จอก ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
จอก งานวิจัยและสรรพคุณ 19 ข้อ
ชื่อสมุนไพร จอก
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น กากอก, ผักกอก (ภาคเหนือ), จอกใหญ่ (ทั่วไป), ต้าฝูผิง, ไต่ผู้เฟี้ย (จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Pistia stratlotes Linn.
ชื่อสามัญ Water lettuec
วงศ์ ARACEAE
ถิ่นกำเนิดจอก
จอก จัดเป็นพืชในวงศ์ บอน (ARACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนของทวีปอเมริกาใต้ เช่นใน บราซิล, โคลัมเบีย, เอกวาดอร์, เวเนซุเอลา และซูรินาม เป็นต้น จากนั้นจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยัง เขตร้อนใกล้เคียง รวมถึงในทวีปเอเชียแอฟริกาและเขตอบอุ่นอื่นๆ ของโลก สำหรับในประเทศไทยสามารถพบจอก ได้ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยสามารถพบได้ทั้งในแหล่งน้ำไหลและน้ำนิ่งแต่จะพบมากในแหล่งน้ำนิ่ง ตามธรรมชาติโดยเฉพาะตามบึงขนาดใหญ่ หรือ ตามอ่างเก็บน้ำต่างๆ ทั้งน้ำจืดและน้ำกร่อย ในระดับความสูงจากระดับทะเลจนถึงประมาณ 3,000 เมตร
ประโยชน์และสรรพคุณจอก
- ใช้เป็นยาฟอกเลือดให้เย็น
- ช่วยขับความชื้นในร่างกาย
- แก้บวมน้ำ
- แก้ท้องมาน
- แก้ไข้
- ช่วยขับพิษไข้
- ใช้เป็นยาขับลม
- ช่วยขับปัสสาวะ
- ช่วยขับเหงื่อ
- รักษาโรคโกโนเรีย (หนองในแท้)
- แก้โรคผิวหนัง
- แก้หัด
- แก้ผดผื่นคัน มีน้ำเหลือง
- รักษาฝีหนองภายนอก
- แก้อาการบอบช้ำ ฟกช้ำดำเขียวจากการถูกกระแทก
- ช่วยขับเสมหะ
- ช่วยแก้หืด
- ช่วยแก้อาการบิด
- ใช้เป็นยาระบาย
สำหรับต้นอ่อนจอก มีการนำมาใช้เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงสัตว์และนำมาใช้ทำเป็นปุ๋ยหมัก อีกทั้งในปัจจุบันยังมีการนำจอก ใช้ปลูกประดับในอ่างเลี้ยงปลา เพื่อเป็นที่หลบบังให้กับปลาขนาดเล็ก ส่วนในต่างประเทศชาวอินเดียและแอฟริกามีการนำจอกมาใช้เป็นอาหารเพื่อรับประทานในยามขาดแคลนอีกด้วย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้เป็นยาเย็น ฟอกเลือดให้เย็น ขับความชื้นในร่างกาย ใช้แก้ไข้ ขับพิษไข้ ขับเหงื่อ ขับลม แก้โรคหนองใน(โกโนเรีย) โดยนำใบจอกที่เจริญเติบโตเต็มที่ (ควรจะเก็บใบในหน้าร้อน) มาล้างให้สะอาดตัดรากออกให้หมด นำมาตากแห้งซึ่งจะมีรสเค็ม เย็น และฉุน จากนั้นนำมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้บวมน้ำ แก้ท้องมาน โดยนำใบจอก สดกับน้ำตาลทรายอย่าละ 120 กรัม มาต้มกับน้ำ 3 ถ้วย ใช้อย่างละ 120 เหลือถ้วยเดียว แบ่งดื่มให้ได้ 3 ครั้ง หรือ จะใช้ใบแห้งประมาณ 15-20 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่มก็ได้
- ใช้แก้หัด แก้ผื่นคัน มีน้ำเหลืองได้ ด้วยการใช้ใบจอกสด 100 กรัม นำมาตาก หรือ ผิงไฟให้แห้ง บดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้งทำเป็นยาเม็ดลูกกลอน กินให้หมดภายใน 1 วัน ร่วมกับใช้ใบแห้งต้มกับน้ำ นำมาอบผิว แล้วใช้น้ำยาที่ต้มได้มาล้างบริเวณที่เป็นด้วย
- ใช้ขับปัสสาวะ ปัสสาวะไม่คล่อง โดยใช้ใบจอกแห้ง 15-20 กรัม มาต้มกับน้ำ
- ใช้แก้อาการบวมช้ำ อาการฟกช้ำดำเขียว จากการถูกกระแทก โดยนำใบจอกสดผสมกับน้ำตาลกรวดดำ อุ่นให้ร้อน ใช้เป็นยาพอกบริเวณที่เป็นจะช่วยแก้ หรือ จะใช้ใบจอก สดนำมาตำใช้เป็นยาพอกได้
- ใช้แก้โรคผิวหนัง ผดผื่นคันมีน้ำเหลือง แก้ฝีภายนอก โดยนำใบจอกสดมาตำพอกบริเวณที่เป็น
- ใช้เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ โดยนำรากจอกมาล้างให้สะอาด ตากให้แห้ง ต้มกับน้ำดื่ม
ลักษณะทั่วไปของจอก
