เห็ดเยื่อไผ่ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
เห็ดเยื่อไผ่ งานวิจัยและสรรพคุณ 16 ข้อ
ชื่อสมุนไพร เห็ดเยื่อไผ่
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น เห็ดร่างแห, เห็ดร่างแหกระโปรงยาว, เห็ดร่างแหกระโปรงสั้น
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dictyophora spp. ซึ่งในประเทศไทยมีรายงานการพบ 5 สายพันธุ์ ได้แก่
1. Dictyophora indusiata (Vent. ; Pers.) Fisch.
2. Dictyophora duplicata (Bosc) Fisch.
3. Dictyophora multicolor Fisch.
4. Dictyophora multicolor var. Boome
5. Dictyophora rubrovolvata Zang, & Liu
ชื่อสามัญ Basket stinkhorn, Bamboo mushroom, Bamboo fungus, Longnet stinkhorn, Veiled lady.
วงศ์ PHALLACEA
ถิ่นกำเนิดเห็ดเยื่อไผ่
เห็ดเยื่อไผ่ จัดเป็นจุลินทรีย์ในกลุ่ม fungi ที่มีถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติในพื้นที่ที่มีสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ซึ่งจะสามารถพบได้ในทวีปเอเชีย ออสเตรเลีย อเมริกา และทวีปแอฟริกา บริเวณป่าร้อนชื้น ที่ดินมีความอุดสมบูรณ์ และมีการทับถมของซากพืช หรือ อินทรียวัตถุสูง สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทุกภาคของประเทศ โดยจะพบได้ในป่าไผ่ สวนมะพร้าว สวนยางพาราและสวนมะม่วง เป็นต้น
ประโยชน์และสรรพคุณเห็ดเยื่อไผ่
- เป็นยาบำรุงร่างกาย
- แก้อาการอ่อนเพลีย
- บำรุงสมรรถภาพทางเพศ
- แก้อาการท้องเดิน
- รักษาความดันโลหิตสูง
- แก้ไขมันในเลือดสูง
- รักษาตับอักเสบ
- รักษาโรคเกี่ยวกับไต
- รักษาโรคเกี่ยวกับตา
- รักษาโรคเกี่ยวกับปอด
- แก้หวัด
- รักษาโรคลำไส้อักเสบ
- ต้านอนุมูลอิสระ
- ยับยั้งการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง
- ช่วยผลัดเซลล์ผิว
- เพิ่มภูมิต้านทาน
ประเทศจีนมีการนำเห็ดร่างแหมาใช้ประโยชน์มานานกว่า 3,000 ปีมาแล้ว โดยนำมาเป็นอาหาร และนำมาเป็นส่วนผสมในยา ซึ่งในอดีตเห็ดเยื่อไผ่จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดของยาอายุวัฒนะที่จัดเป็นเมนูเสวยให้กับฮ่องเต้ ต่อมาชาวจีนนิยมนำมาเป็นอาหารบำรุงร่างกาย โดยเมนูที่นิยมนำมาทำรับประทาน คือ ซุปเห็ดเยื่อไผ่ อีกทั้งยังมีการสกัดเอาสารสำคัญในเห็ดเยื่อไผ่มาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งยาเวชสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอีกด้วย ในปัจจุบันยังมีการเพาะเห็ดเยื่อไผ่จำหน่าย ซึ่งถือเป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งของจีน โดยมีราคาสูงถึง 3000-5000 บาท/กิโลกรัม
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
