กรวยป่า ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
กรวยป่า งานวิจัยและสรรพคุณ 31 ข้อ
ชื่อสมุนไพร กรวยป่า
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น สีเสื้อหลวง, ผีเสื้อหลวง (ภาคเหนือ), ผ่าสาม, คอแลน, ขุนเหยิง (ภาคอีสาน), ตวย, ตวยใหญ่, ตานเสี้ยน (ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Casearia grewiaefolia Vent.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Casearia Kerri Craib, Casearia oblonga Craib.
วงศ์ SALICACEAE
ถิ่นกำเนิดกรวยป่า
กรวยป่า จัดเป็นไม้ยืนต้นอีกชนิดหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเขตการกระจายพันธุ์ในพม่า ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย และอินโดนีเซีย สำหรับในประเทศไทยสามารถพบกรวยป่า ได้ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยมีเขตการกระจายตัวในป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น แต่จะพบมากในป่าเบญจพรรณ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง ประมาณ 800-1,200 เมตร
ประโยชน์และสรรพคุณกรวยป่า
- ช่วยบำรุงตับ
- ช่วยบำรุงธาตุ
- แก้ท้องร่วง
- แก้ตับพิการ
- แก้บิดมูกเลือด
- แก้พิษกาฬ
- แก้ผื่นคัน
- ช่วยบำรุงโลหิต
- ช่วยบำรุงกำลัง
- ขับผายลม
- ใช่เป็นยาคุมธาตุ
- แก้อุจจาระร่วง
- ใช่สมานแผล
- แก้ไข้พิษ
- แก้พิษอักเสบจากหัวกาฬ
- แก้กลากเกลื้อน
- ช่วยรักษามะเร็งลาม
- แก้โรคผิวหนัง
- แก้ไข้ตัวร้อน
- ใช้ฟอกโลหิต
- แก้บิดปวดเบ่ง
- แก้เสมหะเป็นพิษ กัดเสมหะ
- แก้ท้องลง
- แก้น้ำลายเหนียว
- แก้เลือดออกตาไรฟัน
- แก้เมาเบื่อ
- แก้ริดสีดวงทวาร
- ขับพยาธิผิวหนัง
- แก้ริดสีดวงจมูก
- แก้บิดมูกเลือด
- รักษาโรคท้องร่วง
กรวยป่า ถูกนำมาใช้ประโยชน์ต่างๆ ดังนี้ เนื้อไม้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องใช้ไม้สอยเครื่องมือเครื่องใช้ในครัวเรือนและทำเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ส่วนเมล็ดนั้นมีการนำมาสกัดเอาน้ำมันไปใช้เป็นยาเบื่อปลา
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ บำรุงกำลัง บำรุงโลหิต บำรุงตับ แก้ตับพิการ แก้บิดมูกเลือด แก้ท้องร่วง โดยใช้เปลือกราก หรือ เปลือกต้นกรวยป่ามาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช่เป็นยาคุมธาตุ ใช้แก้พิษกาฬ แก้ไข้กาฬ แก้ไข้พิษ โดยใช้ราก ใบ หรือ ดอกกรวยป่ามาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้พิษ หรือ พิษไข้ตัวร้อนโดยใช้ดอกกรวยป่า หรือ ใบมาต้มกรวยป่ากับน้ำดื่ม
- ใช้แก้ริดสีดวงจมูกโดยใช้ใบผสมกับยาสูบ มวนสูบ หรือ ใช้น้ำมันจากเมล็ดสูดดมก็ได้
- ใช้เป็นยาแก้น้ำลายเหนียว แก้เสมหะเป็นพิษ กัดเสมหะ แก้เลือดออกตามไรฟัน โดยใช้ผลกรวยป่ามาต้มกับน้ำดื่ม หรือ ใช้กลั้วปากก็ได้
- ใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง โรคผิวหนังผื่นคัน เช่น กลากเกลื้อน หิด โดยใช้ใบกรวยป่ามาหุงเป็นน้ำมันใช้ทาบริเวณที่เป็น หรือ จะใช้น้ำมันจากเมล็ดมาทาก็ได้
