ผักแว่น ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

ผักแว่น งานวิจัยและสรรพคุณ 21 ข้อ

ชื่อสมุนไพร ผักแว่น
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ผักแว่น (ภาคกลาง, ภาคเหนือ), ผักลิ้นปี่ (ภาคใต้), ผักแวน, ผักแว่น (ภาคอีสาน), หนูเต๊าะ (กะเหรี่ยง), Chuntul phnom (กัมพูชา), tapahitik (มาเลเซีย)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Marsilea crenata C. Pres
ชื่อสามัญ Water clover, Pepperwort, Water fern
วงศ์  MARSILEACEAE

ถิ่นกำเนิดผักแว่น 

ผักแว่นเป็นเฟิร์นน้ำชนิดหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียบริเวณเขตอบอุ่น และเขตร้อน ได้แก่ ไทย พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ จีน และญี่ปุ่น เป็นต้น โดยสามารถพบได้ตามที่ดินมีความชุ่มชื่นจนถึงน้ำท่วมขัง แหล่งน้ำตื้น ริมตลิ่งชายน้ำ หรือ ห้วย หนอง คลอง บึง แม่น้ำ ตลอดจนในนาข้าว สำหรับในประเทศไทย สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ทั้งนี้ผักแว่นกับส้มกบ (oxalis corniculate Linn) เป็นพืชคนละชนิดกัน เพียงแต่มีลักษณะคล้ายกัน และมีชื่อเรียกเหมือนกันว่า “ผักแว่น) ซึ่งอาจทำให้สับสนได้
 

ประโยชน์และสรรพคุณผักแว่น

  1. ช่วยเป็นยาบำรุงธาตุ
  2. ช่วยเจริญอาหาร
  3. แก้ฝีในลำคอ
  4. ช่วยถอนพิษทั่วไป
  5. ช่วยลดไข้
  6. แก้หวัด
  7. แก้ตัวร้อน
  8. แก้เจ็บคอ คอแห้ง คออักเสบ
  9. แก้ปวดท้อง ท้องเสีย
  10. แก้อาเจียนเป็นเลือด
  11. แก้ดีพิการ
  12. แก้อุจจาระเป็นเลือด
  13. ใช้สมานแผลในปาก ลำคอ และกระเพาะอาหาร
  14. แก้เคล็ดขัดยอก
  15. แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  16. แก้อาการร้อนใน
  17. ช่วยดับกระหาย
  18. แก้อาการปากเปื่อย
  19. แก้ผิดสำแดง
  20. ช่วยขับปัสสาวะ
  21. ช่วยบำรุงสายตา

ผักแว่น

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • แก้ไข้ ตัวร้อน อาการท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้เจ็บคอ ช่วยสมานแผลในปากและลำคอ แก้อาการปากเปื่อย โดยนำใบ และลำต้นมาต้มกับน้ำดื่ม
  • แก้ไข้ แก้ผิดสำแดง โดยการใช้ลำต้นผักแว่น ผสมกับใบธูปฤาษี ทุดบพอแตก ใช้แช่น้ำที่มีหอยขม ประมาณ 2-3 นาที แล้วนำมาดื่ม
  • ช่วยบำรุงสายตา ช่วยเจริญอาหาร บำรุงธาตุ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดไข้ แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้ดีพิการ โดยนำยอด และใบมารับประทานสดๆ หรือ รับประทานสดเป็นอาหาร หรือ จะนำไปประกอบอาหารก็ได้เช่นกัน 
  • ใช้รักษาแผลเปื่อย แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก โดยนำใบสด 1 กำมือ เมื่อนำไปล้างให้สะอาดแล้วตำให้ละเอียดแล้วนำน้ำที่ได้ไปทา และนำกากประคบบริเวณที่เป็นแผล 
  • ใช้แก้อาการปวดฝีในบริเวณต่างๆ แก้อาการปวด และฟกช้ำ โดยการนำทุกส่วนมาโขลกแล้วผสมกับสุรา ใช้ทา หรือ ประคบ


ลักษณะทั่วไปของผักแว่น

ผักแว่น เป็นพืชในกลุ่มของเฟินน้ำ จัดเป็นไม้น้ำล้มลุก มีลำต้นเป็นเถาเลื้อยไปตามผิวดิน หรือ ผิวน้ำ ซึ่งสามารถแตกเถาย่อย หรือ เถาแขนงได้ แต่ละเถามีลักษณะกลม เรียงยาว สีขาว หรือ สีเหลืองอมขาว และเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล โดยเถามีลักษณะเป็นข้อปล้องชัดเจน และฉ่ำน้ำขนาดเถาประมาณ 2-4 มิลลิเมตร และมีความยาวของเถาได้กว่า 20-40 เซนติเมตร

