หญ้าปากควาย ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

หญ้าปากควาย งานวิจัยและสรรพคุณ 13 ข้อ

ชื่อสมุนไพร หญ้าปากควาย
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น หญ้าปากคอก, หญ้าปากกล้วย, หญ้าตีนตุ๊กแก, หญ้าสายน้ำผึ้ง (ทั่วไป)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dactyloctenium aegyptium (L.) P. Beaur.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Dactyloctenium aegyptium (L.) Willd., Dactyloctenium aegyptiacum Willd., Dactyloctenium aegyptium var., mucronatum (Michx.) Schweinf., Chloris mucronata Michx., Cenchrus aegyptius (L.) P.Beauv., Cynosurus aegyptius L., Eleusine aegyptia (L.) Roxb., Eleusine pectinata Moench)
ชื่อสามัญ Crowfoot grass, Beach wiregrass, Egyptair finger grass
วงศ์ GRAMINEAE


ถิ่นกำเนิดหญ้าปากควาย

หญ้าปากควาย เป็นพืชในวงศ์หญ้า (POACEAE-GRAMINEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนของทวีปอเมริกา บริเวณเม็กซิโก กัวเตมาลา นิการากัว รวมถึงทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนต่างๆ ทั่วโลก อาทิ ในทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชีย และทวีปยุโรปบางประเทศ สำหรับในประเทศไทยหญ้าปากควาย ปัจจุบันถูกจัดเป็นวัชพืชที่สำคัญและสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศบริเวณพื้นที่เปิดโล่ง ตามริมถนนหนทางตามพื้นที่เกษตรกรรมต่างๆ ที่มีระดับความสูง 350 เมตร


ประโยชน์และสรรพคุณหญ้าปากควาย

  1. ช่วยเจริญธาตุไฟ
  2. ช่วยดับพิษกาฬ
  3. แก้พิษไข้
  4. แก้ไข้หวัดและไข้หัวทุกชนิด
  5. แก้ไข้ตรีโทษ
  6. ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย
  7. แก้พิษฝี
  8. ช่วยขับปัสสาวะ
  9. ช่วยลดอาการบวมน้ำ
  10. ช่วยย่อยอาหาร
  11. แก้ปวด
  12. แก้บวม
  13. แก้อักเสบ

           หญ้าปากควาย ถูกนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์กินหญ้า เช่น โค กระบือ ม้า โดยปล่อยให้สัตว์เข้าไปแทะเล็มตามบริเวณที่มีหญ้าปากควายขึ้นอยู่ ซึ่งในหญ้าปากควาย 100 กรัม จะมีโปรตีน 7.4-8.6% ลิกนิน 4.2% โพแทสเซียม 1.41-1.60% แคลเซียม 0.50-0.53% ADF 27.6-42.2% NDF 55.1-75.6% และ DMD 55.2-59.1%

หญ้าปากควาย

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ช่วยเจริญธาตุไฟ ดับพิษร้อนในร่างกาย ดับพิษกาฬ แก้ไข้หัว และไข้หวัดทุกชนิด แก้ไขตรีโทษ ขับปัสสาวะ ลดอาการบวมน้ำ ช่วยย่อยอาหาร โดยนำทั้งต้นหญ้าปากควายนำมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้พิษฝี โดยนำทั้งต้นหญ้าปากควาย มาต้มมาต้มกับน้ำดื่ม และใช้ต้นสดตำพอกบริเวณที่เป็นฝีด้วย
  • ใช้แก้อาการปวด แก้บวม แก้อักเสบ โดยนำทั้งต้นหญ้าปากควายมาตำผสมกับเหล้า ใช้พอก หรือ ทาบริเวณที่เป็น


ลักษณะทั่วไปของหญ้าปากควาย

หญ้าปากควาย จัดเป็นพืชล้มลุกตระกูลหญ้า โดยจะมีอายุปีเดียว ลำต้นสีเขียวกลมเป็นปล้องลวงกว้างประมาณ 5 มิลลิเมตร และมีความสูงของต้นประมาณ 10-20 เซนติเมตร

