ลางสาด ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

ลางสาด งานวิจัยและสรรพคุณ 17 ข้อ

ชื่อสมุนไพร ลางสาด
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น สังสาด, รังสาด (ทั่วไป), ลาซะ, ดูกู (มลายู)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Lansium parastitcum (osbeck) K.C. Sahni&Bennet
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Aglaia domestica (correa), Pellegr., Lansium domesticum Correa.
ชื่อสามัญ Lansium, Langsat
วงศ์ MELIACEAE


ถิ่นกำเนิดลางสาด

ลางสาดจัด เป็นพืชในวงศ์กระท้อน (MELIACEAE) ที่เป็นพืชพื้นถิ่นของไทย โดยมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมบริเวณภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ทางภาคใต้ของไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยปัจจุบันสามารถพบลางสาด ได้ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่จะพบมากในภาคใต้ แต่พบว่าจังหวัดที่ปลูกลางสาดมากที่สุด คือ จังหวัด อุตรดิตถ์

ความแตกต่างระว่างลองกองกับลางสาด

ประโยชน์และสรรพคุณลางสาด

  1. ใช้แก้ไข้
  2. ใช้รักษาไข้ป่า
  3. รักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้
  4. แก้บิด
  5. แก้ท้องร่วง
  6. แก้อาการอักเสบ
  7. แก้จุกเสียด
  8. รักษาอาการกล้ามเนื้อแข็งตัว
  9. แก้ปวดท้อง
  10. แก้ท้องเดิน
  11. รักษาเริม
  12. รักษางูสวัด
  13. ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ
  14. แก้ฝีในหู
  15. แก้อาการปวดหู
  16. แก้ร้อนใน
  17. ช่วยลดความร้อนในร่างกาย

           ในอดีตประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะนิยมนำลางสาด มารับประทานเป็นผลไม้สด เนื่องจากเนื้อผลมีรสหวานอร่อย และยังมีคุณค่าทางอาหารสูง อีกทั้งยังมีการนำเปลือกผลแห้ง มาเผาไฟ เพื่อใช้ไล่ยุง

           นอกจากนี้ยังสามารถนำเมล็ดของลางสาด มาใช้ทำเป็นยาฉีดพ่นกำจัดแมลง โดยนำมาบด ผสมกับน้ำประมาณ 20 ลิตร แล้วแช่ทิ้งไว้ 1 วัน แล้วนำไปพ่นฆ่าหนอน และแมลงในแปลงผัก

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • แก้อาการหูอักเสบ หรือ เป็นฝีในหู โดยนำเมล็ดลางสาดมาฝนกับน้ำฝนให้ข้น ใช้หยอดหู
  • ใช้แก้อาการท้องร่วง ท้องเดิน โดยนำเปลือกผลลางสาดมาหั่น นำไปคั่วชงกับน้ำเดือด รับประทานครั้งละถ้วย
  • ใช้แก้ไข้ รักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้ แก้บิด ท้องร่วงโดยนำเปลือกต้นลางสาด มาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิโดยนำเมล็ดลางสาดมาทุบพอแตก ต้มกับน้ำดื่ม


ลักษณะทั่วไปของลางสาด

ลางสาด จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูง 5-10 เมตร ลำต้นตรง ผิวลำต้นขรุขระเป็นสีเทา แตกกิ่งก้านตั้งแต่กลางลำต้นขึ้นไป โดยจะแตกเป็นมุมแหลมปลายกิ่งตั้ง

           ใบลางสาด เป็นใบเดี่ยวแบบใบประกอบเกิดสลับซ้ายขวาต่างระนาบกัน ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่ หรือ รูปโค้งมน โคนใบและปลายใบเรียวแหลมเล็กน้อย ขอบใบเรียบที่ผิวใบบาง มีสีเขียวเข้ม แผ่นใบมีไขนวลปกคลุม ด้านล่างใบมีเส้นใบนูนเห็นได้ชัดเจน

           ดอกลางสาด ออกเป็นช่อโดยจะออกตามลำต้นและตามกิ่ง ใน 1 ช่อ จะมีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกย่อยเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีกลีบดอกสีขาวนวลจำนวน 5 กลีบ 2 กลีบด้านในจะเล็กกว่า 3 กลีบด้านนอก ลักษณะกลีบเว้าเป็นแอ่ง มีเกสรตัวผู้ 10 อัน และจะมีกลีบเลี้ยงสีเขียว 5 กลีบ เชื่อมต่อกัน

           ผลลางสาด เป็นผลรวมออกเป็นช่อๆ ผลมีลักษณะกลมรี มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเปลือกละเอียดบาง ผลอ่อนนุ่ม มีสีเขียว เมื่อสุกจะเป็นสีเหลือง มียางสีขาวขุ่นจำนวนมาก เนื้อใบผลแบ่งเป็นกลีบ 5 กลีบลักษณะนิ่ม ฉ่ำน้ำ รสหวานอมเปรี้ยว มีเมล็ดสีน้ำตาล ประมาณ 5 เมล็ด ลักษณะรีกลมแบบ มีเปลือกหุ้มบางๆ เนื้อในเมล็ดมีสีขาว รสฝาดและขมจัด

ลางสาด
ลางสาด

การขยายพันธุ์ลางสาด

ลางสาดสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี อาทิเช่น การเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ต่อกิ่ง และการติดตา เป็นต้น แต่วิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ การตอนกิ่ง เพราะจะให้ผลผลิตเร็วกว่าวิธีอื่น โดยเริ่มจากใช้กิ่งพันธุ์มาเพาะใส่ลงในถุงเพาะชำ รดน้ำให้ชุ่ม วางไว้ในที่ร่มๆ รำไรซึ่งจะใช้เวลาเพาะประมาณ 1 ปี แล้วจึงนำมาปลูกลงในหลุมขนาด 50x50x50 ที่รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก โดยควรเว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 6x8 เมตร