           ส่วนระบบรากผักแว่น มีเฉพาะรากฝอยที่เกิดด้านล่างของลำต้น โดยรากฝอยนี้พบได้ทั้งในส่วนลำต้นหลัก และบริเวณข้อปล้อง โดยรากฝอยอาจแทงหยั่งลงดิน หรือ ลอยน้ำก็ได้

           ใบเป็นใบประกอบแบบน้ำมือ (palmately compound) ประกอบด้วยใบย่อย 4 ใบ ออกจากก้านใบที่จุดเดียวกัน ซึ่งจะรวมกันเป็นลักษณะวงกลม ส่วนใบย่อยรูปพัด หรือ กังหัด มีลักษณะ ขอบใบ หยักมนถี่ หรือ เรียบ ฐานใบเป็นรูปลิม หรือ สามเหลี่ยมหัวกลับ ปลายใบกว้างกลมมน แผ่นใบเรียบไม่มีขน ใบย่อยกว้าง 3-22 มิลลิเมตร ยาว 2-18 มิลลิเมตร เส้นกลางใบแตกออกเป็นสองแฉก ก้านใบเรียวยาว สีเขียว ยาว 2-20 เซนติเมตร ใบอ่อนม้วนงอ (circinate leaf) ใบมีสปอโรคาร์ปรูปร่างเป็นก้อนเหมือนถั่ว บริเวณโคนก้านใบ ซึ่งสปอโรคาร์ปมีขนาดกว้าง 3.5-4 มิลลิเมตร ยาว 1.5-2 มิลลิเมตร และ มีก้านยาว 3-5 มิลลิเมตร มีขนขึ้นปกคลุม เมื่อเจริญเติบที่แล้วมีสีเขียว หลังจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล โดยจะมี 1-3 สปอโรคาร์ป ต่อหนึ่งก้านใบ ดอกเป็นดอกเดี่ยว หรือ ออกเป็นหลายดอกแทงออกบริเวณซอกใบ หรือ ข้อปล้อง ก้านดอกขนาดเล็กสีเขียว มีขนปกคลุมเล็กน้อย ยาวประมาณ 5-15 เซนติเมตร ตัวดอกมีใบประดับขนาดเล็กรูปหอกสีเขียว ขนาด 2-4×1 มิลลิเมตร กลีบดอกลักษณะรูปไข่กลับแกมขอบขนานมีจำนวน 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน แผ่นกลีบดอกมีสีเหลืองสด ขนาดกลีบดอกกว้าง 3-8 มิลลิเมตร ยาว 7-10 มิลลิเมตร โดยจำนวนดอกต่อต้นจะพบจำนวนน้อย ประมาณ 2-3 ดอกเท่านั้น

ผักแว่น

การขยายพันธุ์ผักแว่น

ผักแว่น สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้สปอร์จากใบแก่ หรือ ใช้เถา หรือ ไหล ปลูกให้ได้ต้นใหม่ แต่ในปัจจุบัน ผักแว่นยังไม่เป็นที่นิยมปลูกเพื่อการค้า เพราะยังสามารถหาได้ทั่วไปตามห้วย หนอง คลอง บึง ต่างๆ หรือ อาจจะมีการเก็บมาจำหน่ายตามตลาดท้องถิ่นทั่วไปเพียงเล็กน้อย ซึ่งก็มักเก็บได้จากธรรมชาติในท้องถิ่น ซึ่งการขยายพันธุ์ของผักแว่น นั้น ส่วนมากก็จะเป็นการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ แต่หากต้องการปลูกผักแว่นก็สามารถทำได้โดยนำเถาผักแว่นมาตัดแยกเป็นส่วนๆ ก่อนนำลงปักชำตามริมขอบสระ หรือ แหล่งดินที่ชื่นแฉะ หรือ ในกระถางที่มีน้ำได้เช่นกัน เพราะผักแว่นเป็นพืชที่ขึ้นได้ง่ายหากมีความชั้นเพียงพอ

ผักแว่น

องค์ประกอบทางเคมี

มีการศึกษาถึงองค์ประกอบเคมีขอบใบ และเถาของผักแว่น ปรากฏว่าพบสารสำคัญหลายชนิด เช่น tartaric acid, dyclonine, citric acid, pederin, potassium oxalate, lintopride, madecassic acid, dibutyl phthalate, carotene, Asiatic acid

            นอกจากนี้ในการนำผักแว่น มาทำเป็นอาหารรับประทานเป็นอาหารยังให้คุณค่าทางโภชนาการดังนี้

