ชมพู่น้ำดอกไม้ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

ชมพู่น้ำดอกไม้ งานวิจัยและสรรพคุณ 13 ข้อ

ชื่อสมุนไพร ชมพู่น้ำดอกไม้
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น มะซามุด, มะห้าคอกลอก (ภาคเหนือ), มะน้ำหอม (ภาคอีสาน), ชมพู่น้า, ยาบู่ปะนาว่า (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Syzygium jambos (L.)Alston
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Eugenia jambos Linn
ชื่อสามัญ Rose apple
วงศ์ MYRTACEAE


ถิ่นกำเนิดชมพู่น้ำดอกไม้

ชมพู่น้ำดอกไม้ จัดเป็นพันธุ์ไม้ ที่มีการพัฒนาสายพันธุ์มาจากอินเดีย และเป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในประเทศไทย โดยมีถิ่นกำเนิดกระจายตัวอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณ พม่า ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย และอินโดนีเซีย สำหรับในประเทสไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ บริเวณชายป่า หรือ ตามที่รกร้างว่างเปล่าทั่วไป แต่ปัจจุบันมีการนำมาปลูกตามบ้านเรือน หรือ เรือกสวนไร่นามากขึ้น


ประโยชน์และสรรพคุณชมพู่น้ำดอกไม้

  • แก้เบาหวาน
  • แก้ท้องเสีย
  • แก้โรคบิด
  • แก้ท้องร่วง
  • เป็นยาบำรุงหัวใจ
  • ใช้เป็นยาชูกำลัง
  • แก้ลมปลายไข้
  • เป็นยาลดไข้
  • แก้บิด
  • แก้ตาอักเสบ
  • ใช้ล้างแผลสด
  • รักษาโรคผิวหนัง
  • แก้ผื่นคัน

            เนื่องจากชมพู่น้ำดอกไม้เป็นพืชพื้นถิ่นของไทย ดังนั้นจึงมีการนำมาใช้ประโยชน์ตั้งแต่ในอดีตแล้ว โดยประโยชน์หลักๆ คือ การนำมารับประทานเป็นผลไม้ ซึ่งผลสุกของชมพู่น้ำดอกไม้ มีกลิ่นหอม และมีรสหวานกรอบ และยังมีสีสันสวยงามมาก อีกทั้งในปัจจุบันชมพู่น้ำดอกไม้ยังเป็นพันธุ์ไม้หายากที่มีการประกาศให้อนุรักษ์เอาไว้ จึงทำให้ผล และต้นกล้ามีราคาแพง จึงเริ่มมีการเพาะต้นกล้าจำหน่าย ในส่วนของเปลือกต้น นำมาสกัดเป็นสารที่ให้สีน้ำตาลได้อีกด้วย

ชมพู่น้ำดอกไม้

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้บำรุงหัวใจ ใช้เป็นยาชูกำลัง โดยนำผลสุกมารับประทานสดๆ หรือ นำไปปรุงกับตัวยาชนิดอื่นก็ได้
  • ใช้แก้เบาหวาน แก้ท้องเสีย ท้องร่วง แก้บิด โดยนำส่วนของเปลือกต้น หรือ เมล็ดมาต้มกับน้ำดื่ม หรือ นำมาตากแห้งชงดื่มแบบชาก็ได้
  • ใช้ลดไข้ โดยนำใบสดมาต้มกับน้ำดื่ม หรือ นำใบสดมาตากให้แห้งแล้วจึงมาชงดื่มก็ได้
  • ใช้รักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน โดยนำใบสดมาตำพอกบริเวณที่เป็น
  • ใช้ล้างแผลสด โดยนำใบมาต้มกับน้ำแล้วนำน้ำที่ได้มาล้างแผล

 

