่งตั้งทรงได้ แล้วจึงกดดินกดดินรอบๆ แขนงที่ปักลงในดินปลูกให้แน่นใช้สเปรย์ฉีดน้ำให้ดินชุ่มชื้น เช้า-เย็น จากนั้นประมาณ 2-3 สัปดาห์ ก็จะเริ่มแตกกิ่งแขนงออกมาใหม่ และอีกประมาณ 1 เดือนต้นจิงจูฉ่าย ก็เติบโตเต็มที่พร้อมเก็บเกี่ยว
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยถึงองค์ประกอบทางเคมี ของสารสกัดจิงจูฉ่าย จากรากลำต้นและใบ รวมถึงน้ำมันหอมระเหยจากส่วนของลำต้น และใบของจิงจูฉ่ายระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดดังนี้ สารสกัดจากส่วน ราก ลำต้น และใบ ด้วย เมทานอล และเอทานอล พบสาร balanophonin, artemisisnin, aurantiamide, aurantiamide acetate, isovitexin, kaempferol, kaempferol-3-O-b-D-rutinoside, rutin, quercetin, caffeic acid ethyl ester, methyl 3, 5-di-O-caffeoyl quinate, 7-methoxycoumarin, 7-hydroxycoumarin และ methyl 3, 4-di-O-caffeoyl quinate ส่วนลำต้นและใบมีน้ำมันหอมระเหยที่ประกอบไปด้วยสาร (E)-13-farnesene, limonene, apiin, selinene, nerolidol, spathulenol, caryophyllene oxide, (-) -lavandulol, germacrene D และ zingiberene เป็นต้น
นอกจากนี้จิงจูฉ่าย ยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้ คุณค่าทางโภชนาการ ใบจิงจูฉ่าย (100 กรัม)
- พลังงาน 392 กิโลแคลอรี่
- โปรตีน 18 กรัม
- ไขมัน 25 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 41 กรัม
- วิตามินA 52 หน่วยสากล
- วิตามินB6 0.9 มิลลิกรัม
- วิตามินC 17 มิลลิกรัม
- วิตามินE 1 มิลลิกรัม
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของจิงจูฉ่าย
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของจิงจูฉ่าย ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาดังนี้
มีรายงานการศึกษาสกัดแยก และหาโครงสร้างสาร polyacetylene จากต้นจิงจูฉ่าย (Artemisialactiflora) โดยการนำส่วนเหนือดินของต้นจิงจูฉ่ายที่บดแห้ง น้ำหนัก10.00 กิโลกรัม มาสกัดโดยใช้เอทานอลเป็นตัวทำละลายได้สารสกัดหยาบ จากนั้นนำส่วนสกัดหยาบมาแยกองค์ประกอบทางเคมีด้วยเทคนิคคอลัมน์โครมาโทกราฟี และทินแลร์โครมาโทกราฟี (TLC) พบว่าได้สาร polyacetylene ชนิดใหม่ 1 ชนิดพบว่ามีโครงสร้างเป็น Artemisidiyne A จากนั้นได้ทำการศึกษาความเป็นพิษของสาร Artemisidiyne A โดยทดสอบกับเซลล์มะเร็งจำนวน 4 ชนิด คือ ลำไส้ใหญ่ (HCT-8), กระเพาะอาหาร (BGC-823), ปอด (A549) และเม็ดเลือดขาว (HL-60) ด้วยวิธี MTT method ผลการศึกษาพบว่า สาร Artemisidiyne A เป็นสารที่เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง 3 ชนิด คือ ลำไส้ใหญ่กระเพาะอาหารและปอดโดยมีค่า IC50 เท่ากับ 7.5, 1.1, และ 4.6 µM ตามลำดับ
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าสาร artemisinin sinin ที่พบในจิงจูฉ่าย ยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย และยังมีรายงานการศึกษาวิจัยระบุว่าจิงจูฉ่ายมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและมีฤทธิ์ในการต้านการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง โดยเตรียมสมุนไพรทดสอบ 5 วิธี คือ
- น้ำคั้นจากใบ
- สารสกัดเอทานอล วิธีหมัก
- สารสกัดเอทานอล (เตรียมโดยวิธี Soxhlet apparatus)
- สารสกัดไดคลอโรมีเทน
- สารสกัดปิโตเลียมอีเทอร์
จากนั้นนำสมุนไพรทดสอบมาศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยวิธี DPPH ผลการทดลองพบว่าสารสกัดสมุนไพร (1-4) มีค่าIC50 410.8 µg/ml, 278.2 µg/ml, 312.5 µg/ml, และ 982.3 µg/ml ตามลำดับ ส่วนสารสกัดสมุนไพร (5) ไม่มีฤทธิ์และการทดสอบฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเซลล์ด้วยวิธี MTT ในเซลล์มะเร็ง 3 ชนิด ที่ใช้ทดสอบได้แก่ เซลล์มะเร็งเต้านม, เซลล์มะเร็งรังไข่ และเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ผลการทดลองพบว่าสารกสัดสมุนไพรทั้งหมด มีฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งเต้านม โดยมีค่า ED50 371.23 µg/ml, 394.47 µg/ml, 21.07 µg/ml, 122.54 µg/ml ตามลำดับ และมีฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งรังไข่ ค่า ED50 ดังนี้ สารสกัดสมุนไพร (1) มีค่า 139.96µg/ml, สารสกัดสมุนไพร (2) มีค่า 205.1 µg/ml สารสกัดสมุนไพร (4) มีค่า 61.27 µg/ml, และสารสกัดสมุนไพร (5) มีค่า 111.49 µg/ml ส่วนสารสกัดสมุนไพร (3) ไม่มีฤทธิ์ต่อเซลล์มะเร็งเต้านม