จอก จัดเป็นพืชน้ำขนาดเล็กอายุหลายปี โดยเป็นพันธุ์ไม้ที่ขึ้นลอยและเจริญเติบโตอยู่บนผิวน้ำ ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำและจะมีความสูง 2.5-10 เซนติเมตร ทอดขนานไปกับผิวน้ำ มีรากระบบรากแก้วและมีรากฝอยสีขาวเป็นกระจุกจำนวนมากอยู่ใต้น้ำ
ใบจอก เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ บริเวณส่วนโคนของลำต้นโดยจะเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ รูปร่างของใบมีลักษณะ เป็นรูปไข่กลับ หรือ รูปใบพัด มีความยาวและความกว้าง 10-25 เซนติเมตร ฐานใบมนสอบแคบปลายใบมนหยักสอนเป็นคลื่น, ขอบใบเรียบมีแผ่นใบเป็นสีเขียวอ่อน มองเห็นเส้นใบเรียงขนานกันจากโคนถึงปลายใบ มีขนคล้ายกำมะหยี่ขึ้นปกคลุมทั้งสองด้าน แผ่นใบด้านล่างมีนวลบริเวณฐานใบพองออกมีลักษณะอ่อนนุ่มคล้ายกับฟองน้ำ ไม่มีก้านใบ
ดอกจอก ออกเป็นช่อบริเวณกลางต้น หรือ ตรงระหว่างกลางโคนใบ ดอกจอก มีทั้งดอกเพศผู้และเพศเมียแยกกันอยู่ แต่อยู่ใบช่อเดียวกันแต่ไม่มีกลีบดอกทั้ง 2 เพศ และดอกจะมีกาบห่อหุ้มดอกเป็นแผ่นสีเขียวอ่อนอยู่ 2-3 ใบ ก้านช่อดอกมีขนาดเล็กยาวประมาณ 1.2-1.5 เซนติเมตร โดยลักษณะของกาบด้านใบจะเรียบ ส่วนด้านนอกมีขนละเอียดปกคลุม ดอกเพศผู้จะอยู่ด้านบนดอกส่วนดอกเพศเมียจะอยู่ด้านล่าง ที่โคนดอกเพศผู้จะมีรยางค์แผ่นสีเขียวเชื่อมติดอยู่เป็นรูปถ้วยและมีเกสรเพศผู้ประมาณ 4-8 ก้าน ส่วนดอกเพศเมียจะมีรยางค์เป็นแผ่นสีเขียวติดอยู่เหนือรังไข่
ผลจอก เป็นผลสดชนิดแบคเดท (Bacdate) มีลักษณะเป็นแผ่นบางๆ หรือ เป็นกระเปาะขนาดเล็กรูปรี มีกาบ หรือ ใบประดับสีเขียวอ่อนติดอยู่ ภายในผลมีเมล็ดขนาดเล็ก ลักษณะกลมยาว สีน้ำตาลอ่อน อยู่ประมาณ 2-3 เมล็ด โดยเปลือกเมล็ดจะมีรอยย่น
การขยายพันธุ์จอก
จอก สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการแตกไหลออกไปรอบๆ ต้นแม่แล้วจึงงอกรากและลำต้นขึ้นมาใหม่ แต่เนื่องจากจอก ถูกจัดให้เป็นวัชพืชน้ำชนิดหนึ่งที่มีการแพร่กระจายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว จนถูกจัดให้เป็นวัชพืชรุกรานที่ปิดทางไหลของน้ำและขึ้นกันอย่างหนาแน่น ทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลงจึงส่งผลต่อสัตว์น้ำ ทำให้การตกปลา การว่ายน้ำ และการเดินเรือลำบาก ดังนั้นจึงไม่นิยมนำมาปลูกเลี้ยงตามสระบึง หรือ ตามแม่น้ำลำคลองต่างๆ ด้วยเหตุนี้ในปัจจุบันการขยายพันธุ์ของจอกจึงเป็นการขยายพันธุ์ในธรรมชาติเท่านั้น
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากทั้งต้นของจอก ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น
- สารกลุ่มฟลาโวนอยด์และสารประกอบฟืนอลิก เช่นorientin, Vitexin, luteolin-7-glucoside และ cyanidin-3-glucoside
- สารกลุ่มสเตอรอลและสเตียรอยด์ เช่น stigmasterol, stigmasteryl Stearate และ stigmasta-4,22-dien-3-one
- กลุ่มกรดไขมันและเอสเทอร์ เช่น Palmitic acid, stearic acid, linoleic acidy เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของจอก
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจอกจากส่วนต่างๆ ของจอกระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้
- ฤทธิ์ต้านการอักเสบ มีรายงานผลการศึกษาวิจัยระบุว่า สารสกัดจากกับจอกส่วนใบของจอกมีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบในหนูทดลองได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีฤทธิ์ลดการบวมของอุ้งเท้าหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยสารต่างๆ เช่น Carrageenan, histamine, serotonin, prostaglandin E และ bradykinin.
- ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ มีรายงานการศึกษาวิจัยระบุว่าสารสกัดจอก จากทั้งต้นของจอกแสดงฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราหลายชนิด อาทิเช่น Trichaphytonrubrum, Epidermophyton floccosum และ Microsporum gypseum
- ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีรายงานว่าสารสกัดเมทานอลจากใบของจอกมีฤทธิ์ในการกำจัดอนุมูลอิสระและลดความเสียหายของเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระได้
- ฤทธิ์ด้านพยาธิ มีรายงานการศึกษาวิจัยระบุว่าสารสกัดเอทานอลจากทุกส่วนของจอก มีฤทธิ์ทำให้พยาธิเกิดภาวะอัมพาตและตายได้ในระยะเวลาสั้น โดยมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับยา albendazole.
- ฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง มีรายงานการศึกษาระบุว่า สารสกัดเมทานอลจากจอกมีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางในหนูทดลอง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกันการกระตุ้นระบบ GABAergic.
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของจอก
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสารสกัดน้ำจากทุกส่วนของจอกระบุถึงการศึกษาพิษเฉียบพลันเอาไว้ว่า เมื่อให้สารสกัดน้ำจากทุกส่วนของจอก ในขนาดสูงแก่หนูทดลอง พบว่าสารสกัดดังกล่าวก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโลหิตวิทยาและชีวเคมีในหนูทดลอง เช่น จำนวนเม็ดเลือดแดงลดลงและพบโปรตีนในปัสสาวะ ซึ่งบ่งชี้ถึงความเป็นพิษต่อไต ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการใช้สารสกัดจากทุกส่วนของจอกในปริมาณสูง หรือ เป็นระยะเวลานานควรระมัดระวังและควรมีการติดตามค่าโลหิตวิทยาและการทำงานของตับและไตอย่างใกล้ชิด
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
ในการใช้จากเป็นสมุนไพรสำหรับบำบัดรักษาโรคต่างๆ นั้นควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ นอกจากนี้ยังมีข้อควรระวังในการใช้จอก เป็นสมุนไพรอีกเช่น สตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน อีกทั้งจอกยังเป็นพันธุ์ไม้น้ำที่สามารถดูดสารที่มีพิษในน้ำได้ดี ดังนั้นก่อนเก็บมาใช้ควรตรวจสอบแหล่งน้ำก่อนว่ามีพิษ หรือ ไม่ หากต้นจอกขึ้นอยู่ตามท้องน้ำที่เป็นพิษก็ไม่ควรเก็บมาใช้
เอกสารอ้างอิง จอก
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม. จอก. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย. ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 220-221.
- สุรชัย มัจฉาชีพ. 2538. วัชพืชในประเทศไทย. สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล. สำนักพิมพ์เพชร พิทยา. หน้า 43
- มูลนิธิมหาวิทยาลัยมหิดล.(2548). สารานุกรมสมุนไพร เล่ม 5. สมุนไพรพื้นบ้านอีสาน. หน้า 129.
- วิทยา บุญวรพัฒน์.จอก, หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. หน้า 176.
- จิตติมา วสุสิน. (2536). การศึกษาประสิทธิภาพของพืชน้ำในการบำบัดน้ำเสียจากแหล่งชุมชนและที่พักอาศัย. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต, สาขาเทคโนโลยีการบริหารสิ่งแวดล้อม, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยบูรพา.
- Tyagi, T., & Agarwal, M. (2017). Phytochemical screening and GC-MS analysis of bioactive. constituents in the ethanolic extract of Pistia stratiotes L. and Eichhornia crassipes (Mart.) solms. Journal of Pharmacognosy and Phytochemistry, 6(1).
- Hussain, M. S., et al. (2018). An in vivo study of the pharmacological activities of amethanolic acetate fraction of Pistia stratiotes L.: An ethno-medicinal plant used in Bangladesh. Animal Models and Experimental Medicine, Wiley Online Library.
- Tyagi, T., & Agarwal, M. (2017). GC-MS analysis of invasive aquatic weed, Pistia stratiotesL. and Eichhornia crassipes (Mart.) Solms. International Journal of Current Pharmaceutical Research, 9(3).
- Boyce, P.C. (2012).Araceae (Pistia).In Flora of Thailand Vol. 11(2):252-253.
- Liu, H. W., et al. (2002). Chemical constituents of Pistia stratiotes L. PubMed.
- Europe PMC. (n.d.). Pistia stratiotes (Jalkumbhi). Europe PMC.
- Koffuor, G. A., et al. (2012). Possible mechanism of anti-inflammatory activity and safety profile of aqueous and ethanolic leaf extracts of Pistia stratiotes Linn (Aracee). Journal of the Ghana Science Association, 14(1).