ไทรย้อย ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

ไทรย้อย งานวิจัยและสรรพคุณ 20 ข้อ

ชื่อสมุนไพร ไทรย้อย
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ไทร, ไทรย้อยใบแหลม (ภาคกลาง), ไฮ, ไทรพัน (ภาคเหนือ), ไฮ (ภาคอีสาน), ไทรกระเบื้อง, ไทร (ภาคใต้), จาเรย (ภาคตะวันออก, เขมร)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus benjamina Linn.
ชื่อสามัญ Golden fig, Benjamin tree, Benjamin fig, Weeping fig, Weeping Chinese bonyan.


ถิ่นกำเนิดไทรย้อย

ไทรย้อย จัดเป็นพืชในวงศ์ขนุน (MORACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิม ในเขตร้อนของทวีปเอเชีย เช่นในอินเดีย ศรีลังกา เนปาล ปากีสถาน บังกลาเทศ พม่า ไทย ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย เป็นต้น ต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไทรย้อย ไปยังเขตอาราม รวมถึงบริเวณที่รกร้างว่างเปล่า แถบชายป่าที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 1,300 เมตร


ประโยชน์และสรรพคุณไทรย้อย

  1. ช่วยบำรุงโลหิต
  2. แก้ตกโลหิต
  3. ช่วยบำรุงน้ำนม
  4. แก้กาฬโลหิต
  5. ช่วยขับปัสสาวะ ขับปัสสาวะให้คล่อง แก้ขัดเบา
  6. แก้ปัสสาวะพิการ
  7. แก้นิ่ว
  8. แก้ปัสสาวะมีสีต่างๆ
  9. แก้กษัย (อาการปวดเมื่อยซูบผอม โลหิตจาง)
  10. แก้ไตพิการ
  11. แก้ท้องเสีย
  12. ช่วยขับพยาธิ
  13. แก้ท้องร่วง ถ่ายเป็นมูกเลือด
  14. ช่วยห้ามเลือด สมานแผล
  15. แก้โรคเบาหวาน
  16. แก้โรคริดสีดวงทวาร
  17. แก้หูด
  18. ใช้เป็นยาระบาย
  19. ใช้ป้องกันโรคเหงือกบวม
  20. แก้นิ่ว

           นอกจากนี้ยังมีการใช้รากอากาศของไทรย้อยใน “พิกัดตรีธารทิพย์” คือ การจำกัดจำนวนตัวยาที่มีรสดังน้ำทิพย์ 3 อย่าง ประกอบด้วยรากราชพฤกษ์ รากไทรย้อย รากมะขามเทศ นำมาเข้ายารวมกันโดยมีสรรพคุณบำรุงน้ำนม แก้กษัย ฆ่าเชื้อคุดทะราด แก้ท้องร่วงอีกด้วย

           ในอดีตนิยมนำต้นไทรย้อยมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ เพราะมีทรงพุ่มแผ่กว้างให้ร่มเงาได้ดี แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนา ย่อส่วนต้นไม้ให้มีขนาดเล็กลง จึงทำให้มีการนำไทรย้อยมาปลูกเป็นไม้ประดับแคระ หรือ บอนไซกันอย่างแพร่หลายในธรรมชาติ ไทรย้อย นับเป็นที่อยู่อาศัยและเป็นแหล่งอาหารที่ดีของสัตว์ป่าหลายชนิด จึงช่วยทำให้เกิดสมดุลต่อระบบนิเวศในป่า

ไทรย้อย

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้บำรุงน้ำนม บำรุงโลหิต แก้ตกโลหิต ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ (โรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ มีปัสสาวะขุ่นข้น เหลือง หรือ แดง มีอาการแน่นท้อง กินอาหารไม่ได้) ปัสสาวะพิการ (อาการปัสสาวะปวด หรือ กะปริบกะปรอยหรือขุ่นข้น สีเหลืองเข้ม หรือ มีเลือด) แก้กษัย (อาการป่วยที่เกิดจากหลายสาเหตุ ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม ซูบผอม โลหิตจาง ปวดเมื่อย) แก้ขับเบา แก้นิ่ว แก้ท้องเสีย ขับพยาธิ โดยนำรากอากาศไทรย้อย มาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้ท้องเสีย ท้องร่วง บิดมูกเลือด โดยนำเปลือกลำต้นและใบไทรย้อยมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้เบาหวาน โดยนำเปลือกต้นไทรย้อย ต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้ริดสีดวงทวาร กัดหูด โดยนำยางจากต้นไทรย้อยทาบริเวณที่เป็น
  • ใช้ป้องกันเหงือกอักเสบ โดยนำรากไทรย้อยมาเคี้ยวเอาน้ำกลั้วปาก
  • ใช้ห้ามเลือด สมานแผล โดยนำใบและเปลือกไทรย้อยตำพอกบริเวณที่เป็น


