ขมิ้นอ้อย ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆและข้อมูลงานวิจัย
ขมิ้นอ้อย งานวิจัยและสรรพคุณ 23ข้อ
ชื่อสมุนไพร ขมิ้นอ้อย
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ว่านขมิ้นอ้อย,ขมิ้นเจดีย์ (ทั่วไป),ว่านเหลือง(ภาคกลาง),ขมิ้นชัน(ภาคเหนือ),ขี้มิ้นหัวขึ้น(ภาคอีสาน),ละเมียด(เขมร),สากเบือ(ละว้า)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma zedoaria (Christm.) Roscoe
ชื่อสามัญ Zedoary,Indian arrow root, Long zedoaria,Luya-Luyahan, Shoti
วงศ์ ZINGIBERACEAE
ถิ่นกำเนิดขมิ้นอ้อย
ขมิ้นอ้อยเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียอีกชนิดหนึ่ง โดยเชื่อกันว่าขมิ้นอ้อยมีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะประเทศต่างๆในแถบคาบสมุทรอินโดจีน เช่น ไทย พม่า ลาว กัมพูชา มาเลเชีย และอินโดนีเซีย เป็นต้น ต่อมาได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังอินเดีย,เวียดนาม,จีน และไต้หวัน สำหรับในประเทศไทยขมิ้นอ้อยเป็นที่รู้จักดีตั้งแต่ในอดีตแล้วเพราะได้มีการนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านสมุนไพรและด้านอาหารจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ประโยชน์และสรรพคุณขมิ้นอ้อย
- แก้ไข้ครั่นเนื้อครั่นตัว
- แก้เสมหะ
- แก้อาเจียน
- แก้หนองใน
- สมานลำไส้
- ขับลม ขับปัสสาวะ
- แก้ท้องเสีย
- ใช้เป็นยาแก้ปวดท้องแก้ริดสีดวงทวาร
- แก้หัดหลบใน
- แก้ฟกช้ำบวม แก้เคล็ด อักเสบ
- ใช้รักษาแผล,ฝี
- แก้พิษโลหิต
- บรรเทาอาการปวด
- รักษาอาการเลือดคั่ง
- เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก
- รักษาระดูมาไม่ปกติ
- แก้ระดูขาว
- ขับประจำเดือน
- เป็นยากันเล็บถอดช่วยบำรุงผิว
- ช่วยกระจายโลหิต
- ช่วยแก้โลหิตเป็นพิษ แก้พิษโลหิต
- ใช้ขับน้ำคาวปลาหลังคลอดบุตร
- ช่วยแก้อาการหืดหอบหายใจไม่เป็นปกติ
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
เหง้าสดประมาณ 2 แว่น นำมาบดผสมกับน้ำปูนใส นำมาใช้ดื่มเป็นยารักษาอาการท้องร่วง เหง้านำมาหั่นเป็นแว่น ๆ (เหง้าสดหรือตากแห้งก็ได้) นำมาต้มกับน้ำเป็นยาดื่มแก้โรคกระเพาะ
แก้หัดหลบใน โดยใช้เหง้า 5 แว่น และต้นต่อไส้ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำและน้ำปูนใส แล้วนำมาใช้ดื่มเป็นยาก่อนอาหารเช้าและเย็น ครั้งละ 1 ถ้วยชา
รักษาอาการ ปวดบวม แก้บวม ฟกช้ำ แก้ช้ำใน แก้อักเสบ แก้อาการเคล็ดขัดยอก ข้อเคล็ดอักเสบ และบรรเทาอาการปวด ด้วยการใช้เหง้าขมิ้นสด ๆ นำมาตำให้ละเอียด แล้วเอามาพอกบริเวณที่มีอาการบวม จะช่วยบรรเทาอาการปวดบวม ฟกช้ำได้
ใช้รักษาอาการหวัด ด้วยการใช้หัวขมิ้นอ้อย อบเชยเทศ และพริกหาง นำมาต้มแล้วเติมน้ำผึ้งใช้รับประทานเป็นยาแก้หวัด
ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้เหง้าขมิ้นอ้อย พริกไทยล่อน และเปลือกยางแดง นำมาผสมกันทำเป็นยาผง แล้วนำไปละลายในน้ำยางใส ปั้นเป็นยาลูกกลอนขนาดเท่าปลายนิ้วชี้ ใช้กินเช้าและเย็น
ช่วยแก้อาการปวดประจำเดือนของสตรี ด้วยการใช้เหง้าหนักประมาณ 12 กรัม, ขมิ้นชัน 10 กรัม, ดอกคำฝอย 6 กรัม, ฝางเสน 8 กรัม, เม็ดลูกท้อ 8 กรัม, หง่วงโอ้ว 8 กรัม และโกฐเชียง 10 กรัม นำมาต้มกับน้ำหรือใช้ดองกับเหง้าเป็นยารับประทาน
เหง้านำมาหุงกับน้ำมันมะพร้าว แล้วนำมาใส่แผล จะช่วยทำให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการฟกช้ำบวมได้อีกด้วย
ใช้รักษาฝี ฝีหนองบวม ด้วยการใช้เหง้าขมิ้นอ้อยสด, ต้นและเมล็ดของเหงือกปลาหมอ อย่างละเท่ากัน นำมาตำรวมกันจนละเอียดแล้วใช้พอกเช้าเย็น
แก้ฝีในมดลูกของสตรี ด้วยการใช้เหง้าขมิ้นอ้อยประมาณ 3 ท่อน, บอระเพ็ด 3 ท่อน, ลูกขี้กาแดง 1 ลูก (นำมาผ่าเป็น 4 ซีก แล้วใช้เพียง 3 ซีก) แล้วนำมาต้มรวมกับสุรา ใช้กินเป็นยาแก้ฝีในมดลูก
บำรุงผิว นำขมิ้นอ้อย กระชาย พริกไทย หัวแห้วหมู มาทุบรวมกันแล้วดองด้วยน้ำผึ้ง รับประทานก่อนนอนทุกคืน จะช่วยให้ผิวสวย