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของจิงจูฉ่าย
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
สำหรับการใช้จิงจูฉ่ายเป็นอาหารนั้นนับได้ว่ามีความปลอดภัยสูงในระดับหนึ่ง แต่ในการนำไปแปรรูป หรือ นำไปใช้ในรูปแบบอื่นๆ ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาด และปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาด และปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง จิงจูฉ่าย
- เต็มสมิตินันทน์. 2544. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้สำนักวิชาการป่าไม้กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.
- อดุลย์ รัตนมั่นเกษม. จิงจูฮวยช่าย-ดอกแก้วเมืองจีน: ผักมากสรรพคุณและจานเด่นของชาวแต้จิ๋ว ข้ามทะเลมาแต่เมืองจีน. ครัว. สิงหาคม 2558 หน้า 120 - 121
- ราชันย์ ภู่มา และ สมราน สุดดี. (บรรณาธิการ). (2557). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้ และพันธุ์พืชกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช.
- พิธิยะภรณ์ อภิชาตยานนท์. การศึกษาพฤกษเคมีและฤทธิ์ทางชีวภาพจากส่วนเหนือดินของจิงจูฉ่าย. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาเคมีศึกษา คณะเภสัชวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา.พฤษภาคม 2560. 51 หน้า
- ภาวิณี อารีศรีสมและคณะ. ผลการสภาวะ การอบต่อองค์ประกอบทางพฤษเคมีปริมาณสารประกอบฟินอลิกรวมและคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระในจิงจูฉ่าย. วารสารผลิตกรรมการเกษตร ปีที่ 4. ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2565. หน้า 118-131
- ทศพล วรรักษ์กุลวงศ์ และสุรวิช วงศ์สวัสดิ์เวช, 2555. ฤทธิ์ต้านการแบ่งตัวของเซลล์ และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดสมุนไพรจิงจูฉ่าย , โครงการพิเศษปริญญาเภสัชศาสตร์บัณฑิต ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย,คณะเภสัชศาสตร์, มหาวิทยามหิดล.
- ภาวิณี อารีศรีสม, นรินทร์ ท้านแก่นจันทร์, กอบลาภ อารีศรีสม.ผลของการพรางแสง ระหว่างปลูกต่อองค์ประกอบของน้ำมันหอมระเหยและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของจิงจูฉ่าย,วารสารเกษตรพระจอมเกล้า ปีที่ 38. ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน 2563. หน้า 139-145
- Nakamura, Y., Ohto, Y., Murakami, A., Jiwajinda, S., & Ohigashi, H. (1998). Isolation and identification of acetylenic spiroketal enol ethers from Artemisia lactiflora as inhibitors of superoxide generation induced by a tumor promoter in differentiated HL-60 cells. Journal of Agricultural and Food Chemistry, 46, 5031−5036.
- Lin, F.D., D.W. Luo, J. Ye and M.T. Xiao. 2014. Chemical constituents of Artemisia lactiflora (II). China Journal of Chinese Materia Medica. 39(13): 2531-2535.
- Xiao, M.-T., Luo, D.W., Ke, Z., Ye, J., & Tu, P.-F. (2014). A novel polyacetylene from the aerial parts of Artemisia lactiflora. Phytochemistry Letters, 8, 52-54.
- Jing, Z.W., Z. Su-ying and Y. Yuan-yi. 2011. Analysis of chemical components ofvolatile oil from Artemisia LactifloraWall in North Guizhou province of China. Medicinal Plant. 2(6): 59-61.