ลักษณะทั่วไปของไทรย้อย

ไทรย้อย จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูง 5-20 เมตร ลำต้นแตกแผ่กิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มหนาทึบ เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาล กิ่งก้านห้อยย้อยลง ตามลำดับจะมีรากอากาศแตกย้อยลงจำนวนมาก โดยรากอากาศจะเป็นเส้นกลมสีน้ำตาลขนาดเล็กยาวเหมือนเส้นลวดย้อยลงมาจากต้น เมื่อลำต้นมีอายุมากรากอากาศจะมีขนาดใหญ่ มีเนื้อไม้ที่มีรสจืดและฝาด

           ใบไทรย้อย เป็นใบเดี่ยว ออกแบบเรียงสลับบริเวณกิ่งก้านใบ ใบไทรย้อย มีลักษณะเป็นรูปรีแกมรูปไข่มีขนาดกว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ยาว 5-11 เซนติเมตร บางสายพันธุ์อาจเป็นรูปกลมป้อม โคนใบสอบปลายใบเป็นติ่งเรียวแหลม ขอบใบเรียบ หรือ อาจเป็นคลื่นเล็กน้อย ผิวแผ่นใบมีสีเขียวค่อนข้างหนาผิวเรียบเป็นมันสามารถมองเห็นเส้นแขนงใบย่อยเรียงขนานกัน โดยจะมีเส้นแขนงใบมีข้างละ 6-16 เส้น มีต่อมไขที่โคนเส้นกลางใบและมีก้านยาวประมาณ 0.5-2 เซนติเมตร

           ดอกไทรย้อย ออกเป็นช่อที่เกิดภายในฐานรองดอกที่มีลักษณะรูปทรงกลมคล้ายผล โดยจะออกบริเวณซอกใบ หรือ ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ช่อดอกของไทรย้อย ก็คือ ผลไทรย้อยที่ยังไม่สุก ที่ม้วนดอกทั้งหลายกลับ นอกเข้าในผลซึ่งหากนำผลมาผ่าดูก็จะพบว่าที่ผนังมีดอกขนาดเล็กๆ จำนวนมากโดยดอกไทรย้อยจะออกเป็นคู่จากข้างกิ่งและมีอยู่ด้วย 3 ประเภท คือ ดอกเพศผู้ ดอกเพศเมียและดอกกอลล์ (Gall flower) ที่มีหน้าที่เป็นที่วางไข่และเลี้ยงตัวอ่อนของ “ตัวต่อไทร” (เป็นแมลงชนิดเดียวเท่านั้นที่ช่วยผสมเกสร)

           ผลไทรย้อย เป็นผลสดรูปทรงกลม หรือ รี มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.8 เซนติเมตร จากทั้งกิ่ง ผลอ่อนไทรย้อยเป็นสีเขียวเมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม สีส้มแดง สีน้ำตาล หรือ สีม่วงดำ

ไทรย้อย
ไทรย้อย

การขยายพันธุ์ไทรย้อย

ไทรย้อยเป็นพืชที่สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี อาทิเช่น การใช้เมล็ด การตอนกิ่ง และการปักชำ แต่วิธีที่เป็นนิยมในปัจจุบัน คือ การตอนกิ่งและการปักชำ เนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวกและต้นพันธุ์ใช้เวลาไม่นานก็สามารถและเจริญเติบโตได้ดี สำหรับวิธีการตอนกิ่งและการปักชำไทรย้อย นั้นสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการตอนกิ่งและปักชำไม้ยืนต้นชนิดอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ "เช่น ขนุน " ส่วนวิธีการปลูกนั้นสามารถทำได้ 2 วิธี คือ หากต้องการปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน หรือ ปลูกไว้เพื่อให้ร่มเงา ต้องขุดขนาดหลุมปลูก 30x30x30 เซนติเมตร จากนั้นใช้ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมัก ดินร่วนในอัตรา 1:2 ผสมดินปลูก หากต้องการปลูกไทรย้อย ในกระถางเพื่อประดับภายในและภายนอกอาคาร ควรใช้กระถางทรงสูงขนาด 12-18 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมัก:แกลบผุ:ดินร่วน ในอัตรา 1:1:1 ผสมดินปลูกและควรเปลี่ยนกระถาง 1-2 ปี/ครั้ง หรือ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของทรงพุ่มและควรตัดแต่งและบังคับรูปทรงของทรงพุ่มไม่ให้มีขนาดใหญ่เกินไปด้วย