ส่วนอีกตำราหนึ่งระบุถึงขนาดการใช้ว่า รักษาโรคใช้ภายใน ให้นำเหง้ามาต้มกับน้ำรับประทานเป็นยา โดยใช้ครั้งละประมาณ 5-10 กรัม หากใช้เป็นยารักษาภายนอก ให้นำมาบดเป็นผงหรือทำเป็นยาเม็ดตามตำรายาที่ต้องการ
ลักษณะทั่วไปขมิ้นอ้อย
ขมิ้นอ้อยจัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกมีอายุหลายปีมีเหง้าอยู่ใต้ดินและมีรากเล็กน้อยที่บริเวณเหง้ารากกลมมีเนื้อนุ่มภายใน ทั้งนี้ขมิ้นอ้อยมีลักษณะทั่วไปคล้ายกับขมิ้นชันแต่มีลำต้นที่สูงกว่ารวมถึงขนาดเหง้าและใบก็ใหญ่กว่า โดยต้นขมิ้นอ้อยจะมีความสูงประมาณ 1-1.2 เมตรลำต้นตั้งตรง แตกหน่อมาก ส่วนเหง้ามักโผล่ขึ้นมาเหนือดินเล็กน้อย เหมือนเจดีย์ทรงกลมสูงหลายชั้น ๆ (จึงเป็นที่มาของชื่อขมิ้นขึ้นหรือขมิ้นเจดีย์) ลักษณะของเหง้ามีลักษณะเป็นรูปกลมรี มีความยาวประมาณ 18-24 เซนติเมตร และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7-11 เซนติเมตร ผิวด้านนอกเป็นสีขาวแกมเหลือง ส่วนเนื้อในเป็นสีเหลืองอ่อน ใบดอก เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับรอบลำต้น ลักษณะของใบเป็นรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ปลายใบเรียวแหลม โคนใบแคบ ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มและมีเส้นนูนตามลายของเส้นใบ เส้นกลางใบเป็นร่องเล็กน้อยและมีแถบสีน้ำตาล ผิวด้านหน้าเรียบ ส่วนทางด้านท้องใบจะมีขนนิ่มเล็กน้อย ก้านใบเป็นกาบหุ้มกับลำต้น นานเป็นลำต้นเทียมมีความยาวเป็น 1 ใน 3 ของใบ กลางก้านเป็นร่องลึกตลอดความยาว ดอก ออกดอกเป็นช่อ ก้านดอกจะยาวและพุ่งออกมาจากเหง้าที่อยู่ใต้ดิน ช่อดอกมีความยาวประมาณ 15เซนติเมตร ลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก ช่อดอกมีใบประดับ และดอกมักเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน กลีบดอกมีลักษณะกลมเป็นรูปไข่สีเขียว ตรงปลายของช่อดอกจะเป็นสีชมพูหรือสีแดงอ่อน ส่วนดอกสีเหลืองจะบานจากล่างขึ้นบน และจะบานครั้งละประมาณ 2-3 ดอกในฤดูฝน ผล มีลักษณะเป็นรูปไข่ เช่นเดียวกับผลของขมิ้นชัน แต่จะมีกลิ่นฉุนน้อยกว่า
ทั้งนี้ในประเทศไทยมีการใช้ประโยชน์จากขมิ้นอ้อยและขมิ้นชันกันมากดังนั้น จึงขอนำเสนอข้อแตกต่างระหว่างขมิ้นอ้อยกับขมิ้นชัน ซึ่งสามารถแยกความแตกต่างที่สำคัญๆ ได้ดังนี้
ข้อแตกต่าง |
ขมิ้นชัน |
ขมิ้นอ้อย |
ขนที่ท้องใบ |
ไม่มี |
มีนิ่มๆ (บางพันธุ์) |
เหง้าจะขึ้นมาเหนือดินเมื่อถึงฤดูแล้ง |
ไม่ขึ้นอยู่ใต้ดิน |
ลอยขึ้นมาเหนือดิน |
ขนาดเหง้า |
เล็ก |
ใหญ่กว่ามากเป็นรูปทรงกระบอกมีแขนงรูปไข่ ยาวแตกออกด้านข้างทั้ง 2 ด้านของเหง้าใหญ่ |
สีของเหง้าเมื่อแก่ |
แก่กว่า(เป็นสีเหลืองจำปา) |
อ่อนกว่า(สีเหลือง) |
กลิ่นของเหง้าเมื่อแก่ |
ฉุนกว่า |
อ่อนกว่า |
การขยายพันธุ์ขมิ้นอ้อย
การขยายพันธุ์ขมิ้นอ้อยสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เหง้าปลูกโดยมีวิธีการดังนี้
- การเตรียมดินแปลงปลูก สามารถทำได้ 2 แบบ คือ
o แปลงปลูกแบบพื้นที่ราบ ควรเป็นพื้นที่ที่มีการระบายน้ำดี มีความลาดเอี้ยง
o แปลงปลูกแบบยกรอง ในพื้นที่ที่เป็นที่ลุ่ม หรือที่ราบต่ำ ควรยกร่องสูงประมาณ 25 เซนติเมตรความกว้างประมาณ 100-150 เซนติเมตร ความยาวขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของพื้นที่ และระยะระหว่างร่องประมาณ 50 เซนติเมตร
- การเตรียมพันธุ์ ใช้เหง้าแก่ที่ปลอดจากโรคและแมลง (อายุประมาณ 1 ปี) นำมาตัดราก และล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อยแล้วตัดเป็นท่อนๆ โดยให้มีตาสมบูรณ์ 3-5 ตา และป้ายปูนแดง หรือปูนขาวที่รอยตัดป้องกันเชื้อโรคเข้าทำลาย หรือชุบท่อนพันธุ์ด้วยสารเคมีเพื่อป้องกันโรคและแมลงที่ติดมากับหัวพันธุ์
- วิธีการปลูก ใช้เหง้าที่เตรียมไว้ นำมาปลูกในแปลง หรืออาจจะเพาะให้ตางอกก่อนก็ได้ โดยนำไปไว้ในที่ร่มและให้ความชื้น จนขมิ้นชันแตกหน่อ ก่อนปลูกควรรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกประมาณ 250 กรัมต่อหลุม
o ระยะปลูกระหว่างต้นและระหว่างแถว 30x50 เซนติเมตร จากนั้นกลบดินและคลุมแปลงดัวยฟางหรือหญ้าคา เพื่อป้องกันการงอกของวัชพืชรักษาความชื้นในดิน