           ใบหญ้าปากควาย เป็นใบเดี่ยวออกตามข้อลำต้น ใบเป็นรูปแถบ หรือ รูปใบหอกกว้าง 1-2 เซนติเมตร ยาว 5-10 เซนติเมตร โคนใบตัด ปลายใบแหลม แผ่นใบเกลียว มีกาบใบยาว 3-5 เซนติเมตร ลักษณะเกลี้ยง ส่วนขอบใบมีขนยาวและมีลิ้นใบเป็นเยื่อยาว 1.5 มิลลิเมตร ส่วนปลายมีขน

           ดอกหญ้าปากควาย ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดบริเวณปลายกิ่ง ช่อดอกแตกแขนง 4-6 แขวง คล้ายรูปนิ้วมือ กว้าง 4-6 เซนติเมตร ยาว 2.2-3.8 เซนติเมตร แกนช่อเป็นเหลี่ยม ช่อย่อยออกติดที่แกนแขนงช่อดอกด้านเดียวแบบเรียงสลับ ไร้ก้านมีลักษณะเป็นรูปไข่แบบด้านข้างกว้าง 2-2.5 มิลลิเมตร ยาว 4 มิลลิเมตร มีสีขาวแซมเขียว กาบช่อย่อยเนื้อมีลักษณะบางคล้ายกระดาษ กาบล่างเป็นรูปใบหอก ปลายแหลม มีขนบริเวณสันกลางกาบ ส่วนกาบบนมีลักษณะเป็นรูปไข่กลับยาว 3 มิลลิเมตร ปลายเรียวแหลมคล้ายรยางค์ยาวประมาณ 1.5 มิลลิเมตร มีขนที่โคนและสันของกลางกาบ ส่วนก้านช่อดอกมีลักษณะกลมยาว 10-20 เซนติเมตร

           ผลหญ้าปากควาย เป็นผลรวมมีขนาดเล็ก ลักษณะกลม หรือ คล้ายรูปไต ยาว 1.1-1.2 มิลลิเมตร มีสีน้ำตาล ผิวผลเป็นคลื่น ในผลมีเมล็ดอยู่จำนวนมาก

หญ้าปากควาย
หญ้าปากควาย

การขยายพันธุ์หญ้าปากควาย

หญ้าปากควาย สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด ในปัจจุบันหญ้าปากควายถูกจัดเป็นวัชพืชที่สำคัญทางการเกษตร ดังนั้นจึงไม่นิยมนำมาปลูกขยายพันธุ์ การขยายพันธุ์ของหญ้าปากควายจึงเป็นการขยายพันธุ์ โดยการใช้เมล็ดในธรรมชาติเท่านั้น สำหรับวิธีการขยายพันธุ์หญ้าปากควายนั้นสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและการปลูกพืชตระกูลหญ้าอื่นๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ ทั้งนี้หญ้าปากควาย เป็นพืชที่ทนแล้งได้ดี ชอบแสงแดดตลอดวัน สามารถเจริญเติบโตได้ทุกสภาพดิน แต่จะเจริญได้ดีในดินทรายหรือดินร่วนปนทราย


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมี ของสารสกัดจากใบของหญ้าปากควาย ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญดังนี้ cynogenic glycoside, oxalic acid, oxalate, glutamic and aspartic acid, cystine, tyrosine uridine 5-hydroxypyrimidine-2, 4 (3H,5H)- dione; 6'Glyceryl asysgangoside, P. hydroxy benzoic acid, 2 amino, 2 methyl, (5,6 di hydroxymethyl), 1,4 dioxane P. hydroxy benzaldhyde, tricin, vanillic acid, β-sitosterol-3-O-β-D-glucoside และ asysgangoside adenine

โครงสร้างหญ้าปากควาย

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของหญ้าปากควาย

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดหญ้าปากควาย จากส่วนต่างๆ ของหญ้าปากควายระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ ดังนี้

           ฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ มีรายงานผลการศึกษาวิจัย สารสกัดเมทานอลจากส่วนเหนือดินของหญ้าปากควายระบุว่า มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Stapylococcus aureus มาตรฐานและ Stapylococcus aureus โดยมีค่า MIC เท่ากับ 7.6-7.7 มก./มล. ส่วนแบคทีเรียสายพันธุ์ Stapylococcus aureus และ Escherichia coli มีค่า MIC เท่ากับ 6.5-7 มก./มล.

           ฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์ มีรายงานผลการศึกษาวิจัยความเป็นพิษต่อเซลล์ของสารสกัด n-hexane, ethyl acetate และ n-butanol จากส่วนเหนือดินของหญ้าปากควาย โดยได้ทำการทดลองกับเซลล์เนื้องอกของมนุษย์ 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เซลล์มะเร็งตับ (HepG-2) เซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ (HCT-116) และเซลล์มะเร็งเต้านม (MCF-7) พบว่า สารสกัด ethyl acetate และ n-hexane มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งทุกเซลล์มากที่สุดโดยมีค่า IC50 ตั้งแต่ 6.1 ถึง 9.6 ไมโครกรัม/มล. เมื่อเปรียบเทียบกับ n-butanol

           ฤทธิ์ต้านเบาหวาน มีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านเบาหวานของสารสกัดต่างๆ ของหญ้าปากควาย ในหนูทดลองที่ถูกชักนำให้เป็นโรคเบาหวาน ด้วยสเตรปโตโซโทซิน ผลการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดทั้งหมดแสดงให้เห็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของระดับกลูโคสในซีรั่ม โดยสัตว์ที่ได้รับสารสกัดเอธานอล มีระดับน้ำตาลในเลือด HbA1c, malondialdehyde ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนระดับอินซูลิน Hb, SOD, catalase, กลูตาไธโอน และน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

           ฤทธิ์ต่อระบบทางเดินนอาหาร มีรายงานการศึกษาสารสกัดเอธานอลของหญ้าปากควาย เกี่ยวกับฤทธิ์ต้านแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจาแอสไพรินร่วมกับการรัดไพโลรัสในหนู ที่เกิดจากกรดไฮโดรคลอริก และที่เกิดจากความเครียดจากการแช่ในน้ำในหนูทดลอง โดยให้ยาทางปากในขนาด 300 มก./กก. น้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดดังกล่าวมีฤทธิ์ต้านแผลในกระเพาะอาหารอย่างมีนัยสำคัญ โดยในการทดลองทั้งหมดการรัดไพโลรัสแสดงให้เห็นการลดลงอย่างมียังสำคัญ (P<0.01) ของความเป็นกรดและแผลในกระเพาะอาหารในสัตว์ที่ได้รับสารสกัดหญ้าปากควาย เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม อีกทั้งสารสกัดยังทำให้แผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากกรดไฮโดรคลอริกลดลง 89.71% และการป้องกันแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากความเครียดยังลดลงได้ 95.3%


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของหญ้าปากควาย

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสารสกัดเอทานอล จากทั้งต้นของหญ้าปากควาย ระบุว่า เมื่อป้อนสารสกัดเอทานอล จากทั้งต้นของหญ้าปากควายในหนูและหนูตะเภา พบว่าไม่พบความเป็นพิษแม้ว่าจะป้อนสารสกัดในขนาดสูงถึง 2,000 มก./กก.

           นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยโดยให้สารสกัดทางปากแก่หนูทดลองในขนาด 200, 400 และ 600 มก./กก. น้ำหนักตัว จากนั้นจึงได้ตรวจค่าทางชีวเคมีในซีรั่ม เช่น โปรตีน อัลบูมิน โกลบูลิน คลิเอตินินและเอนไซม์ของตับ (SGOT, SGPT และ ALP) พบว่าสารสกัดเอทานอลในนอล 200, 400 และ 600 มก./กก. น้ำหนักตัว ไม่ได้ทำให้พารามิเตอร์ทางชีวเคมีเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก อย่างไรก็ตาม การให้สารสกัดในขนาดสูงพบว่าทำให้ระดับอัลบูมิน โกลบูลิน และ SGOT ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