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมี ของสารสกัดจากทั้งต้นของไทรย้อยระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด อาทิเช่น

  • สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ เช่น quercetin, quercetin-3-O-rutinoside, rutin, kaempferol-3-O-rutinoside, kaempferol-3-O-robinobioside, naringenin, ficusin A
  • สารกลุ่ม เทอร์ปีนอยด์, สเตอรอล และไตรเทอปีน เช่น β-sitosterol, stigmasterol, lupeol, ursolic acid, friedelin, α-amyrin, serrat-3-one
  • สารกลุ่มคูมาริน และฟูราโนคูมาริน เช่น bergapten (5-methoxypsoralen) และ imperatorin
  • สารกลุ่มแทนนิน และซาโปนิน เช่น Lupiwighteone, erysubin B, Benjaminamide, Pentacontanyl decanoate, (9,11), (18,19)-disecoolean-12-en-28-oic acid
  • สารกลุ่มฟีนอลิก เช่น caffeic acid, chlorogenic acid, p-coumaric acid, ferulic acid, syringic acid, cinnamic acid

           นอกจากนี้ยังพบสารต่างๆ ในน้ำมันหอมระเหย จากใบและกิ่งไทรย้อย เช่น α-pinene, germacrene-D-4-ol, cis-α-bisabolene, abietadiene, hexahydrofarnesyl-acetone, 1,10-di-epi-cubenol และ 1,8-cineole เป็นต้น

โครงสร้างไทรย้อย

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของไทรย้อย

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากเปลือกต้น รากอากาศ ใบ และผลของไทรย้อยระบุว่า มีฤทธิ์ทางเภสัชหลายประการ เช่น มีรายงานผลการศึกษาวิจัยในหลอดทดลองเกี่ยวกับ ฤทธิ์ต้านไวรัส ของสารสกัดจากส่วนเปลือกต้นและรากอากาศของไทรย้อย ระบุว่า สารกลุ่ม flavone glycosides เช่น quercetin-3-O-rutinoside, kaempferol 3-O-rutinoside, kaempferol 3-O-robinobioside ที่แยกได้จากสารสกัดดังกล่าว มีฤทธิ์ยับยั้งไวรัส HSV-1/HSV-2 (ที่เป็นต้นเหตุของโรคเริม/งูสวัด) ในเซลล์และบางตัวมี selectivity index สูง ใกล้เคียง หรือ เทียบได้กับยา acyclovir ซึ่งเป็นยารักษาโรคเริม นอกจากนี้สารสกัดจากส่วนดังกล่าวยังมีฤทธิ์ ต้านจุลินทรีย์ ต้านเชื้อรา และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยมีรายงานผลการทดสอบด้วยวิธี DPPH และ MIC หลายงานวิจัย อีกทั้งยังมีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านการอักเสบและบรรเทาปวดของสารสกัดไทรย้อย จากใบและลำต้น ในหนูทดลองพบว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบและฤทธิ์ป้องกันความเจ็บปวด โดยมีปริมาณขึ้นกับขนาดของสารสกัด carrageenan ส่วนฤทธิ์บรรเทาอาการปวด ใช้สารสกัดในปริมาณ 250 & 500 mg/kg ให้ผลเกือบเทียบเท่ากัน paracetamol 250 mg เช่นฤทธิ์ต้านการอักเสบใช้สารสกัดในปริมาณ 300 mg/kg ซึ่งจะให้ผลเทียบได้กับ diclofenac 10 mg/kg


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของไทรย้อย

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา มีรายงานการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา ระบุว่า เมื่อป้อนสารสกัดจากเปลือกลำต้นไทรย้อย ทางปากแก่หนูทดลองจนถึงขนาด 5,000 mg/kg ไม่พบอาการเป็นพิษและไม่พบว่ามีหนูทดลองตาย แต่มีรายงานอีกฉบับหนึ่งระบุว่า ฝุ่นและน้ำยางของไทรย้อย เป็นแหล่งของสารก่อภูมิแพ้ (allergen) ต่อผู้ไวต่อสารเหล่านี้


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

ผู้มีประวัติแพ้ยาง (latex), แพ้ผลมะเดื่อ หรือ มีอาการภูมิแพ้ต่อพืชในวงศ์ขนุน (MORACEAE) ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำยาง หรือ ใช้ไทรย้อย เป็นยาสมุนไพร เนื่องจากมีรายงานภาวะแพ้รุนแรงภาวะเยื่อบุตาอักเสบและภาวะหลอดลมหดเกร็งจากการสัมผัสน้ำยางและละอองฝุ่นจากต้นไทรย้อย


