แก้วมังกร ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
แก้วมังกร งานวิจัยและสรรพคุณ 20 ข้อ
ชื่อสมุนไพร แก้วมังกร
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น dragon fruit (เอเชีย)
ชื่อวิทยาศาสตร์
Hylocereus undatus (Haw). Britton&Rose - พันธุ์เนื้อขาวเปลือกแดง
Hylocereus (Weber) Britt.&Rose - พันธุ์เนื้อแดงเปลือกแดง
Hylocereus megalanthus (Schum.ex vaup.) Moran - พันธุ์เนื้อขาวเปลือกเหลือง
ชื่อสามัญ pitaya, Red pitaya
วงศ์ CACTACEAE
ถิ่นกำเนิดแก้วมังกร
แก้วมังกร จัดเป็นพืชในวงศ์กระบองเพชรมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในทางตอนใต้ของประเทศเม็กซิโก บริเวณชายฝั่งแปซิฟิกของประเทศกัวเตมาลา คอสตาริกา และเอลซัลวาดอร์ ส่วนในทวีปเอเชียเริ่มจากมีชาวฝรั่งเศสได้นำพันธุ์แก้วมังกร มายังประเทศเวียดนาม เมื่อประมาณ 100 กว่าปีที่ผ่านมา สำหรับในประเทศไทย ดร.สุรพงษ์ โกสิยาจินดา ได้พบผลไม้จากเวียดนามชื่อ “ธานฮ์หลอง” (thanh long) ที่ฮ่องกง เมื่อปี พ.ศ.2534 จึงได้นำมาทดลองปลูกเป็นครั้งแรก ต่อมาเกษตรกรชาวสวนไทยเริ่มปลูกพืชชนิดนี้เป็นอาชีพเมื่อ พ.ศ.2540 ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี จนในปัจจุบันมีการปลูกแก้วมังกรอย่างกว้างขวาง โดยแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญอยู่ที่จังหวัด ชลบุรี กาญจนบุรี สระบุรี จันทบุรี และสมุทรสงคราม
ประโยชน์และสรรพคุณแก้วมังกร
- ช่วยเสริมสร้างสุขภาพลำไส้ใหญ่
- ช่วยเพิ่มแบคทีเรียชนิดดี
- ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
- ช่วยบรรเทาและป้องกันอาการท้องผูก
- ช่วยบรรเทาอาการลำไส้ระคายเคือง
- ช่วยลดไขมัน ไตรกลีเซอไรด์และคอลเลสเตอรอล โดยเน้นลดสารไลโปโปรตีนคอลเลสเตอรอลชนิดความหนาแน่นน้อยในเลือด
- ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
- ช่วยโรคเส้นเลือดหัวใจ
- ช่วยบรรเทาอาการ โรคเบาหวานประเภท 2
- ช่วยขับพิษโลหะหนักออกจากร่างกาย
- ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง สดใส ชุ่มชื่นดับร้อน
- ช่วยดับกระหาย
- ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ
- ช่วยบรรเทาอาการของโรคความดันโลหิต
- ช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
- บรรเทาอาการของโรคโลหิตจาง
- ช่วยควบคุมน้ำหนัก
- ช่วยในการชะลอวัย
- ช่วยลดริ้วรอยต่างๆ
- กระตุ้นการขับน้ำนมในสตรี
แก้วมังกร จัดเป็นผลไม้ที่เป็นนิยมในปัจจุบันโดยนิยมรับประทานเป็นผลไม้สด เนื่องจากมีคุณค่าทางอาหารสูงโดยส่วนของเนื้อนอกจากรับประทานสดแล้วยังสามารถแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ และผลไม้กวนได้อีกด้วย โดยแก้วมังกรเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานต่า (ประมาณ 50-60 กิโลแคลอรี่/100 ก.) น้ำตาลที่พบส่วนใหญ่เป็นน้ำตาลกลูโคส ฟรุกโตสและซูโครส ส่วนในเนื้อของแก้วมังกรมีวิตามินซี ใยอาหาร และโพแทสเซียมสูง ซึ่งวิตามินซี