สำหรับผู้ที่ต้องการมีบุตรไม่ควรใช้หญ้าปากควาย เป็นสมุนไพร โดยเฉพาะรูปแบบการรับประทานเนื่องจากมีรายงานผลการศึกษาวิจัยระบุว่า เมื่อให้สารสกัดเอทานอลจากส่วนเหนือดินของหญ้าปากควาย ในขนาด 200, 400 และ 600 มก./กก. น้ำหนักตัว พบว่าระดับเทสโทสเตอโรนในซีรั่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญและระดับเอสโตรเจนในซีรั่มเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม น้ำหนักของอัณฑะ ท่อเก็บอสุจิ (คอและคอตา) ท่อนำอสุจิและต่อมลูกหมากลดลง รวมถึงจำนวนอสุจิทั้งหมดและจำนวนสเปิร์มลดลงอีกด้วยและเมื่อป้อนสารสกัดเอธานอลดังกล่าวแก่หนูทดลองตัวเมียที่ตั้งครรภ์ พบว่าจำนวนตัวอย่างลดลงตตามขนาดยา


เอกสารอ้างอิง หญ้าปากควาย
  1. ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้.ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทร์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2544. ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้ พิมพ์ครั้งที่ 2 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม), พิมพ์ที่ บริษัทประชาชน จำกัด.2544
  2. หญ้าปากควาย. คู่มือการจัดการปัญหาศัตรูมันสำปะหลังแบบผสมผสาน. สำนักวิจัยพัฒนาการยารักษาพืช.กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. หน้า 75.
  3. จรรยา มณีโชติ และคณะ. ศึกษาสถานการณ์การระบาดและการจัดการปัญหาของวัชพืชต้านทานสารกำจัดวัชพืชในอ้อย. รายงานผลงานวิจัยประจำปี 2556. สำนักงานพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์. หน้า 26-33.
  4. Naik BS, Dangi NB, Sapkota P, Wagle N, Nagarjuna S, Sankaranand R and Kumara BA. Phytochemical screening and evaluation of anti-fertility activity of Dactyloctenium aegyptium in male albino rats. Asian Pacific Journal of Reproduction 2016; 5(1): 51-57.
  5. Mannetje L and Jones RM. Plant resources of South-East Asia. No.4. Forages. Bogor. Indonesia 1992.
  6. Kayed AM, EL- Sayed ME and El-Hela AA. New epoxy megastigmane glucoside from Dactyloctenium aegyptium L. P. Beauv Wild (Crowfootgrass). Journal of Scientific and Innovative Research 2015; 4(6): 237-244.
  7. Nagarjuna S, Murthy TE and Srinivasa RA. Anti-diabetic activity of different solvent extracts of Dactyloctenium aegyptium in streptozotocin induced diabetic rats. RJPBCS 2015; 6(3): 485-493.
  8. Khan AV, Ahmed QU and Khan AA. Antibacterial potential of some plants of traditional use in India against pathogenic strains of S. aureus. Journal of Coastal Life Medicine 2015;  3(3): 204-210.
  9. Janbaz KH, Saqib F. Pharmacological evaluation of Dactyloctenium aegyptium: an indigenous plant used to manage gastrointestinal ailments. Bangladesh J Pharmacol 2015; 10(2): 295-302.
  10. Veeresh KP, Shobharani S, Kumar MR and Mangilal T. Evaluation of anti-ulcer activity of ethanolic extract of Dactyloctenium aegyptium. Int J of Res in Pharmacology& Pharmacotherapeutics 2016; 5(1): 19-23.
  11. .Khan AV, Ahmed QU, Khan AA and Shukla I. In vitro antibacterial efficacy of some important traditional medicinal plants in India against Escherichia coli and Staphylococcus aureus strains. Journal of Medicinal Plants Research 2013; 7(7): 329-338.
  12. Gupta A and Pandey VN. Herbal remedies of aquatic macropytes of Gorakhpur distract Uttar Pradesh (India). Int J Pharm Bio Sci 2014; 5(1): (B) 300-308
  13. Khan AV. Ethnobotanical studies on plants with medicinal and anti-bacterial properties. PhD Thesis, Aligarh Muslim University, Aligarh, India 2002.