o ระยะเวลาปลูก เริ่มปลูกในช่วงฤดูฝน ประมาณ เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม
องค์ประกอบทางเคมี
ในเหง้าของขมิ้นอ้อยพบ สารกลุ่มเคอร์คิวมินนอยด์ (curcuminoids) ประกอบด้วยcurcumin, bisdemethoxycurcumin, demethoxy curcumin, dihydrocurcumin, tetrahydrodemethoxycurcumin, tetrahydrobisdemethoxycurcumin , Curzerene, Furanodiene, Furanodienone, Zederone, Zedoarone
รูปภาพองค์ประกอบทางเคมีของขมิ้นอ้อย
ที่มา : Wikipedia
นอกจากนี้ยังพบน้ำมันระเหยง่าย สารหลักคือสารกลุ่ม sesquiterpene ได้แก่ epicurzerenone 46.6%, curdione 13.7% dehydrocurdione ,epiprocurcumenol ,1,7-bis(4-hydroxyphenyl)-1,4,6-heptatrien-3-one, procurcumenol
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย การศึกษาฤทธิ์ในการต้านจุลชีพที่พบในช่องปากของขมิ้นอ้อย โดยการเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์บ้วนปากในท้องตลาด 5 ชนิด ทำการศึกษาในหลอดทดลอง โดยใช้สารสกัดเอทานอล 70% ของเหง้าขมิ้นอ้อย ทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อ Streptococcus mutans, Enterococcus faecalis, Staphylococcus aureus และ Candida albicans โดยใช้สมการการถดถอยแบบเส้นตรง (linear regression method) ในการวัดการลดลงของเชื้อได้ 99.999% ภายใน 60 วินาที ผลการทดลองพบว่า สารสกัดของขมิ้นอ้อย มีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อได้เทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์ ในท้องตลาด ได้แก่ สูตร CP+EO(cetylpyridinium chloride (0.5 mg/mL), chamomile, myrrh tinctures, oils of Salvia melaleuca และ eucalyptus) และสูตร EO (thymol (0.6 mg/mL), eucalyptol (0.92 mg/mL), menthol (0.42 mg/mL) และ methyl salicylate (0.6 mg/mL) มีการศึกษาใช้น้ำมันหอมระเหยทดสอบในหลอดทดลอง พบว่ามีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียแกรมบวก โดยเฉพาะ Staphyloccus aureus ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี และแกรมลบ แต่ในการทดสอบกับ S. aureus ใน agar plate พบว่าไม่มีฤทธิ์ เมื่อทดสอบน้ำต้มขมิ้นอ้อยกับ S. aureus โดยมีค่า MIC เท่ากับ 250 มก./มล. พบว่าให้ผลเช่นเดียวกัน เมื่อใช้สารสกัดคลอโรฟอร์มทดสอบกับแบคทีเรีย Staphylococcus, Streptococcus พบว่าไม่มีฤทธิ์ และการนำสารสกัดเอทานอล (95%) ความเข้มข้น 100 มคก./แผ่น ทดสอบกับ S. aureus ใน agar plate พบว่าไม่มีฤทธิ์เช่นกัน
ฤทธิ์แก้ปวดและต้านการอักเสบ การศึกษาสารบริสุทธิ์ curcumenol ที่แยกได้จากสารสกัด dichloromethane จากเหง้าแห้งขมิ้นอ้อย พบว่าออกฤทธิ์แรงในการลดอาการปวดในหนูถีบจักร ในหลายการทดสอบ ได้แก่ Writhing Test , Formalin และ Capsaicin โดยเปรียบเทียบกับยามาตรฐาน diclofenac, aspirin และ dipyrone ในการทดสอบ Writhing Test ใช้กรดอะซิติกฉีดเข้าช่องท้องของหนู เพื่อให้เกิดอาการเจ็บปวด หลังจากให้สารทดสอบขนาด 1-10 mg/kg เข้าทางช่องท้องแล้ว 30 นาที และนับจำนวนครั้งที่หนูเกิดการหดตัวของช่องท้องตามด้วยการยืดกล้ามเนื้อ ภายในเวลา 20 นาที หลังฉีดกรดอะซิติก ผลการทดสอบพบว่าสาร curcumenol สามารถลดจำนวนการเกร็งของการเกิด writhingได้ดีกว่าสารมาตรฐานทั้ง 3 ชนิด โดยมีค่า ID50 ของสาร curcumenol, diclofenac, aspirin และ dipyrone เท่ากับ 22, 38, 133และ 162 ไมโครโมล/กิโลกรัม ตามลำดับ และการทดสอบฤทธิ์ระงับปวดที่สัมพันธ์กับการอักเสบ (Inflammatory analgesia) โดยการฉีด formalin และ capsaicin การทดลอง formalin ทำโดยการฉีดสารทดสอบในขนาด 3-15 mg/kg เข้าทางช่องท้องหนู หลังจากนั้น 1 ชั่วโมง ฉีด formalin เข้าทางใต้ผิวหนังบริเวณอุ้งเท้าหลังด้านซ้าย แล้วสังเกตพฤติกรรมการยกเท้าขึ้นเลียของหนู ใน 2 ช่วงคือ first phase (0-5 นาที หลังจากฉีด formalin) ซึ่งแสดงถึงอาการปวดแบบเฉียบพลัน (acute