เอกสารอ้างอิง ไทรย้อย
  1. ราชันย์ ภู่มา และสมราน สุดดี. (2557) ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2557. กรุงเทพมหานคร. สำนักงานหอพรรณไม้สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  2. ไทรย้อยใบแหลม (Ficus benjamina L.). คู่มือความรู้พรรณไม้ กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. หน้า 43-46.
  3. ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม, ไทรย้อย. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย. ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 584.
  4. จุไรรัตน์ เกิดดอนแผก. (2563) สมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด กรุงเทพมหานคร. โรงพิมพ์เซเว่น พริ้นติ้ง กรุ๊ป จำกัด.
  5. ดรุณ สิทธิวงศ์, เสพบัณฑิต โหน่งบัณฑิต. สรรพคุณโพธิพฤกษ์ของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์. วารสารพุทธศาสตร์ศึกษา ปีที่ 14 ฉบับที่ 1.มกราคม-มิถุนายน 2566. หน้า 248-263. 
  6. ฐานข้อมูลเครื่องยาไทย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.ไทรย้อย, [ออนไลน์]. 2025, แหล่งที่มา: https://phar.ubu.ac.th/herb-DetailThaicrudedrug/73.
  7. Mahmud, A.-S., Meem, I. J., Hasan, Md. R., Maruf, Md. M., Islam, A., & Akter, Mst. S. (2025). Pharmacological investigation of the active fractions of Ficus benjamina leaf extract. Journal of Medicinal Natural Products (JMNP), 2(3), Article 100015.
  8. Yarmolinsky, L., Huleihel, M., Zaccai, M., & Ben-Shabat, S. (2012). Potent antiviral flavone glycosides from Ficus benjamina leaves. Fitoterapia, 83(2), 362-367.
  9. Singh, A., Mukhtar, H. M., Kaur, H., & Kaur, L. (2020). Investigation of antiplasmodial efficacy of lupeol and ursolic acid isolated from Ficus benjamina leaves extract. Natural Product Research, 34(17), 2514-2517.
  10. Ul Hasan Mattu, R., Parveen, M., Ghalib, R. M., Mehdi, S. H., & Ali, M. (2009). A novel antimicrobial triterpenic acid from the leaves of Ficus benjamina (var. comosa). Journal of Saudi Chemical Society, 13, 287-290. 
  11. Parveen, M., Ghalib, R. M., Mehdi, S. H., Rehman, S. Z., & Ali, M. (2009). A new triterpenoid from the leaves of Ficus benjamina (var. comosa). Natural Product Research, 23(8), 729-736. 
  12. Khan, F., Afzal, S., Akhtar, M. H., Laiq, M., Zahra, S., Majeed, H., Saeed, B., Qureshi, M. S., & Abid, H. M. U. (2024). Evaluation of anti-inflammatory activity of methanolic extract of Ficus benjamina L. using carrageenan-induced paw edema model in albino rats. Journal of Population Therapeutics & Clinical Pharmacology, 31(4), 1307-1313.
  13. Imran, M., Rasool, N., Rizwan, K., Zubair, M., Riaz, M., Zia-Ul-Haq, M., Rana, U. A., Nafady, A., & Jaafar, H. Z. E. (2014). Chemical composition and biological studies of Ficus benjamina. Chemistry Central Journal, 8, Article 12. pp. 1-10.
  14. Simo, C. C. F., Kouam, S. F., Poumale, H. M. P., Simo, I. K., Ngadjui, B. T., Green, I. R., & Krohn, K. (2008). Benjaminamide: a new ceramide and other compounds from the twigs of Ficus benjamina (Moraceae). Biochemical Systematics and Ecology, 36(3), 238-243.
  15. Ogunwande, I. A., Jimoh, R., Ajetunmobi, A. A., Avoseh, N. O., & Flamini, G. (2012). Essential oil composition of Ficus benjamina (Moraceae) and Irvingia barteri (Irvingiaceae). Natural Product Communications, 7(12), 1673-1675.. 
  16. Dai, J., Shen, D., Yoshida, W. Y., Parrish, S. M., & Williams, P. G. (2012). Isoflavonoids from Ficus benjamina and their inhibitory activity on BACE1. Planta Medica, 78(12), 1357-1362.
  17. Werfel, S. (2001). Anaphylactic reaction to Ficus benjamina (weeping fig). (Case report). Allergy (2001). PMID: 11715387