มีส่วนช่วยในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ใยอาหารช่วยให้รู้สึกอิ่มนานและทำให้การขับถ่ายดีขึ้น นอกจากนี้ยังพบสารในกลุ่มโอลิโกแซคคาไรด์ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติก ที่จะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของโปรไบโอติกในลำไส้ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการขับถ่าย และในเมล็ดของแก้วมังกรยังอุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย และในส่วนเปลือกในเนื้อผลที่มีสีแดง หรือ แดงม่วง ในทางอุตสาหกรรมนิยมนำสารกลุ่มดังกล่าวมาทำเป็นสีผสมอาหารเนื่องจากมีความปลอดภัยสูง
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
สำหรับรูปแบบการใช้ประโยชน์แก้วมังกร ในด้านการส่งเสริมสุขภาพนั้น โดยส่วนมากจะเป็นการใช้รับประทานแบบสดๆ หรือ นำไปทำเป็นน้ำผลไม้ หรือ ผลไม้ปั่น เป็นต้น
ลักษณะทั่วไปของแก้วมังกร
แก้วมังกร เป็นไม้เลื้อย ลำต้นสีเขียว มีลักษณะอวบน้ำเป็นแฉกสามแฉก คล้ายกับต้นโบตั๋น มีหนามกระจุกอยู่ที่ข้างตาเป็นช่วงๆ แผ่ก้านออกไปรอบๆ ส่วนของใบนั้น แก้วมังกรจะไม่มีใบ แต่จะมีกิ่งขนาดใหญ่ อวบอ้วน ยาวมากกว่า 50-80 เซนติเมตร และอาศัยเปลือกสีเขียวของกิ่ง หรือ ก้านทำหน้าที่สังเคราะห์แสงแทนใบ ทำให้การออกดอกได้ดีกว่าและจะมีกิ่งแขนงที่แตกแขนงออกจากกิ่งหลัก แต่มักไม่ค่อยออกดอกติดผล หรือ ออกดอกติดผลได้น้อย และตามกิ่งจะมีตาข้าง โดยจะมีหนาม เป็นกระจุกอยู่ที่ตา 4-5 หนามส่วนมากตาดอกจะอยู่ที่ข้อใต้หนาม
ดอกแก้วมังกร เป็นดอกขนาดใหญ่ดอกจะเกิดบริเวณปลายกิ่ง เป็นรูปทรงกรวยขนาดใหญ่ หรือ รูปปากแตรมีกลีบยาวเรียวทับซ้อนกัน โคนดอกจะเป็นรูปกลมรี หรือ รูปไข่ มีขนาดยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ดอกมีสีขาวอมเหลืองบานในเวลากลางคืน จึงมีชื่อเรียกว่า moonflower หรือ lady of the night หรือ queen of the night เมื่อดอกบานเต็มที่ จะเหี่ยวและร่วงหล่น
ผลแก้วมังกร รูปทรงรี มีเส้นผ่าศูนย์กลางผลกว้างประมาณ 6-10 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ตามเปลือกผล เมื่อดิบ ผิวเปลือกเป็นสีเขียว เมื่อสุกผิวเปลือกเป็นสีแดงอมชมพู หรือ สีเหลือง (แล้วแต่พันธุ์) เนื้อผลภายในมีทั้งสีขาว สีชมพู และสีแดง แทรกไปด้วยเมล็ดสีดำ อยู่ในเนื้อผล มีขนาดใหญ่กว่าเมล็ดงาเล็กน้อย เนื้อผลมีรสชาติหวานฉ่ำน้ำ
การขยายพันธุ์แก้วมังกร
แก้วมังกรเป็นพืชที่สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยการใช้กิ่งพันธุ์ปลูก โดยสามารถปลูกได้แทบทุกสภาพดิน แต่สำหรับดินเหนียวและดินลูกรัง จะต้องมีการปรับหน้าดินด้วยการใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และแกลบดำ แต่เนื่องจากแก้วมังกรเป็นพืชที่มีลำต้นอ่อนมีลักษณะเป็นไม้เลื้อย ดังนั้นวิธีการปลูกแก้วมังกร จึงต้องสร้างหลักให้ลำต้นของต้นแก้วมังกรเกาะยึด โดยในหลักแต่ละหลักให้เตรียมหลุม 4 หลุมสำหรับปลูกกิ่งพันธุ์แก้วมังกรหลุมละ 1 ต้น โดยขุดหลุมลึก 30x30x30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยหมักเก่ารองก้นหลุมประมาณหลุมละ 1 บุ้งกี๋ แล้วนำกิ่งพันธุ์แก้วมังกรลงปลูกรดน้ำให้ชุ่มแล้วผูก หรือ มัดให้แนบกับหลัก และทำบังแดดให้กุ่งพันธุ์แก้วมังกรประมาณ 1-2 สัปดาห์ จึงสามารถนำออกได้ ทั้งนี้ลำต้นแก้วมังกร จะเป็นทรงสามเหลี่ยม แต่จะมีอยู่ด้านหนึ่งที่เป็นด้านแบน ดังนั้นเวลาผูก หรือ มัดต้นแก้วมังกร ให้จับด้านแบนของต้นเข้ากับหลัก เพราะว่าด้านแบนเป็นด้านที่จะออกราก