pain) อีกช่วงหนึ่งคือ second phase (15-30 นาที หลังจากฉีด formalin) ซึ่งแสดงถึงการอักเสบ (inflammation phase) พบว่าสาร curcumenol สามารถลดการอักเสบระยะ second phase ได้ดีกว่าสารมาตรฐานทั้ง 3 ชนิด โดยมีค่า ID50 ของสาร curcumenol, diclofenac, aspirin และ dipyrone เท่ากับ 29, 34.5, 123 และ 264 ไมโครโมล/กิโลกรัม ตามลำดับ การทดสอบด้วย capsaicin ทำโดยการฉีดสารทดสอบในขนาด 1-10 mg/kg เข้าทางช่องท้องหนู หลังจากนั้น 1 ชั่วโมง ฉีด capsaicin เข้าทางใต้ผิวหนังบริเวณอุ้งเท้าหลังด้านขวา แล้วสังเกตพฤติกรรมการยกเท้าขึ้นเลียของหนู เป็นเวลา 5 นาที พบว่าสาร curcumenol สามารถลดการปวดเฉียบพลัน ได้ดีกว่ายามาตรฐาน diclofenac โดยมีค่า ID50 ของสาร curcumenol, diclofenac และ dipyrone เท่ากับ 12, 47 และ 208 ไมโครโมล/กิโลกรัม ตามลำดับ กลไกการออกฤทธิ์ลดปวด และลดการอักเสบของสาร curcumenol นี้ไม่ได้ผ่าน opioid system เนื่องจากไม่ให้ผลการทดสอบด้วยวิธี hot plate ศึกษาสาร sesquiterpenoides 2 ชนิด ที่สกัดได้จากเหง้า เมื่อนำไปทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบ ในหลอดทดลอง ในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ COX-2 และ nitric oxide synthase (iNOS) (หากเอนไซม์ทั้ง 2 ชนิดถูกกระตุ้น จะมีการสร้างสารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบได้แก่ พรอสตาแกลนดิน และไนตริกออกไซด์ ตามลำดับ) โดยทำการทดสอบกับเซลล์แมคโครฟาจ ชนิด raw 264.7 ของหนูถีบจักร ซึ่งถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วย lipopolysaccharide (LPS) พบว่า สารทั้ง 2 ชนิด คือ beta-turmerone และ ar-turmerone มีฤทธิ์แรงในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ทั้งสองชนิดโดยยับยั้งเอนไซม์COX-2ด้วยค่า IC50 เท่ากับ 1.6 และ 5.2 microg/mL ตามลำดับ และยับยั้ง iNOS โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 4.6 และ 3.2 microg/mLตามลำดับ
ฤทธิ์ลดอาการมึนเมา ศึกษาฤทธิ์ลดอาการมึนเมาจากสารสกัดของขมิ้นอ้อย โดยทดลองป้อนสารสกัดขมิ้นอ้อย 5 ชนิดให้แก่หนูเม้าส์ผ่านทางหลอดสวนกระเพาะ ได้แก่ สารสกัด 30% เอทานอล (ขนาด 500 และ 1,000 มก./กก.) ส่วนสกัดของขมิ้นอ้อยที่ละลายในเฮกเซน (n-hexane) (ขนาด 100 และ 300 มก./กก.) ส่วนสกัดของขมิ้นอ้อยที่ละลายใน เมทานอล (ขนาด 150 และ 450 มก./กก.) ส่วนสกัดของขมิ้นอ้อยที่ไม่ละลายในเมทานอล (ขนาด 250 และ 500 มก./กก.) และสารสำคัญ curcumenone ที่สกัดแยกได้จากส่วนสกัดของขมิ้นอ้อยที่ละลายในเฮกเซน โดยวิธี HPLC (ขนาด 3 10 และ 30 มก./กก.) ป้อนวันละ 2 ครั้ง นานติดต่อกัน 7 วัน ในวันที่ 8 ของการทดลอง งดให้อาหารหนู 4 ชั่วโมงก่อนป้อนสารสกัดขมิ้นอ้อยจากนั้น 10 นาที ทำการป้อนแอลกอฮอล์ 40% ให้แก่หนูทุกตัว วัดค่าแอลกอฮอล์ในเลือดด้วยชุดเครื่องมือ Ethanol determination F-kit และวัดอาการมึนเมาของหนูด้วยชุดเครื่องมือ slip board machine ที่เวลา 15 30 60 120 180 และ 240 นาทีหลังป้อนแอลกอฮลล์ 40% ผลการทดลองพบว่า สารสกัด 30% เอทานอลของขมิ้นอ้อยขนาด 1000 มก./กก. มีผลยับยั้งการเกิดอาการมึนเมาหลังป้อนแอลกอฮลล์ 40% ที่เวลา 60 และ 120 นาที คิดเป็น 50 และ 52.1% ตามลำดับเมื่อเทียบกับหนูที่ไม่ได้รับสารสกัด (กลุ่มควบคุม) ส่วนสกัดของขมิ้นอ้อยที่ละลายในเฮกเซน ขนาด 300 มก./กก. มีผลยับยั้งการเกิดอาการมึนเมาหลังป้อนแอลกอฮลล์ 40% ที่เวลา 30 และ 60 นาที (35.7 และ 45.6%) เมื่อเทียบกับหนูกลุ่มควบคุม และสารสกัด curcumenone ทุกขนาด มีผลยับยั้งการเกิดอาการมึนเมาหลังป้องแอลกอฮอล์ที่เวลา 30 60 และ 120 นาที นอกจากนี้ยังพบว่า สารสกัด 30% เอทานอลของขมิ้นอ้อยขนาด 1000 มก./กก. มีผลลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดหนูที่เวลา 60 นาทีหลังป้อนแอลกอฮอล์ 40% คิดเป็น 28.4% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ส่วนสกัดของขมิ้นอ้อยที่ละลายในเฮกเซน ขนาด 300 