สำหรับการใช้ประโยชน์ในด้านสมุนไพรตามตำรับยาจีนนั้นระบุว่า ใช้บำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ แก้หวัด แก้ตับอักเสบ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง แก้โรคปอด โรคตา โรคไต โดยการนำเห็ดเยื่อไผ่ มาประกอบอาหารรับประทาน ใช้บำรุงสมรรถภาพทางเพศ โดยนำเมือกที่แผ่นปลอกหุ้มด้านบนของดอกเห็ดมาดองกับเหล้าดื่ม และในปัจจุบันยังมีการศึกษาวิจัยพบว่าสารสกัดจากเห็ดเยื่อไผ่ มีประโยชน์ และสรรพคุณทางยาอีกหลายประการ เช่น ต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง ช่วยผลัดเซลล์ผิว ต้านการอักเสบและเพิ่มภูมิต้านทาน ฯลฯ
ลักษณะทั่วไปของเห็ดเยื่อไผ่
เห็ดเยื่อไผ่มีลำดับขั้นการพัฒนาในธรรมชาติตั้งแต่เป็นเชื้อรา แล้วจึงพัฒนาตัวราจนกระทั่งเปิดดอก โดยใช้เวลานานประมาณ 1 ปี จากนั้นใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ในการสร้าง rhizomorphs ที่ลักษณะคล้ายราก และสร้างดอกเห็ดตูมขนาดเล็ก ขยายขนาดเป็นดอกที่ใหญ่ และจะเข้าสู่กระบวนการเปิดดอก จากนั้น 1-2 วัน ปลายดอกจะปริออก และมีการเปิดดอกโดยก้านดอก หมวกดอก และกระโปรงเห็ดจะยืดออก ถึงจะเข้าสู่ระยะสมบูรณ์ ภายในเวลา 2-3 ชั่วโมง ดอกเห็ดที่สมบูรณ์จะมีความสูงได้ถึง 25 เซนติเมตร ดอกตูมมีรูปร่างเหมือนไข่ และเมื่อบานจะมีรูปร่างทรงกรวย คล้ายระฆัง มีสีแตกต่างกันตามสายพันธุ์ตั้งแต่ขาว น้ำตาลอมเหลือง น้ำตาลอมแดง ถึงเทาอ่อน ยืดติดกับพื้นด้วยเส้นคล้ายรากขาว 1 เส้น ต่อมาด้านบนแตกออก ให้หมวกและก้านชูขึ้นมา เมื่อดอกเจริญเต็มที่จะมีโครงสร้างคล้ายตาข่ายห้อยลงมาจากขอบหมวกเห็ดเรียกว่า indusium ซึ่งอาจจะยาวถึงปลอกหุ้มโคนดอกเห็ด โดยแต่คาดว่าร่างแหอาจจะทำหน้าที่ช่วยล่อแมลงให้เข้ามาใกล้เพื่อช่วยแพร่กระจายสปอร์หมวกเห็ดมีขนาด กว้าง 25-35 มิลลิเมตร สูง 25-30 มิลลิเมตร รูประฆัง สีน้ำตาลอมเขียวหม่น มีรูเปิดเป็นวงขาวที่ยอดปกคลุมด้วยหลุมลึกเล็กๆ เต็มไปด้วยสปอร์ในน้ำเมือก มีกลิ่นเหม็น ก้านดอกเห็ดมีความยาว 100-150 มิลลิเมตร หนา 15-25 มิลลิเมตร รูปร่างทรงกระบอก ลักษณะคล้ายฟองน้ำกลวง มีสีขาว โคนใหญ่กว่าด้านบนเล็กน้อยรอบก้านมีร่างแหขาวยาว 100-120 มิลลิเมตร ห้อยลงมาจากใต้หมวก สปอร์ของเห็ดเยื่อไผ่ จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีลักษณะเหนียว มีกลิ่นเหม็นเน่า เพื่อช่วยล่อแมลง ให้แมลงช่วยแพร่กระจายสปอร์ไปยังที่ต่างๆ สปอร์มีขนาด 4-4.5 x 1.52 ไมโครเมตร ทรงรี ผิวเรียบ ผนังบางน้ำตาลอมเขียวมะกอก
การขยายพันธุ์เห็ดเยื่อไผ่
สำหรับการขยายพันธุ์เห็ดเยื่อไผ่ นั้น มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน และจีนยังเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีการเพาะเห็ดเยื่อไผ่เพื่อจำหน่าย
โดยในประเทศจีนมีรายงานว่าพบเห็ดร่างแห 9 ชนิด แต่มีการเพาะเลี้ยง เพื่อจำหน่ายเพียง 2 ชนิด คือ เห็ดร่างแหกระโปรงยาวสีขาว (Dictyophora indusiata Fisch.) และเห็ดร่างแหกระโปรงสีแดง (Dictyophora echinovolvata Zang.) ใช้เวลาเพาะเลี้ยงนานประมาณ 60 วัน
สำหรับขั้นตอนการเพาะเห็ดร่างแห มีดังต่อไปนี้