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยถึงองค์ประกอบทางเคมีของเนื้อผลและสารสกัดจากเปลือกผลระบุว่า พบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด อาทิเช่น betacyanin, betaxanthin, betanin, anthocyanin ส่วนสารสกัดจากเปลือกผลพบสาร β-Amyrin, Docosane, β-Sitosterol, Stigmastero, Squalene, Eicosane, Octacosane, Octadecane, 1-Tetracosanol, Campesterol, Phthalic acid, 1-Nonadecene นอกจากนี้เนื้อผลของแก้วมังกร ยังมีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการของแก้วมังกร (100 กรัม)
- พลังงาน (กิโลแคลอรี) 67.70 กรัม
- โปรตีนรวม 1.10 กรัม
- ไขมัน 0.57 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 11.20 กรัม
- ใยอาหาร 1.34 กรัม
- วิตามินA 1.01 กรัม
- วิตามินB3 2.8 กรัม
- วิตามินC 3.0 กรัม
- แคลเซียม 10.2 กรัม
- ธาตุเหล็ก 3.37 กรัม
- แมกนีเซียม 38.9 กรัม
- ฟอสฟอรัส 27.5 กรัม
- โพแทสเซียม 272.0 กรัม
- โซเดียม 8.9 กรัม
- สังกะสี 0.35 กรัม
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของแก้วมังกร
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดแก้วมังกร จากเนื้อผลและเปลือกผลระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ ดังนี้
มีการศึกษาการวิจัยผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน และการส่งเสริมจุลินทรีย์ลำไส้ที่มีประโยชน์ของสารสกัดแก้วมังกร โดยใช้หนูขาวใหญ่สารพันธ์ Wister เพศผู้ อายุ 3 เดือน โดยได้แบ่งเป็น 6 ตัวต่อกลุ่มให้ได้รับน้ำกลั่น สารพรีไบโอติกทางการค้า (อินนูลิน) ขนาด 4.0 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว และสารสกัดแก้วมังกรขนาด 1.0, 2.0 และ 4.0 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว นาน 28 วัน เลือดถูกเก็บเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงปริมาณสารบ่งชี้ระบบภูมิคุ้มกัน ด้วยเทคนิค ELISA และมูลหนูถูกเก็บเพื่อประเมินการส่งเสริมการจุลินทรีย์ลำไส้ที่มีประโยชน์ด้วยเทคนิค FISH พบว่า ค่าปริมาณสารบ่งชี้ระบบภูมิคุ้มกัน (lgA และ lgG) ในพลาสมาของหนูกลุ่มที่ได้รับสารสกัดแก้วมังกรที่ขนาดต่างๆ มีปริมาณ lgA เพิ่มขึ้นประมาณ 2-7 เท่า และที่ขนาด 2.0 และ 4.0 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) ในวันที่ 10 และสูงสุดในวันที่ 14 เมื่อเทียบกับหนูในกลุ่มชุดควบคุมทั้ง 2 กลุ่ม ส่วนปริมาณ lgG เพิ่มขึ้นประมาณ 5-16 เท่า โดยในหนูขาวใหญ่กลุ่มที่ได้รับสารสกัดแก้วมังกรที่ขนาดต่างๆ จะมีปริมาณของ lgG เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูงสุดในวันที่ 