ลักษณะทั่วไปของกรวยป่า
กรวยป่า จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ทรงโปร่ง ไม่ผลัดใบ สูงตั้งแต่ 5-24 เมตร ลำต้นเปลาตรง ออกกิ่งตั้งฉากกับลำต้น ผิวลำต้นมีลาย สีขาวปนดำ เปลือกต้นสีเทาปนสีน้ำตาล ผิวเรียบ หรือ แตกเป็นสะเก็ด เล็กๆ มีขนสีน้ำตาลแดงทั่วไป เนื้อไม้สีน้ำตาลอ่อนเกือบขาว
ใบกรวยป่า ออกเป็นใบเดี่ยวแบบเรียงสลับ เป็นรูปขอบขนาน หรือ รูปไข่แกมขอบขนานโคนใบมนเว้า ปลายใบเรียวแหลม ปลายใบสอบ แผ่นใบเรียบ ส่วนขอบใบหยัก เป็นคลื่นมนๆ แผ่นใบกว้าง 3-6 เซนติเมตร ยาว 8-10 เซนติเมตร เนื้อใบหนาแผ่นใบเรียบเกลี้ยงเป็นมัน ส่วนท้องใบมีขนขึ้นปกคลุม เส้นกลางใบเรียบเป็นร่อง ด้านบนมีเส้นแขนงใบข้างละ 8-14 เส้น แผ่นใบมีต่อม และจุดเป็นขีดก้านใบยาวประมาณ 0.6-1.2 เซนติเมตร ส่วนหูใบมีขนาดเล็ก ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ขนาดประมาณ 1.5 มิลลิเมตร
ดอกกรวยป่า เป็นแบบแยกเพศร่วมต้น โดยจะออกเป็นกระจุกเหนือแผลใบที่ร่วง ดอกมีสีขาว หรือ สีเหลืองอมเขียวจำนวนมากและมีใบประดับจำนวนมาก มีขนสั้นนุ่ม มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ รูปงองุ้ม ซึ่งแต่ละกลีบจะไม่ติดกัน ด้านนอกมีขนแน่น ด้านในเกลี้ยง ไม่มีกลีบดอก ส่วนก้านดอกย่อย ยาว 4-6 มิลลิเมตร มีเกสรเพศผู้ 8-10 อัน
ผลกรวยป่า เป็นผลสดรูปรี หรือ รูปไข่กว้าง 1-2 เซนติเมตร ผิวผลเรียบเป็นมัน ผลดิบสีเขียวอมเหลือง สุกสีเหลือถึงสีส้ม และจะแตกเป็น 3 ซีก เมล็ดเป็นเหลี่ยม และมีเยื่อหุ้มจำนวนมาก และมีเยื่อหุ้มสดสีส้ม
การขยายพันธุ์กรวยป่า
กรวยป่าสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการใช้เมล็ดซึ่งในปัจจุบันการขยายพันธุ์ของกรวยป่าเป็นการขยายพันธุ์โดยธรรมชาติมากกว่าการนำมาปลูกโดยมนุษย์ เนื่องจากกรวยป่าเป็นพืชที่มีความสูงมาก (บางที่พบสูงได้ถึง 24 เมตร) จึงไม่นิยมนำมาปลูกบริเวณบ้าน สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดและการปลูกกรวยป่า นั้น สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและการปลูกไม้ยืนต้นทั่วไป ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีจากสารสกัดกรวยป่า ส่วนผลและเปลือกต้น ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญดังนี้ มีการศึกษาสารสกัดหยาบจากเฮกเซนและไดคลอโรมีเทนของเปลือกต้นกรวยป่า พบสารใหม่ในกลุ่ม Clerodane diterpenes 4 สารชื่อ caseargrewiins A-D ส่วนสารสกัดรากกรวยป่าพบสาระสำคัญ คือ Alkyl ester of ferfuric acid, 3-hydroxy-4-methyl-2-1-n-hexadecenyl-butanolide, 2,6-dimethoxy-p-benzoquinone, Beta-sitosterol, procesterol และสารสกัดสำคัญจากผลกรวยป่า คือ Caseargrewiins E-L, esculentin B นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของผลสุกกรวยป่า พบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญ คือ Caseargrewiin M,G อีกด้วย
การศึกษาทางเภสัชวิทยาของกรวยป่า
มีรายงานผลการศึกษาทางเภสัชวิทยาจากส่วนต่างๆ ของกรวยป่าระบุถึงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ ดังนี้