           ทั้งนี้ลางสาด ชอบอากาศร้อน ชอบพื้นที่ที่มีแสงแดดเพียงพอ แต่ก็ชอบดินชุ่มชื้น ระบายน้ำดี ปลูกช่วงแรกต้องรดน้ำทุกวัน เมื่อลางสาดเติบโตขึ้นก็เว้นการให้น้ำได้


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของเปลือกผล สารสกัดจากเปลือกผล สารสกัดจากเมล็ด และน้ำมันหอมระเหยจากส่วนผลของลางสาด ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น ในเปลือกผลพบสารกลุ่ม onoceranoid triterpenes ได้แก่ lansic acid, lansionic acid, 3beta-hydroxyonocera-8(26), 14-diene-21-one, 21alpha-hydroxyonocera-8 (26), 14-dien-3-one สารสกัดจากเปลือกลางสาด สารกลุ่มฟีนอลิก ได้แก่ Scopoletin Rutin และ Chlorogenic acid ในเมล็ดของลางสาด พบสารประกอบกลุ่ม dukonolides ได้แก่ dukonolide A, kokosanolide A และ kokosanolide C ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากส่วนผลพบสาร germacrene-D, methyl 2-hydroxy-3-methylpentanoate, methyl 2-hydrowy-4-methylpentanoate และ (E)-hex-2-enal, methyl hydroxy-3-methylbutanoate เป็นต้น

โครงสร้างลางสาด

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของลางสาด

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาจากสารสกัดลางสาด จากส่วนผลและส่วนใบของลางสาด ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาดังนี้

           ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีรายงานผลการศึกษาวิจัยพบว่าสารสกัดจากผลของลางสาดมีปริมาณสารปริมาณสารประกอบฟีนอลิกมากกว่าวิตามินซี โดยมีปริมาณ 100 มิลลิกรัม/100 กรัม ของส่วนสกัด ส่วนวิตามินซี มีปริมาณ 3.9 มิลลิกรัม/100 กรัมของส่วนสกัดและสารสกัดดังกล่าวยังมีฤทธิ์ต้าน DPPH โดยมีค่า IC50 = 25.4 µg/mL

           ฤทธิ์ความเป็นพิษต่อเซลล์ มีรายงานผลการศึกษาวิจัยพบว่าสาร lansionic acid, 21 α-hydroxyonocera-B, 14-dien-3-one และ 3-hydroxyonocera-B,14-dien-21-one แสดงความเป็นพิษต่อไรทะเล Artemia salina ในระดับปานกลางที่ความเข้มข้น 100 µg/mL

           นอกจากนี้ยังมีรายงานการศึกษาวิจัยฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส จากส่วนเปลือกผลของลางสาด พบว่าสารสกัดเปลือกที่สกัดด้วยเมทานอลแสดงฤทธิ์ที่ดีที่สุด โดยมีค่าเท่ากับ 181.05±11.09 µgKAE/g DW ส่วนสารสกัดเมทานอลจากเมล็ดลางสาด พบว่าจากมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย Escherichia coli และ Staphylococcus sp. ได้อีกด้วย


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของลางสาด

ไม่มีข้อมูล


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

น้ำยางของลางสาด อาจทำให้เกิดอาการแพ้คัน ระคายเคือง หรือ แสบร้อนตามผิวหนัง ในผู้ที่แพ้น้ำยางจากผลไม้ ดังนั้นจึงควรสวมถุงมือก่อนแกะเปลือก หรือ เด็ดผลลางสาดออกจากพวง


เอกสารอ้างอิง ลางสาด
  1. เต็ม สมิตินันท์. 2544. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. กรุงเทพฯ: ประชาชน
  2. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. 2543. สมุนไพรไม้พื้นบ้าน (4). กรุงเทพฯ:ประชาชน
  3. สาโรจน์ จีนประชา. (2555). องค์ประกอบทางเคมีและฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพืชสกุลลางสาด. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, 14(4), 42-52
  4. สุทธิดา วิทนาลัย. ฤทธิ์ทางชีวภาพและฟีนอลิกของสารสกัดเมล็ดและเปลือกของลางสาด.วารสาร PSRU Journal of Sciene and Technology ปีที่ 7 ฉบับที่ 1. มกราคม-เมษายน 2565. หน้า 83-93.
  5. สารสกัดเปลือกผลลางสาด. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มมหาวิทยาลัยมหิดล.
  6. Tanaka, T., Ishibashi, M., Fujimoto, H., Okuyama, E., Koyano, T., Kowithayakorn, T., Hayashi, M. and Komiyama, K. 2002. “New onoceranoid triterpene constituents from Lansium domesticum.” Journal of Natural Products. 65:1709-1711.
  7. Krishnappa, S. and Dev, S., 1973. “Sesquiterpenes from Lansium anamalayanum.” Phytochemistry. 12:823- 825.
  8. Klungsupya, P., Suthepakul, N., Muangman, T., Rerk-Am, U., & Thongdon-A, J. (2015). Determination of Free Radical Scavenging, Antioxidative DNA Damage Activities and Phytochemical Components of Active Fractions from Lansium domesticum Corr. Fruit. Nutrients, 7, 6852-6873.
  9. Lim, Y.Y., Lim, T.T. and Tee, J.J. 2007. “Antioxidant properties of several tropical fruits: A comparative study.” Food Chemistry. 103:1003-1008.
  10. Saewan, N. 2008. Isolation and biological activity of the chemical constituents from Lansium domesticum Corr. and studies on the assembly of the pyrimidine nucleobase cytosine on sugar scaffolds. Doctor of Philosophy Thesis, Walailak University, 17-20