14 เมื่อเปรียบเทียบกับหนูในกลุ่มชุดควบคุมทั้ง 2 กลุ่ม นอกจากนี้ยังพบว่า การใช้สารสกัดแก้วมังกรที่ขนาด 4.0 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว สามารถรักษาระดับการกระตุ้นปริมาณ lgA และ lgG ในระดับที่ใกล้เคียงกันและมากกว่ากลุ่มอื่นๆ จนถึงระยะเวลา 21 วัน หลังจากนั้นมีปริมาณลดลงจนสิ้นสุดการทดลองที่ระยะเวลา 28 วัน ส่วนการเปลี่ยนแปลงปริมาณของจุลินทรีย์ลำไส้ พบว่าในหนูกลุ่มที่ได้รับสารสกัดแก้วมังกรที่ขนาดต่างๆ มีปริมาณการเจริญเติบโตมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) ของจุลินทรีย์กลุ่มโปรไบโอติก ได้แก่ bifidobacterial (27.43-46.89%) และ lactobacillus (33.95-52.83%) และมีปริมาณการเจริญเติบโตน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) ของจุลินทรีย์กลุ่มที่ให้โทษ ได้แก่ clostridium (27.65-29.07%) เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับน้ำกลั่น
ฤทธิ์ต้านภาวะลำไส้อักเสบมีการทดสอบฤทธิ์ต้านภาวะลำไส้อักเสบของสารสกัดเอทานอลจากเนื้อผลของแก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดง (Hylocereus polyrhizus ) ในหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยสาร 2,4,6-trinitrobenzenesulphonic (TNBS) โดยให้สารสกัดเอทานอลในขนาด 1 ก./กก. เข้าทางช่องท้องหลังการเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบเป็นเวลา 6 ชั่วโมง 30 นาที พบว่าสารสกัดแก้วมังกร สามารถป้องกันการลดลงของน้ำหนักตัว ทำให้การถูกทำลายของลำไส้รวมทั้งการทำงานของเอนไซม์ myeloperoxidase (MPO) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอักเสบลดลง นอกจากนี้ยังทำให้ระดับโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบ เช่น proinflammatory molecules (qPCR), NF-κB และ I-κβ-α ลดลง การวิเคราะห์ทางเคมีระบุว่าสารออกฤทธิ์ที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลเป็นสารในกลุ่มโพลีฟีนอลและกรดไขมัน โดยจากการทดลองทำให้สามารถสรุปได้ว่า สกัดเอทานอลจากเนื้อผลของแก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดงมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และสามารถป้องกันภาวะลำไส้อักเสบในหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยสาร TNBS ได้
ฤทธิ์ต่อการทำงานของหลอดเลือด มีการศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครวัยรุ่นทั้งเพศชาย และหญิง สุขภาพดีและไม่สูบบุหรี่ จำนวน 19 คน อายุ 18-40 ปี แบ่งออกเป็นกลุ่มที่ให้รับประทานผงจากผลแก้วมังกรชนิดเนื้อสีแดงเปลือกสีแดง (Hylocereus polyrhizus) วันละ 24 ก. (ประกอบด้วยสารกลุ่ม betalains 33 มก.) เป็นระยะเวลา 14 วัน และกลุ่มยาหลอก อาสาสมัครมีระยะพักอย่างน้อย 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นให้สลับการทดสอบ ประเมินผลการทดสอบด้วยการวัดการทำงานของหลอดเลือด การขยายตัวของหลอดเลือดหลังถูกปิดกั้นการไหลเวียน (flow mediated