มก./กก. มีผลลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดหนูที่เวลา 30 และ 60 นาทีหลังป้อนแอลกอฮอล์ 40% (29.7 และ 31.0%) เมื่อเทียบกับหนูกลุ่มควบคุม และสารสกัด curcumenone ขนาด 3 10 และ 30 มก./กก. มีผลลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดหนูที่เวลา 60 นาทีหลังป้อนแอลกอฮอล์ 40% คิดเป็น 23.8 23.8 และ 33.7% ตามลำดับเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม และการป้อนสารสกัด curcumenone ขนาด 10 และ 30 มก./กก. มีผลช่วยเพิ่มระดับเอนไซม์ ADH (Alcoho dehydrogenase) ในตับหลังป้อนแอลกอฮอล์ 40% ที่เวลา 30 และ 60 นาที อีกด้วย ผลการศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ขมิ้นอ้อยมีฤทธิ์ยับยั้งอาการมึนเมาที่เป็นผลมาจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ การศึกษาส่วนประกอบ และฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของน้ำมันระเหยง่าย ที่แยกได้จากเหง้าแห้งของขมิ้นอ้อย โดยใช้วิธีการกลั่นด้วยไอน้ำ และสกัดด้วยตัวทำละลาย และทำการสกัดแยกส่วนสกัดย่อยของน้ำมันระเหยง่าย โดยใช้เทคนิค silica gel column chromatography พบสารประกอบ 36ชนิด ได้แก่ terpenes 17 ชนิด, alcohols 13 ชนิด และ ketones 6 ชนิด โดยพบว่าองค์ประกอบหลักที่พบคือ สาร epicurzerenone และ curzerene ปริมาณ 24.1 และ 10.4% ตามลำดับ ผลการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชันด้วยวิธีทางเคมี พบว่าน้ำมันระเหยง่ายขนาด 20 mg/ml ออกฤทธิ์ในระดับปานกลางถึงระดับดีมากในการต้านอนุมูลอิสระ DPPH ออกฤทธิ์ดีในการเป็น reducing power (เป็นการวัดความสามารถในการรีดิวซ์สารประกอบเชิงซ้อนของเหล็กซึ่งเป็นคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระ) และออกฤทธิ์ระดับต่ำในการจับเหล็ก (เนื่องจากเหล็กอิสระที่มีอยู่ทั่วร่างกายสามารถเหนี่ยวนำให้เกิดอนุมูลอิสระ) และได้ทำการแยกส่วนสกัดย่อยของน้ำมันระเหยง่ายออกมา พบว่าส่วนสกัดย่อยที่ 4 มีองค์ประกอบหลักคือ สารบริสุทธิ์ 5-isopropylidene-3,8-dimethyl-1(5H)-azulenone แสดงฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าน้ำมันระเหยง่าย
ฤทธิ์ต้านการเกิดแผลเปื่อย มีการทดลองฉีดสารสกัด (ไม่ระบุชนิดสารสกัด) เข้าใต้ผิวหนังหนูถีบจักร ในขนาด 80 มก./กก. พบว่าสารสกัดดังกล่าวมีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลเปื่อย
ฤทธิ์ทำให้สงบระงับ สารสกัดเหง้าขมิ้นอ้อยที่สกัดด้วย 80% เอทานอล โดยวิธีการหมัก นำมาทดสอบโดยการวัดระยะเวลาการนอนหลับ และพฤติกรรมการเคลื่อนไหว (locomotor activity)ในหนูถีบจักรเพศผู้ พบว่าสารสกัดเหง้าขมิ้นอ้อยขนาด 1 และ 2 กรัม/กิโลกรม ของน้ำหนักหนู โดยการป้อนทางปาก สามารถยืดระยะเวลาการนอนหลับของหนุถีบจักรที่ถูกเหนี่ยวนำให้นอนหลับด้วยยา pentobarbital ขนาด 50 มก./กก. (ฉีดเข้าทางช่องท้อง) นานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) นอกจากนี้ยังพบว่า สารสกัดเหง้าขมิ้นอ้อยขนาด 1 ก./กก. เมื่อป้อนทางปากสามารถลดพฤติกรรมการเคลื่อนไหว ในหนูถีบจักรที่กระตุ้นด้วย methamphetamine ขนาด 3 มก./กก. (ฉีดเข้าทางช่องท้อง) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05)
การศึกษาทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษมีการศึกษานำแป้งที่เตรียมจากขมิ้นอ้อยซึ่งมีระดับของโปรตีนสูง ไปทดลองให้เป็นอาหารกับหนูขาวเป็นเวลา 6 วัน โดยให้ในขนาด 320 ก./กก. พบว่ามีผลทำให้หนูทดลองตายทั้งหมด นอกจากนี้การใช้เหง้าสดมาสับให้ละเอียดแล้วทำให้แห้ง นำไปให้เป็นอาหารกับหนูขาว ผลการทดลองพบว่า หนูทดลองทั้งหมดมีน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว และ 2/5 ของหนูทดลอง ตายภายใน 4 วัน แต่เมื่อทดลองให้กับไก่ ขนาด 100 และ 200 ก./กก. เป็นเวลา 20 วัน พบว่าไก่ทั้งหมดรอดชีวิต แต่มีน้ำหนัก ปริมาณการกินอาหารและประสิทธิภาพการย่อยอาหารลดลง มีการการทดสอบพิษเฉียบพลันของสารสกัดเหง้าด้วยเอทานอล 50% โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (คิดเป็น 1,250 เท่า เปรียบเทียบกับขนาดรักษาในคน) และให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ ทดลองฉีดสารสกัดเอทานอล (50%) ทางหลอดเลือดดำให้กับสุนัข โดยให้ในขนาดต่างๆ กัน พบว่าไม่มีพิษต่อหัวใจ และเมื่อฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนูถีบจักร ในขนาด 10 ก./กก. พบว่าไม่มีพิษเช่นเดียวกัน นอกจากนี้การให้สารสกัดดังกล่าวทางกระเพาะอาหารหนูถีบจักรในขนาดเท่าเดิม พบว่าไม่มีพิษ ทดลองใช้น้ำต้ม ฉีดเข้าทางช่องท้องหนูถีบจักรและลิงที่กำลังตั้งท้อง พบว่าไม่มีผลเปลี่ยนแปลงโครโมโซม (clastogenic effect) แต่การให้สารสกัดดังกล่าวทางปากของผู้ใหญ่ทั้ง 2 เพศในขนาด 4.6 ก./คน พบว่ามีพิษต่อ neuromuscular มีการตรวจสอบพิษเฉียบพลัน โดยใช้สารสกัดเอทานอล (50%) กรอกเข้าทางปากหนูถีบจักรและการทดลองฉีดสารสกัดนี้เข้าใต้ผิวหนัง พบว่าไม่มีพิษทั้ง 2 แบบ ใช้สารสกัดด้วยน้ำเกลือหรือน้ำต้ม ความเข้มข้น 100 มล./แผ่น ทดสอบด้วย lymphocytes ของมนุษย์ พบว่าสารสกัดด้วยน้ำเกลือมีผลเปลี่ยนแปลงการแบ่งตัวของเซลล์ ในขณะที่น้ำต้มไม่มีผลดังกล่าว และเมื่อนำสารสกัดทั้ง 2 ชนิดมาทดสอบกับ lymphocytes ของหนูถีบจักร พบว่าให้ผลในทางกลับกัน
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ มีการทดสอบน้ำต้มกับ Salmonella typhimurium TA100 ในจานเพาะเชื้อ โดยใช้ความเข้มข้น 40 มก./จานเพาะเชื้อ 100 มก./มล. และ 50 มก./แผ่น พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ เมื่อนำสารสกัดดังกล่าวทดสอบกับ Bacillus subtitis H-17 (Rec+), M-45 (Rec-) ในจานเพาะเชื้อ โดยใช้ความเข้มข้น 0.5 มล./แผ่น พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดเมทานอลทดสอบด้วย Bacillus subtitis H-17 (Rec+) ในจานเพาะเชื้อ โดยใช้ความเข้มข้น 100 มก./มล. พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และเมื่อทดสอบกับ S. typhimurium TA100 และ TA98 โดยใช้ความเข้มข้น 50 มก./แผ่น พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์เช่นกัน ทดสอบน้ำต้มกับ B. subtitis H-17 (Rec+) และ M-45 (Rec-) ในจานเพาะเชื้อ โดยใช้ความเข้มข้น 0.5 มล./แผ่น พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ นอกจากนี้การใช้เหง้าทดสอบกับเชื้อดังกล่าวโดยใช้ความเข้มข้นเท่าเดิม พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์เช่นกัน
ใช้สารสีเหลืองที่สกัดจากเหง้า ทดสอบด้วย Salmonella typhimurium TA100 และ TA98 พบว่าสารดังกล่าวไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และไม่มีผลเปลี่ยนแปลง chromosome เมื่อทำการทดสอบกับ lymphocytes นอกจากนี้มีการใช้สารสกัดจากเอทานอลมาทดสอบกับ เชื้อดังกล่าว พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ และเมื่อนำสารสกัดนี้มาทำปฏิกิริยากับเกลือ ไนไตรท์ในภาวะเป็นกรด แล้วทดสอบอีกครั้ง พบว่าไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์เช่นเดียวกัน
พิษต่อเซลล์ สารสกัดด้วยน้ำ นำไปทดสอบกับเซลล์ CA-JTC-26 โดยใช้ความเข้มข้น 120 มคก./มล. และขนาด 500 มคก./มล. พบว่าไม่มีพิษ นอกจากนี้มีการทดสอบกับเซลล์ CA-mammary-microalveolar โดยใช้ความเข้มข้น 500 มคก./มล. พบว่าไม่มีพิษ ส่วนการทดสอบกับเซลล์ Hela ที่ความเข้มข้น 0.1 มก./มล. และ 100% พบว่าไม่มีพิษเช่นกัน
ทดสอบสารสกัดเมทานอลกับเซลล์ Human-SNU-1 และ SNU-C-4 โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 150 และ 196.7 มคก./มล. ตามลำดับ พบว่าไม่มีพิษ และเมื่อนำไปทดสอบกับเซลล์ Leuk (shay) โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 251.8 มคก./มล. พบว่าไม่มีพิษเช่นกัน เมื่อทดสอบด้วย Hela-S3-cells มีค่า IC50 เท่ากับ 21 มคก./มล. พบว่ามีฤทธิ์อ่อนๆ แต่เมื่อทดสอบกับเซลล์ Hela โดยใช้ความเข้มข้น 0.1 มก./มล. พบว่าไม่มีพิษ การทดสอบด้วยเซลล์ Leuk-L1210 โดยมีค่า ED50 เท่ากับ 20 มคก./มล.