มีการศึกษาสารสกัดใบและเปลือก ของกรวยป่าด้วยเมทานอล พบว่ามีความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว ที่ระดับ 11.3, 4.2, 1.6 ug/mL ตามลำดับ ส่วนฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ มีค่าที่ระดับ 24.9, 22.1, 55.7 ug/mL ตามลำดับ
และมีการศึกษาวิจัยสารกลุ่มเซอโรเดนไดเทอร์พีนอยด์จากผลของกรวยป่า ซึ่งจากการศึกษาวิจัยพบสารพบสารกลุ่มเซอโรเดนไดเทอร์พีนอยด์ใหม่ทั้งหมด 8 ชนิด คือ Caseargrewiins E-L และได้นำสารทั้งหมดมาทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งทั้ง 3 ชนิด คือ เซลล์มะเร็งผิวหนัง มะเร็งเต้านมและมะเร็งปอดพบว่าสารทั้ง 8 ชนิด มีค่า IC50 ในช่วย 0.20-6.00 ug/mL โดยเฉพาะสาร Caseaegrewiins E,G มีค่า IC50 กับเซลล์มะเร็งผิวหนังที่ดีที่สุดมีค่า IC50 0.66, 0.67 ug/mL ตามลำดับ ส่วนสาร Caseaegrewiins E,L แสดงความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งเต้านมที่ดีที่สุดที่ระดับ Ic50 เท่ากับ 0.2,0.21 ug/mL ตามลำดับ
อีกทั้งยังมีการศึกษาวิจัยสารสกัดเมทานอลจากใบต่อการต้านเชื้อแบคทีเรีย ทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ Escherichia coli, Staphylocococcus aureus, Pseudomonas aeruginosa, Candida albicans พบว่า สามารถแสดงการต้านเชื้อแบคทีเรียโดยมีค่า MIC ของส่วนสกัดมากกว่า 5 mg/ml ของแบคทีเรียทุกสายพันธุ์ ที่ใช้ในการทดสอบและยังมีการรายงานองค์ประกอบทางเคมีจากเปลือกต้นกรวยป่า ระบุว่าพบสารกลุ่มไซโรเดนไดเทอร์พีนอยด์ชนิดใหม่ทั้งหมด 4 ชนิด คือ Caseardrewiins A-D และเมื่อนำสารบริสุทธิ์ทั้ง 4 ชนิด ทดสอบการต้านเชื้อมาลาเรีย การต้านเชื้อแบคทีเรียและการแสดงความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง พบว่าสารทั้ง 4 ชนิด มีการต้านเชื้อมาลาเรียชนิด Plasmodium falciparum ที่ระดับเท่ากับ 2.9, 2.4, 3.0, 3.3 mg/mL ตามลำดับ ส่วนการต้านเชื้อแบคทีเรียชนิด microbacterium tuberculosis H3 7 พบว่าสามารถต้านเชื้อดังกล่าวได้ที่ระดับ MIC 12.5, 25.0, 12.5 ug/mL ตามลำดับ สำหรับการแสดงคสามเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งทั้ง 3 ชนิด คือ เซลล์มะเร็งผิวหนัง มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด โดยสารทั้ง 4 ชนิด มีค่าอยู่ในช่วง 0.1-8.7 ug/mL โดยเฉพาะสาร Caseaegrewiins C,D มีค่ากับเซลล์มะเร็งชนิด NCI-H187 ที่ดีที่สุดมีค่า IC50 0.3,0.1 ug/mL ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีจากผลสุกของกรวยป่า พบสารชนิดใหม่ คือ Ccaseargrewiin M และสาร Caseargrewiin G ซึ่งเป็นสารกลุ่มไซเรอเดนไดเทอร์พีนอยด์ จากนั้นได้นำสารทั้ง 2 ชนิดมา มาทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ทั้ง 5 ชนิด คือ Hep-G2, SW620, Chago-K1, Kato-III และ BT474 พบว่าสารทั้งหมดแสดงความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งทั้ง 5 ชนิด โดยมีค่าในช่วง 0.90-6.30 ug/mL