เริ่มจากเตรียมวัสดุเพาะที่ประกอบด้วย ใบไผ่ ขุยมะพร้าว และแกลบดิน ในอัตราส่วน 1:1:1 (แต่ทั้งนี้ต้องนำใบไผ่ และขุยมะพร้าว แช่น้ำ 1 คืนก่อน) การเพาะเห็ดเยื่อไผ่ ขั้นแรกให้นำดินปลูกโรยในชั้นเพาะให้หนาประมาณ 3 เซนติเมตร แล้วนำใบไผ่มาปู จากนั้นนำก้อนเห็ดร่างแหที่มีเส้นใยเห็ดร่างแหเจริญเต็ม นำมาวางเป็นชั้นที่ 3 แล้วจึงนำวัสดุเพาะส่วนที่เหลือโรยทับก้อนเห็ดร่างแห ให้มีความสุขหนาประมาณ 3 เซนติเมตร แล้วทำการกลบหน้าด้วยดินปลูก หรือ แกลบ และคลุมด้วยใบไผ่อีกด้วย รดน้ำพอชุ่ม แล้วจึงคลุมด้วยพลาสติกดำเป็นเวลา 15-20 วัน เพื่อเป็นการบ่นเส้นใย เมื่อครบกำหนดจึงนำพลาสติกออก รดน้ำทุกเช้า-เย็นแล้วรอจนกระทั่งดอกเห็ดบาน (ประมาณ 60 วัน) จึงสามารถเก็บเกี่ยวได้
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของเห็ดเยื่อไผ่ ระบุว่า พบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดเช่น dictyaphorine A,B, allantoin, glycolic acid, hyaturonic acid, dictyoqinazol A, B, C และ hydroxy methyl furfural (HMF) เป็นต้น
นอกจากนี้เห็ดเยื่อไผ่ ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เนื่องจากมีกรดอะมิโนถึง 16 ชนิด จากทั้งหมด 20 ชนิด โดยเป็นกรดอะมิโนจำเป็นถึง 7 ชนิด และยังมีวิตามิน B2 ค่อนข้างสูงอีกด้วย
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของเห็ดเยื่อไผ่
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารต่างๆ ที่พบในเห็ดเยื่อไผ่ ดังนี้
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีการศึกษาวิจัยพบว่าสาร Dictyophorine A และ B ที่พบในเห็ดเยื่อไผ่ มีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดเนื้องอกในสัตว์ทดลอง อีกทั้งสามารถช่วยในการปกป้องระบบประสาทไม่ให้ถูกทำลายจากสารพิษ ยังสามารถกระตุ้นการสร้างเซลล์ประสาทและสมองได้ อีกทั้งยังสามารถชะลอการเกิดกระบวนการออกซิเดชั่นได้หลายกระบวนการ และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังได้หลายโรค ส่วนในเมือกหุ้มดอกเห็ดที่มีลักษณะเป็นเจล พบว่ามีสาร allantoin และ hyaluronic acid ซึ่งมีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ ลดการระคายเคืองของผิว เพิ่มความชุ่มชื้นฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ส่วนสาร glycolic acid ก็มีฤทธิ์ในการผลัดเซลล์ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน นอกจากนี้สารกลุ่ม pdysaccharides ที่พบในเห็ดเยื่อไผ่ยังมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซนม์ไทโรซ์เนสที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดสีของผิวหนังได้อีกด้วย
การศึกษาทางพิษวิทยาของเห็ดเยื่อไผ่
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