ส่วนการศึกษาความเป็นพิษต่อเซลล์ในหลอดทดลองของสารสกัดเอทานอลจากเหง้าขมิ้นอ้อย นำมาทดสอบความปลอดภัยต่อเซลล์เยื่อบุผนังในช่องปาก โดยทำการทดลองกับ LMF cell line ที่ได้จากเยื่อบุผนังช่องปาก (oral mucosa) โดยใช้เทคนิค Trypan blue dye exclusion assay โดยทำการฉีดสารสกัดเข้าไปในเซลล์ และวัดความมีชีวิตรอดของเซลล์(Cell viability) ทั้งแบบระยะสั้น (short-term assay) ที่เวลา 0, 6, 12 และ 24 ชั่วโมง หลังได้รับสารสกัด และวัดการเจริญเติบโตของเซลล์ (Cell growth) ระยะยาว (long-term assay) ที่ 1, 3, 5 และ 7 วัน ผลการทดลองพบว่า การทดสอบที่ระยะสั้น เซลล์ยังคงมีชีวิตอยู่ และในระยะยาว พบว่าเซลล์ยังคงเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า สารสกัดของขมิ้นอ้อยมีความเป็นพิษต่อเซลล์ต่ำ และมีการทดสอบนำสารสีเหลืองที่สกัดจากเหง้ามาทดสอบกับ Salmonella typhimurium TA98, TA100 พบว่ามีพิษต่อเซลล์ปานกลาง และการทดสอบสาร curcumin, demethoxycurcumin และ bis-demethoxycurcumin ที่สกัดได้จากขมิ้นอ้อยทดสอบกับเซลล์ Ovcar-3 พบว่ามีพิษ โดยมีค่า CD50 เท่ากับ 4.5, 3.8 และ 3.1 มคก./มล. ตามลำดับ
พิษต่อตัวอ่อน มีการทดสอบให้ผู้ที่ตั้งครรภ์กินขมิ้นอ้อย (ไม่ได้ระบุชนิดสารสกัด) พบว่ามีผลทำให้แท้งได้ แต่เมื่อใช้สารสกัดด้วยน้ำ พบว่าไม่มีพิษ เมื่อให้สารสกัดเอทิลอะซีเตท ทางมดลูก (intrauterine) กับหนูถีบจักรที่ท้อง โดยใช้ความเข้มข้น 5 มก./ตัว เป็นเวลา 2 วัน พบว่ามีผลทำให้แท้งได้ ในขณะที่การให้สารสกัดเอทานอล (70%) ทางกระเพาะอาหาร (gastric intubation) แก่หนูถีบจักรที่ท้อง โดยให้ในขนาด 975 มก./กก. พบว่าสารสกัดดังกล่าวสามารถยับยั้งการฝังตัวของตัวอ่อนและทำให้เกิดการแท้งได้ และเมื่อให้ผงขมิ้นอ้อย ขนาด 50 มก./กก. ทางกระเพาะอาหาร (gastric intubation) แก่หนูขาวที่ท้อง พบว่าไม่มีพิษ แต่ในขนาด 500 มก./กก. พบว่ามีผลยับยั้งการฝังตัวของตัวอ่อน และเมื่อเปลี่ยนมาให้ทั้งต้นของขมิ้นอ้อย โดยให้ในขนาด 500 มก./กก. พบว่ามีผลยับยั้งการฝังตัวของตัวอ่อนเช่นกัน
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
- สตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทานขมิ้นอ้อย
- ไม่ควรรับประทานขมิ้นอ้อยในปริมาณที่มากจนเกินไปเพราะอาจส่งผลให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้
- สำหรับผู้ที่แพ้ขมิ้นหรือพืชในวงศ์ ไม่ควรรับประทานขมิ้นอ้อยเพราะอาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้ เช่น ท้องเสีย ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ หรือคลื่นไส้ได้
เอกสารอ้างอิง
- หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. “ขมิ้นอ้อย”. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). หน้า 90-91.
- มาลัย วรจิตร. แบคทีเรียก่อโรคในผู้ติดเชื้อเอชไอวี. ใน: พิไลพันธ์ พุธวัฒนะ, บรรณาธิการ. เอชไอวีและจุลชีพฉวยโอกาส. กรุงเทพฯ:อักษรสมัย, 2541:12.1-12.6.
- หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. “ขมิ้นอ้อย Zedoary”. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). หน้า 95.
- กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. 2546. ประมวลผลงานวิจัยด้านพิษวิทยา ของสถาบันวิจัยสมุนไพร เล่ม 1.โรงพิมพ์การศาสนา:กรุงเทพมหานคร.
- ฤทธิ์ลดอาการมึนเมาของขมิ้นอ้อย.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “ขมิ้นอ้อย”. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 118.
- พัฒนชัย เสถียรโชควิศาล, สัจจา ศุภรพันธ์. ฤทธิ์สงบระงับของสมุนไพรไทยขมิ้นอ้อย [ปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิต]. กรุงเทพฯ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2541.
- ขมิ้นอ้อย.ฐานข้อมูลสมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
- แก้ว กังสดาลอำไร วรรณี โรจนโพธิ์. การประเมินฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสมุนไพรในรูปของยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขและสมุนไพรบางชนิดโดยวิธีเอมส์เทสต์. สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล, 2543:14-5.
- ขมิ้นอ้อย.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.thaicruedrug.com/main.php?action=vyewpage&pid=151
- Rao BGV, Narasimha, Nigam SS. In vitro antimicrobial efficiency essential oils. Indian J Med Res 1970;58(5): 627-33.
- Tachibana Y, Kawanishi K. Mitogenic activities in the protein fractions of crude drugs. Planta Med 1992;58(3):250-4.
- Li FK. Problems concerning artificial abortion through oral administration of traditional drugs. Ha-Erh-Pin Chung-I 1965;1:11-4.
- Bugno A, Nicoletti MA, Almodóvar AAB, Pereira TC, Auricchio MT. Antimicrobial efficacy of Curcuma zedoaria extract as assessed by linear regression compared with commercial mouthrinses. Brazilian Journal of Microbiology. 2007;38:440-445.
- Yin XJ, Liu DX, Wang H, Zhou Y. A study on the mutagenicity of 102 raw pharmaceuticals used in Chinese traditional medicine. Mutat Res 1991;260(1):73-82.