ลักษณะทั่วไปของชมพู่น้ำดอกไม้

ชมพู่น้ำดอกไม้ จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีอายุยืนยาว 20-40 ปี ทรงพุ่มทึบ มีความสูงของต้นประมาณ 10 เมตร ลำต้นสูงตั้งตรง เปลือกต้นสีน้ำตาลค่อนข้างเรียบแตกกิ่งก้านมากพอสมควร โดยจะแตกกิ่งก้านตั้งแต่โคนต้น ส่วนปลายต้นแตกกิ่งเป็นทรงพุ่มเรียวแหลม ใบเป็นใบเดี่ยว (simple leaf) ออกเรียงตรงข้ามใบมีลักษณะเป็นรูปหอก (lanceotate) กว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 12-17 เซนติเมตร โคนใบมนรีปลายใบแหลมค่อนข้างยาว (very acuminate) ขอบใบเรียบแผ่นใบหนาเป็นมัน สีของใบด้านบนสีเขียว และจะมีสีคล้ำกว่าด้านล่าง เส้นใบเป็นแบบก้างปลา มี 10-17 คู่  ดอกออกเป็นช่อแบบช่อกระจะโดยจะออกบริเวณปลายกิ่ง โดยใน 1 ช่อดอกจะมีดอกย่อย 3-8 ดอก ขนาดของดอกย่อยมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 เซนติเมตร มีลงของกลีบเลี้ยง (corolla) สีขาว 4 อัน และมีเกสรตัวผู้สีขาวจำนวนมาก โดยเกสรตัวผู้วงที่อยุ่นอกสุดจะมีความยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ส่วนแถวที่อยู่ด้านในยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร สำหรับก้านเกสรตัวเมีย ส่วนโคนจะเป็นสีเหลืองอ่อน ตอนปลายจะเป็นสีเขียวอ่อน ยาวประมาณ 3.5 เซนติเมตร ดอกมีกลิ่งหอมอ่อนๆ ผลเป็นผลสด โดยจะออกเป็นช่อในแต่ละช่อจะมีผลเป็นเดี่ยว มีลักษณะเกือบกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-6 เซนติเมตร ในส่วนของปลายผลจะมีกลีบเลี้ยงติดอยู่ 4 กลีบ ผลดิบเป็นสีเขียวเข้ม เมื่อแก่สุกแล้วจะเป็นสีเขียวอ่อน หรือ สีเหลืองทอง ภายในผลกลวง เนื้อด้านในบางกรอบเป็นสีขาวนวล หรือ สีเขียวอ่อน มีกลิ่นหอมคล้ายกับดอกกุหลาบ ดอกนมแมว มีรสหวานหอม เมล็ดอยู่ด้านในผลมีสีน้ำตาล โดยจะมีจำนวน 1-4 เมล็ดต่อผล มีลักษณะกลม สำหรับในผลที่มี 2 เมล็ดขึ้นไป จะมีลักษระต่างๆ กัน แต่จะรวมกันอยู่ในลักษระเมล็ดกลมดูคล้ายกับเป็นเมล็ดเดียว

ชมพู่น้ำดอกไม้

ชมพู่น้ำดอกไม้

การขยายพันธุ์ชมพู่น้ำดอกไม้

ชมพู่น้ำดอกไม้สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด และการตอนกิ่ง โด่ยการเพาะเมล็ดและการตอนกิ่งชมพู่น้ำดอกไม้ สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับพันธุ์ไม้อื่นๆ ส่วนวิธีปลูกนั้นควร ขุดดินให้ลึก กว้าง 50 เซนติเมตร ระยะห่าง 4x4 เมตร แล้วนำเมล็ด หรือ กิ่งตอนของชมพู่น้ำดอไม้ที่เตรียมไว้ลงปลูก เกลี่ยดินกลบ รดน้ำให้ชุ่ม แล้วใช้ฟางข้าว หรือ ใบตองมาปิดโคนตันเพื่อช่วยเก็บความชื้น หากเป็นกิ่งตอนให้ทำไม้ปักยึดผู้กับต้น เพื่อป้องกันการโค่นล้ม จากนั้นควรรดน้ำ 2 วัน ครั้ง ทั้งนี้ชมพู่น้ำดอกไม้เป็นไม้ผลที่ชอบน้ำ ดังนั้นจึงควรปลูกในที่ๆ ชุ่มชื้น เช่น ริมคลอง ริมหนอง