เห็ดเยื่อไผ่สามารถรับประทานเป็นอาหารได้โดยมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากมีการรับประทานมาอย่างช้านานแล้ว แต่ทั้งนี้ผู้ที่แพ้เห็ดไม่ควรรับประทานเห็ดเยื่อไผ่ เนื่องจากอยู่ในกลุ่มเห็ดรา (fungi) เช่นเดียวกันกับเห็ดอื่นๆ ส่วนการเลือกซื้อเห็ดเยื่อไผ่ แบบแห้งนั้น ควรเข้าใจก่อนว่าสีธรรมชาติของเห็ดเยื่อไผ่แบบแห้ง หรือ อบแห้งจะมีสีน้ำตาล แต่หากพบเห็ดเยื่อไผ่แบบแห้งที่เป็นสีขาว ไม่ควรเลือกซื้อเกิดจากการรมควันด้วยสารฟอกขาว เพื่อยับยั้งการเปลี่ยนสีของเห็ดเยื่อไผ่ไม่ให้เป็นสีน้ำตาล โดยสารฟอกขาวที่ใช้ส่วนใหญ่ คือ sulphur dioxide ซึ่งอาจทำให้เกิดพิษต่อร่างกาย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหอบหืด หรือ ผู้แพ้สารนี้ โดยผู้ที่ได้รับสารนี้ในปริมาณมากจะมีอาการหายใจขัด คลื่นไส้ อาเจียน และปวดศีรษะ เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง เห็ดเยื่อไผ่
- จิราวรรณ หาญวัฒนกุล. (2549). เห็ดร่างแห หรือ เห็ดเยื่อไผ่. สำนักบริหารและรับรองห้องปฏิบัติการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
- ศิริลักษณ์ ชุมเขียว.การเปรียบเทียบ ปริมาณสารออกฤทธิ์ในวุ้นระยะไข่ของเห็ดเยื่อไผ่สายพันธุ์และจีน กระโปรงสั้นและยาว (สีขาว), รายงานการวิจัย สาขาวิชาชีววิทยา สำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี, กันยายน 2564. 23 หน้า
- ศูนย์วิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา พระบรมราชินีนาถ. (2552). เห็ดป่าในหุบเขาลำพญา. ยะลา : มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา. 156 หน้า.
- สุวลักษณ์ ชัยชูโชติ และคณะ. (2558). โครงการวิจัยและพัฒนาเห็ดเศรษฐกิจสายพันธุ์ใหม่. รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ 2558. สำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ. กรมวิชาการเกษตร
- Snail ของเห็นเยื่อไผ่กับ Snail ของหอยทาก, กระดานถาม-ตอบ สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.medhidol.ac.th/user/repiy.asp?id=6588
- Chandrasrikul A., et al., (2011).Checklist of Mushrooms (Basidiomycetes) in Thailand. 1st ed. Office of Natural Resource and Environmental Policy and Planning (ONEP), Thailand. 448 p.
- Kawagishi H, Ishiyama D, Mori H., et al., (1997). Dictyophorines A and B, two stimulators of NGF-synthesis from the mushroom Dictyophora indusiata. Phytochem 45(6):1203– 1205. doi:10.1016/S0031-9422(97)00144-1
- Liu X., Chen Y., Wu L., Wu X., Huang Y. & Liu B. (2017). Optimization of polysaccharides extraction from Dictyophora indusiata and determination of its antioxidant activity. International Journal of Biological Macromolecules, 103, 175-181.
- Chang S.T. and Miles, P.G., (2004). Edible mushrooms and their cultivation (2nd ed). Boca Raton London New York Washington, D.C.
- Wang, Q., Wang, F., Xu, Z., Ding, Z., (2017). Bioactive Mushroom Polysaccharides: A Review on Monosaccharide Composition, Biosynthesis and Regulation. Molecules 22(6) 955.