- Yoshioka T, Fujii E, Endo M, et al. Antiinflammatory potency of dehydrocurdione, a zedoary-derived sesquiterpene. Inflamm Res 1998;47(12):476-81.
- Mau J-L, Lai EYC, Wang N-P, Chen C-C, Chang C-H, Chyau C-C. Composition and antioxidant activity of the essential oil from Curcuma zedoaria. Food Chemistry. 2003;82(4):583-591.
- Futagami Y, Yana S, Hons S, et al. Antiallergic activity of Curcuma longa. (III). Effects of curcuminoids. Wakan Iyakugaku Zasshi 1966;13(4):430-1.
- Seshadri C, Pillai SR, Venkataraghav AN. Antifertility activity of a compound ayurvedic preparation. J Sci Res Pl Med 1981;2(1/2):3.
- Jang MK, Sohn DH, Ryu JH. A curcuminoid and sesquiterpenes as inhibitors of macrophage TNF-alpha release from Curcuma zedoaria. Phanta Med 2001; 67(6): 550-2.
- Fernandes JP, Mello-Moura AC, Marques MM, Nicoletti MA.. Cytotoxicity evaluation of Curcuma zedoaria (Christm.) Roscoe fluid extract used in oral hygiene products. Acta Odontol Scan. 2012;70(6):610-614.
- Park JG, Hyun JW, Lim KH, et al. Antineoplastic effect of extracts from traditional medicinal plants. Korean J Pharmacog 1993;24(3):223-30.
- Mokkhasmit M, Ngarmwathana W, Sawasdimongkol K, Permphiphat U. A pharmacological evaluation of Thai medicinal plants. (continued). J Med Ass Thailand 1971;54(7):490-504.
- Navarro DF, Souza MM, Neto RA, Golin V, Niero R, Yunes RA, et al. Phytochemical analysis and analgesic properties of Curcuma zedoaria grown in Brazil. Phytomedicine. 2002;9(5):427-32.
- Banerjee A, Kaul VK, Nigam SS. Antimicrobial efficacy of essential oils of Curcuma zedoaria (Rosc.) Roxb. Indian Perfum 1978;22(3):214-7.
- Ungsurungsie M, Suthienkul O, Paovalo C. Mutagenicity screening of popular Thai spices. Food Chem Toxicol 1982;20:527-30.
- Lee SK, Hong CH, Huh SK, Kim SS, Oh OJ, Min HY, et al. Suppressive effect of natural sesquiterpenoids on inducible cyclooxygenase (COX-2) and nitric oxide synthase (iNOS) activity in mouse macrophage cells. J Environ Pathol Toxicol Oncol 2002;21(2):141-8.
- Latif MA, Morris TR, Miah AH, Hewitt D, Ford JE. Toxicity of shoti (Indian arrowroot: Curcuma zedoaria) for rats and chicks. Brit J Nutr 1979;41:57-63.
- Chen ZZ. Preliminary result of clinical anti-early pregnancy by Curcuma zedoaria. Unpublished Data (Cited In Chung Ts'ao Yao 1981;12(3):26-9.
- Begum J, Yusuf M, Chowdhury U, Wahab MA. Studies on essential oils for their anti-bacterial and antifungal properties. Part I. Preliminary screening of 35 essential oils. Bangladesh J Sci Ind Res 1993;28(4):25-34.
- Nam SH, Yang MS. Isolation of cytotoxic substances from Chrysanthemum boreale M. Han'guk Nonghwa Hakhoe Chi 1995;38(3):273-7.
- Avirutnant W, Pongpan A. The antimicrobial activity of some Thai flowers and plants. Mahidol Univ J Pharm Sci 1983;10(3):81-6.
- Chen ZZ, Hu RB, Wang Y, Cao MY. Actions of eshu (Curcuma zedoaria) on the ovary, endometrium and embryo of mice. Chung Ts'ao Yao 1981;12(3):26-9.
- Liu DX, Yin XJ, Wang HC, Zhou Y, Zhang YH. Antimutagenicity screening of water extracts from 102 kinds of Chinese medicinal herbs. Chung-Kuo Chung Yao Tsa Chi Li 1990;15(10):617-22.
- Wongseri V, Siripong P. Antibacterial activity of curcuminoid compounds from Curcuma zedoaria Roscoe rhizomes. Thai Cancer J 1995;21(1):17-24.
- Syu W-J, Shen C-C, Don M-J, Lee G-H, Sun C-H. Cytotoxicity of curcuminoids and some novel compounds from Curcuma zedoaria. J Nat Prod 1998;61(12):1531-4.
- Chaniphun L. Effect of a food preservative nitrite on mutagenicity of Thai medicinal plants using the Ames test. Annual Thesis Abstract, 1989;627-8.
- Yamamoto H, Mizutani T, Nomura H. Studies on the mutagenicity of crude drug extracts. I. Yakugaku Zasshi 1982;102:596-601.
- Chen ZZ, Hu YB, Xiao MY. Comparison of activity of termination of early pregnancy and toxicity between eshu (Curcuma zedoaria) and compound eshu formulation. Chung Ts'ao Yao 1982;13(5):32-3.
- Chen CP, Lin CC, Namba T. Development of natural crude drug resources from Taiwan. (VI). In vitro studies of the inhibitory effect on 12 microorganisms. Shoyakugaku Zasshi 1987;41(3):215-25.
- Siddiqui NA, Hasan MZ. Therapeutic response of Arab medicines in cases of laquwa. Bull Islamic Med 1981;1:366-74.
- Sato A. Cancer chemotherapy with oriental medicine. I. Antitumor activity of crude drugs with human tissue cultures in vitro screening. Int J Orient Med 1990;15(4): 171-83.
- Seshadri C, Pillai SR. Antifertility activity of a compound ayurvedic preparation. J Sci Res Pl Med 1981;2(1):1-3.