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยถึงองค์ประกอบทางเคมี จากส่วนต่างๆ ของชมพู่น้ำดอกไม้ ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด อาทิเช่น ส่วนผลพบสาร Quercetin, Rutin, Gallic acid, Cinnamic acid, Quercetin 3-O-glucuronide, Myricetin 3-O-glucoside ส่วนใบพบสาร Tellimagrandin, Limagrandin I, Strictinin, Casuarictin, Oleanolic acid, Betulinic acid, Friedelin , Jambone A-G, Kaempferol, Myrigalone B, Caffeic acid, Chlorogenic acid, Rosmarinic acid rhamnoside, Gallic acid, Cinnamic acid ส่วนเปลือกต้นพบสาร Asiatic acid, Arjunolic acid, Morolic acid 3-o-caffeate, Castalagin, Vescalagin, Phyllanthusiin G, Casuariin, Ellagic acid, B-Sitosterol, B-Amyrin acetate, Lupeol,Ursolic acid ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากส่วนต่างๆ ของชมพู่น้ำดอกไม้พบสาร Phenylacetic acid, Hexanal, Geraniol, Citronellol, Hotrienol, Viridiflorol, Ledol, A-humulene, B-bisabolene, Neophytadiene            

           นอกจากนี้ผลสุกของชมพู่น้ำดอกไม้ยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้

คุณค่าทางโภชนาการของผลชมพู่น้ำดอกไม้สุก (100 กรัม) พลังงาน 25 กิโลแคลอรี, คาร์โบไฮเดรต 5.7 กรัม, ไขมัน 0.3 กรัม, โปรตีน 0.3 กรัม, วิตามินA 17 ไมโครกรัม, วิตามินบB1 0.02 มิลลิกรัม, วิตามินB2 0.03 มิลลิกรัม, วิตามินB3 0.8 มิลลิกรัม, วิตามินC 22.3 มิลลิกรัม, แคลเซียม 29 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 0.07 มิลลิกรัม, แมกนีเซียม 5 มิลลิกรัม, แมงกานีส 0.029 มิลลิกรัม, ฟอสฟอรัส 8 มิลลิกรัม, โพแทสเซียม 123 มิลลิกรัม, สังกะสี 0.06 มิลลิกรัม

โครงสร้างชมพู่น้ำดอกไม้

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของชมพู่น้ำดอกไม้

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากเปลือกต้น ผล และน้ำมันหอมระเหยจากใบของชมพู่น้ำดอกไม้ ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการ ดังนี้

           ฤทธิ์ต้านจุลชีพ มีการศึกษาวิจัยสารสกัดอะซิโตน และน้ำจากเปลือกต้นของชมพู่น้ำดอกไม้ (Syzygium jambos ( L. ) Alston พบว่า สารสกัดทั้ง 2 ชนิด แสดงฤทธิ์ต้านเชื้อ Staphylococcus aureus, Yersinia enterocolitica, Staphylococcus hominis, Staphylococcus cohnii และ Staphylococcus warneri โดยพบว่าสารสำคัญที่แสดงฤทธิ์ในการต้านเชื้อต่างๆ ดังกล่าวคือ สารแทนนิน ที่มีปริมาณมากถึง 77% ในสารสกัดจากน้ำและ 83% ในสารสกัดจากอะซิโตน

           ฤทธิ์ลดไขมัน มีรายงานการศึกษาทดสอบแยกสาร และวิเคราะห์สารอนุพันธ์ alkylphenol จากผลชมพู่น้ำดอกไม้ (Syzygium jambos) ระบุว่าพบสารกลุ่ม cardanols  และสารกลุ่ม alkylresorcinols จึงนำไปทำการทดสอบฤทธิ์ในการลดไขมันในระดับเซลล์ พบว่าสาร cardanols 1 และ 2 (ความเข้มข้น 10-40 ไมโครโมลาร์) มีฤทธิ์ยับยั้งการสะสมของไขมัน และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเซลล์ HepG2 ที่มีการเพิ่มกรดไขมัน oleic (oleic acid-overloaded HepG2 cells) ผ่านการกระตุ้นการส่งสัญญาณวิถี AMPK/PPARα นอกจากนี้ยังทดสอบการกระจายตัวของสาร cardanols ในหนูเม้าส์ พบว่า compound 2 สามารถตรวจพบได้ในเลือด อุจจาระ และเซลล์ไขมันของหนูเม้าส์ หลังจากให้สาร (80 มก./กก.นน.ตัว) ทางปาก และจากการเตรียมสารสกัดมาตรฐานจากผลชมพู่น้ำดอกไม้ที่มีสาร alkylphenol ในปริมาณสูง พบสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ 2 ชนิด ได้แก่ compounds 1 และ 2 (95.9 และ 198.6 มคก./มก. ตามลำดับ)

           ฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase มีรายงานการศึกษาวิจัยน้ำมันหอมระเหยที่สกัดได้จากใบของพืชในวงศ์ Myrtaceae จำนวน 6 ชนิด ได้แก่ ยูคาลิปตัสแปรงล้างขวดฝรั่งเสม็ดขาว, หว้า และ ชมพู่น้ำดอกไม้ โดยนำมาศึกษาองค์ประกอบทางเคมี และทดสอบฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase (AChE) พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากแปรงล้างขวด มีฤทธิ์ดีที่สุด (71.77±2.11%) รองลงมา คือ ยูคาลิปตัส (47.65±2.26%), ฝรั่ง (24.96±2.38%), เสม็ดขาว (21.18±0.54%), หว้า (19.97±1.10%) และชมพู่น้ำดอกไม้ (13.78±1.52%) ตามลำดับ 

            นอกจากนี้ในการศึกษาวิจัยในต่างประเทศยังระบุถึงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาอื่นๆ ของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของชมพู่น้ำดอกไม้อีกเช่น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านเบาหวาน ต้านการอักเสบ ปกป้องตับ และช่วยเสริมสร้างระบบประสาทอีกด้วย


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของชมพู่น้ำดอกไม้

ไม่มีข้อมูล


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

สำหรับในการใช้ชมพู่น้ำดอกไม้เ ป็นสมุนไพร ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาด และปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไปเพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้

 

เอกสารอ้างอิง ชมพู่น้ำดอกไม้
  1. มนู โป้งสมบูรณ์ และ จุไรรัตน์ แสงสวัสดิ์. 2539. ชมพู่น้ำดอกไม้. เคหะการเกษตรปีที่ 20 ฉบับ 4 เมษายน น. 53-55.
  2. ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม. “ชมพู่น้ำดอกไม้”. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5หน้า 242-243.
  3. กลุ่มเกษตรสัญจร. 2531. ชนิดของชมพู่. ชมพู่. สำนักพิมพ์ฐานเกษตรกรรม, 101/51 ถ.แจ้งวัฒนะ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี. 11120. น.7-8.
  4. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันทน์ สำนักงานหอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, พ.ศ.2549
  5. ฤทธิ์ต้านจุลชีพจากเปลือกต้นชมพู่น้ำดอกไม้. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร. สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  6. ดารณี ปัญญาอเนกกูร. 2518. ศึกษาลักษณะประจำพันธุ์ชมพู่บางพันธุ์. หนังสือไม้ผล. ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. กรุงเทพฯ น.24.
  7. ฤทธิ์ของผลชมพู่น้ำดอกไม้ต่อการลดไขมันในระดับเซลล์. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร. สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  8. ฐาปนา จันทรส, สิรภาพ วาปีกิจเจริญ. ชมพู่น้ำดอกไม้.ปัญหาพิเศษปริญญาตรี ภาควิชาพืชสวน คณะเทคโนโลยีการเกษตรสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง. 2541. 28 หน้า
  9. ฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase ของน้ำมันหอมระเหยจากพืชในวงศ์ Myrtaceae. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  10. Lin, D. D., Liu, J. W., Li, W. G., Luo, W., Cheng, J. L., and Chen, W. W. (2014).Chemical Constituents from Stems of Syzygium Jambos Var. Jambos and TheirIn Vitro Cytotoxicity. Chin. Trad. Herb. Drugs 45 (17), 1993–1997.
  11. Musthafa, K. S., Sianglum, W., Saising, J., Lethongkam, S., and Voravuthikunchai,S. P. (2017). Evaluation of Phytochemicals from Medicinal Plants of MyrtaceaeFamily on Virulence Factor Production by Pseudomonas aeruginosa.Apmis 125(5), 482–490.
  12. Bonfanti, G., Bitencourt, P. R., Bona, K. S., Silva, P. S., Jantsch, L. B., Pigatto, A. S.,et al. (2013). Syzygium Jambos and Solanum Guaraniticum Show SimilarAntioxidant Properties but Induce Different Enzymatic Activities in theBrain of Rats. Molecules 18 (8), 9179–9194.
  13. Slowing, K., Söllhuber, M., Carretero, E., and Villar, A. (1994). FlavonoidGlycosides from Eugenia Jambos. Phytochemistry 37 (1), 255–258