  • พลังงาน 18 แคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 0.7 กรัมภาพผักแว่น
  • โปรตีน 1.0 กรัม
  • ไขมัน 1.2 กรัม
  • ใยอาหาร 3.3 กรัม
  • น้ำ 94 กรัม
  • วิตามินเอ 12,166 หน่วยสากล
  • วิตามินบี1 0.10 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี2 0.27 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี3 3.4 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 3 มิลลิกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 48 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 25.2 มิลลิกรัม

โครงสร้างผักแว่น

ที่มา : Wikipedia

การศึกษาทางเภสัชวิทยาของผักแว่น

ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีการศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากผักแว่น กระแตไต่ไม้ และกีบม้าลม พบว่า การใช้สารเอทิลอะซิเตทในการสกัดพืชทั้ง 3 ชนิด จะมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่าสารสกัดชนิดอื่น และเมื่อเทียบความสามารถของเฟิร์นทั้ง 3 ชนิด พบว่า ผักแว่นมีความสามารถต้านอนุมูลอิสระได้สูงสุด โดยมีค่า DPPH ที่ 107.77 มิลลิกรัม/Trolox/กรัมแห้ง และมีค่า ABTS ที่ 153.75 มิลลิกรัม/Trolox/กรัมแห้ง นอกจากนั้น ยังพบว่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระยังมีความสัมพันธ์กับปริมาณเบต้าแคโรทีน ที่พบในเฟิร์นทั้ง 3 ชนิด (ตรวจพบปริมาณเบต้าแคโรทีนในผักแว่น สูงที่สุดที่ 2,291.06 มิลลิกรัม/ 100 กรัม ผักแว่นแห้ง)

           ฤทธิ์ต้านเบาหวาน มีการศึกษาสารสกัดจากพืชตระกูลเฟิร์น (ผักแว่น, กระแตไต่ไม้, ผักกูด) ที่มีต่อการยับยั้งเอนไซม์แอลฟา-กลูโคซิเดส ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เกิดโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน พบว่า สารสกัดจากผักแว่นมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แอลฟา-กลูโคซิเดสได้สูงสุดที่ร้อยละ 98.57 เมื่อเทียบกับพืชอีก 2 ชนิด ( กระแตไต่ไม้ และผักกูด) และเมื่อเปรียบเทียบกับสารมาตรฐานในการยับยั้งเอนไซม์แอลฟา-กลูโคซิเดส พบว่า สามารถที่จะยับยั้งเอนไซม์ดังกล่าวได้กว่าร้อยละ 97.14

 

การศึกษาทางพิษวิทยาของผักแว่น

ไม่มีข้อมูล

ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

ผักแว่น เป็นพืชผักที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญๆ หลายชนิด จึงเหมาะแก่การนำไปรับประทานเป็นอาหารอย่างยิ่ง แต่ในการนำไปใช้เป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคนั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาด และปริมาณที่พอดีที่ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องนานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ สำหรับ เด็กสตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง รวมถึงผู้ที่ต้องรับประทานยาต่อเนื่องก่อนจะใช้ผักแว่นเป็นสมุนไพร บำบัดรักษาโรค ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ
 

เอกสารอ้างอิง ผักแว่น
  1. สำนักงานหอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. "ผักแว่น". [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: web3.dnp.go.th.  [29 พ.ย. 2013].
  2. ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร. "ผักแว่น ". [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: 203.172.205.25.  [29 พ.ย. 2013].
  3. ผักแว่น.ผักพื้นบ้านต้านโรค เล่ม 1. กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกระทรวงสาธารณสุข. หน้า 72-73
  4. ผักแว่น ชนิด ประโยชน์ สรรพคุณ และการปลูกผักแว่น. พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรไทย (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.puechkadet.com
  5. Pancho, J. V. 1978. Aquatic Weeds of Southeast Asia. National Publishing Cooperative, Quezon City. 130 p.
  6. Hoshizaki. B. J. and Moran, R. C. 2001. Fern Grower, Manual. Timber Press., Inc., Portland. 256 p.
  7. Waterhouse, D. F. 1994. Biological Control of Weeds : Souteast Asian Prospects. Brown Prior Anderson Pty. Ltd. Canberra. 302 p.
  8. Soerjani, M., Kostermans, A. J. G. H. and Tjitrosoepomo, G. 1986. Weed of rice in Indonesia. Seameo – Biotrop, Bogor. 145 p.
  9. Smitinand, T. and Larsen, K. 1989. Floral of Thailand Volume three part four. Chutima Press, Bangkok. 254 p.
  10. Tryon, R. M. and A. F. Tryon. 1982. Ferns and Allied Plants. Halliday Lithograph. West. MA. 857 p.