dilation; FMD) ภาวะหลอดเลือดแข็ง (arterial stiffness) และความดันโลหิต ในช่วง 0, 1, 2, 3 และ 4 ชม. หลังจากทำการทดสอบในแต่ละวัน มีอาสาสมัครจำนวน 18 คน ที่ผ่านการทดสอบเสร็จสมบูรณ์ พบว่าการรับประทานแก้วมังกรมีผลต่อการปรับปรุงค่า FMD เฉียบพลันที่ 2 ชม. (+0.8 ± 0.3%, P = 0.01), 3 ชม. (+1.0 ± 0.3%, P = 0.001) และ 4 ชม. (+1.3 ± 0.4%, P < 0.001) หลังจากทำการทดสอบ เปรียบเทียบกับกลุ่มยาหลอก จนถึงวันที่ 14 ของการทดสอบ (+1.3 ± 0.2%, P < 0.001) ความเร็วคลื่นความดันเลือดแดง (pulse wave velocity; PWV) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญที่ 3 ชม. (-0.5 ± 0.2 ม./นาที, P = 0.003) ดัชนีการเพิ่มสูงขึ้นของคลื่นความดันเลือดแดง (augmentation index; AIx) ปรับปรุงดีขึ้นในวันที่ 14 เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มยาหลอก ไม่มีความแตกต่างกันของความดันโลหิตส่วนปลาย และค่าความดันโลหิตส่วนกลางในช่วงเวลาการทดสอบต่างๆ
ฤทธิ์ต้านภาวะอ้วน และภาวะดื้อต่ออินซูลิน มีรายงานการทดสอบฤทธิ์ต้านภาวะอ้วน และภาวะดื้อต่ออินซูลินของสาร betacyanins ซึ่งแยกได้จากเปลือกของแก้วมังกร พันธุ์เนื้อขาว (Hylocereus undatus) ในหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะดังกล่าวด้วยการได้รับอาหารไขมันสูง โดยให้หนูกินอาหารไขมันสูงร่วมกับการได้รับสาร betacyanins ขนาด 50, 100 หรือ 200 มก./กก. เป็นเวลา 14 วัน พบว่าสาร betacyanins สามารถยับยั้งการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว การขยายตัวของเซลล์ไขมัน ภาวะไขมันพอกตับ ภาวะที่ไม่สามารถทนต่อการเพิ่มขึ้นของกลูโคส (glucose intolerance) และภาวะดื้อต่ออินซูลินได้ นอกจากนี้ยังพบว่าสาร betacyanins ยังเพิ่มการแสดงออกของยีนส์ที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญไขมันและน้ำตาลกลูโคส โดยประสิทธิภาพจะขึ้นกับขนาดที่ให้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสาร betacyanins ออกฤทธิ์ต้านภาวะอ้วน และภาวะดื้อต่ออินซูลินผ่านการเหนี่ยวนำให้เกิดกระบวนการออกซิเดชั่นของกรดไขมัน (fatty acid oxidation) ลดการสร้างกรดไขมัน และยับยั้งภาวะดื้อต่อการทำงานของยีนส์ที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญไขมัน และน้ำตาลกลูโคส
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของแก้วมังกร
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
สำหรับการรับประทานแก้วมังกร เป็นผลไม้สดนั้นมีความปลอดภัยสูง แต่อาจต้องระมัดระวังในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ หรือ ผู้ที่ต้องควบคุมระดับโพแทสเซียมในเลือด เนื่องจากผลไม้ชนิดนี้มีโพแทสเซียมสูงนอกจากนี้ผู้ที่มีประวัติการแพ้พืชในตะกูลกระบองเพชร และกีวี ก็ควรระมัดระวังในการบริโภคเพราะอาจทำให้เกิดการแพ้ได้
เอกสารอ้างอิง แก้วมังกร
- สุรพงษ์ โกสิยะจินดา, แก้วมังกร : พืชเศรษฐกิจ ผลไม้สุขภาพ. กรุงเทพฯ :สมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย. 2545.