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของกรวยป่า
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
ถึงแม้ว่ากรวยป่า ถูกนำมาใช้เป็นสมุนไพรตั้งแต่อดีตแล้วแต่สำหรับการนำมาใช้นำมาใช้นั้นควรใช้อย่างระมัดระวังเช่นเดียวกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ และควรใช้โดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น อีกทั้งในการใช้ก็ควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรใช้ในขนาดและปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง กรวยป่า
- พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ. กรวยป่า. หนังสือสมุนไพร อุทยานแห่งชาติภาคกลาง. หน้า 55.
- ราชบัณฑิตยสถาน. 2538. อนุกรมวิธานพืช อักษร ก. กรุงเทพมหานคร: เพื่อนพิมพ์.
- ประนอม จัทรโณทัย; นิวัฒ เสนาะเมือง พรรณไม้ มข.; 1 Ed; มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2545.
- ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์. กรวยป่า (Kruai Pa). หนังสือสมุนไพรเล่มที่ 1. หน้า 17.
- ธเนศวร นวลใย, เบญจมาส ไชยลาภ. ปริมาณฟินอลิกทั้งหมดและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของส่วนแยกย่อยจากเปลือกลำต้นกรวยป่า. วารสารมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สาขาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ปีที่ 13. ฉบับที่ 26 กรกฎาคม-ธันวาคม 2564. หน้า 34-47.
- สันติ โถหินัง. องค์ประกอบทางเคมีจากรากกรวยป่า. การประชุมวิชาการแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสนครั้งที่ 10. หน้า 2569-2467.
- ผ่าสาม. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก http://www.phardarden.com/main.php?action=viewpage&pid=153
- Mosaddik, M.A., Banbury, L., Forster, P., Booth, R., Markham, J., Leach, D., Waterman, P.G. (2004). Screening of some Australian Flacourtiaceae species for in vitro antioxidant, cytotoxic and antimicrobial activity. Phytomedicine, 11, 461-466. DOI: 10.1016/j.phymed.2003.
- Kanokmedhakul, S., K. Kanokmedhakul, T. Kanarsa and M. Buayairaksa. 2005. New Bioactive Clerodane Diterpenoids from the Bark of Casearia grewiifolia. Journal of Natural Products 68(2): 183-188.
- Nuanyai, T., Chailap, B., Buakeaw, A., Puthong, S. (2017). Cytotoxicity of clerodane diterpenoids from fresh ripe fruits of Casearia grewiifolia. Songklanakarin Journal of Science and Technology, 39(4), 517-521.
- Kanokmedhakul,S; Kanokmedhakul,K. and Buayairaksa, M., cytotoxic clerodane diterpeniods from fruits of casearia grewiifolia J. Nat. Prod. 2007, 70, 1122-1126.
- Forest Herbarium-BKF. (2013). A Guide of Plant Selection for Flood Protection in the Northeast. Bangkok: Department of National parks Wildlife and Plant Conservation, p. 64.