- นิดดา หงส์วิวัฒน์ และทวีทอง หงส์วิวัฒน์. แก้วมังกร ใน ผลไม้ 111 ชนิด: คุณค่าอาหารและการกิน. กทม. แสงแดด. 2550 หน้า 37-39
- ฤทธิ์ต้านภาวะลำไส้อักเสบจากผลแก้วมังกร. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร. สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- กรวรรณ ชากรีและคณะ. ผลของผลิตภัณฑ์พรีไบโอติกจากแก้วมังกรพันธุ์เนื้อสีขาว ต่อระบบภูมิคุ้มกันของหนูขาวใหญ่. รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์.มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. 2556. 35 หน้า
- สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตร และอาหารแห่งชาติกระทรวงเกษตรและสหกรณ์. (2558). แก้วมังกร DRAGON FRUIT. 17 หน้า.
- การศึกษาทางคลินิกผลการรับประทานแก้วมังกรต่อการทำงานของหลอดเลือด. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร. สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- ภชมน พิชญาจิตติพงษ์. (2556). การผลิตและสมบัติทางชีวภาพของสีผสมอาหารจากเปลือกแก้วมังกรพันธุ์เนื้อผลสีแดง (Hylocercus polyrhizus). วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี. 127 หน้า
- ชุติมา ถนอมสิทธิ์, ธิพรพงษ์ เจริญยิ่ง, จักรพันธ์ นาน่วม, เบตาแลน : สารสกัดจากเปลือกแก้วมังกรเพื่อการพัฒนาสีผิวของสัตว์น้ำ, วารสกัดวิทยาศาสตร์สชสาส์นปีที่ 40. ฉบับที่ 2 กรกฎ -ธันวาคม 2561. หน้า 1-10
- ฤทธิ์ต้านภาวะอ้วน และภาวะดื้อต่ออินซูลินของสาระสำคัญจากเปลือกแก้วมังกร. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร, สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- แก้วมังกร. คำแนะนำการปลูกแก้วมังกร. กรมส่งเสริมการเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์. 30 หน้า
- กฤติยา ไชยนอก.มาขอพร...กับแก้วมังกรกันเถอะ. บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- Esquivel P, Stintzing FC, Carle R: Phenolic compound profiles and their corresponding antioxidant capacity of purple pitaya (Hylocereus sp.) genotypes. Z Naturforsch C 2007, 62:636–644
- Barrangou, Rodolphe, and Jennifer A Doudna, 2016. “Applications of CRISPR Technologies in Research and beyond.” Nature Biotechnology 34(9):933-41.
- Herbacha KM, Stintzinga FC, Elssb S, Prestonb C, Schreierb P, Carlea R: Isotope ratio mass spectrometrical analysis of betanin and isobetanin isolates for authenticity evaluation of purple pitaya-based products. Food Chem 2006, 99:204–209.
- Lander, Eric S. 2016. “The Heroes of CRISPR.” Cell 1641(1-2): 18-28.
- Nurliyana R, Syed Zahir I, Mustapha Suleiman K, Aisyah MR, Kamarul Rahim K: Antioxidant study of pulps and peels of dragon fruits: a comparative study. Int Food Res J 2010, 17:367–375.
- Wu. L., H-W. Hsu. Y-C Chen, C-C Chiu. Y- Lin and J.A. Ho. “Antioxidants and antiproliferative activities of red pitaya.” Food Chem 95. 2 (2006): 319-327.