ผักโขมหัด ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
ผักโขมหัด งานวิจัยและสรรพคุณ 16 ข้อ
ชื่อสมุนไพร ผักโขมหัด
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ผักโขมไทย,ผักโขม,ผักหมหัด(ภาคกลาง),ผักหมเกลี้ยง(ภาคเหนือ), ผักหม(ภาคใต้),กะเหม่อลอมี, แมลอคู่(กะเหรี่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์Amaranthus viridis Linn.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์Amaranthus gracilas Desf.
ชื่อสามัญSlender amaranth
วงศ์ AMARANTHACEAE
ถิ่นกำเนิด ผักโขมหัดจัดเป็นพืชในวงศ์บานไม่รู้โรย (AMARANTHACEAE) และเป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งในผักโขมที่มีมากกว่า 70 สายพันธุ์ โดยที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนของทวีปอเมริกา บริเวณตั้งแต่เม็กซิโกลงไปจนถึงอเมริกาใต้ ต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ในธรรมชาติ รวมถึงมีการนำไปปลูกยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศบริเวณที่รกร้างว่างเปล่า ตามสองข้างทาง หรือตามพื้นที่เกษตรกรรมต่างๆที่มีความชุ่มชื้นโดยบางครั้งหรือบางพื้นที่อาจจัดให้เป็นวัชพืชชนิดหนึ่งเลยทีเดียว
ประโยชน์/สรรพคุณ ผักโขมหัดสามารถนำมาใช้ประกอบอาหารรับประทานได้เช่นเดียวกันกับผักโขมสวน ผักโขมแดง ผักโขมจีน โดยสามารถนำยอดอ่อน ต้นอ่อน นำมาต้ม ลวกหรือนึ่งให้สุกนำมารับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก หรือนำไปผัดหรือนำไปปรุงกับเนื้อสัตว์เป็นแกงต่างๆ ก็ได้ สำหรับสรรพคุณทางยาของผักโขมหัดนั้น ตามตำรายาไทยและตำรายาพื้นบ้านได้ระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ว่า รากใช้ปรุงเป็นยาถอนพิษร้อนภายใน ถอนพิษไข้หัว แก้ไข้ต่างๆ แก้ร้อนในขับเสมหะ ขับน้ำนม ขับปัสสาวะ แก้ปวดท้องเฉียบพลัน แก้ระบบปัสสาวะอักเสบ ในสตรี แก้ประจำเดือนหยุด แก้คัน ใบใช้แก้ไข้ ขับเสมหะ ขับน้ำนม ใช้เป็นยาพอกแผล แก้ผดผื่นคัน แก้พิษแมงป่อง
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้
- ใช้แก้ไข้ ไข้หวัดต่างๆ ช่วยถอนพิษไข้หัว ถอนพิษร้อนภายในร่างกาย แก้ร้อนใน ขับเสมหะ โดยนำรากผักโขมหัดมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้ขับน้ำนมของสตรี ที่คลอดบุตร โดยใช้รากนำมาทุบต้มกับน้ำ เคี้ยวด้วยไฟอ่อนๆ ประมาณ 30 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำต้ม
- ใช้แก้ปวดท้องเฉียบพลัน แก้อักเสบของระบบปัสสาวะในสตรี แก้ประจำเดือนสตรีหยุดกะทันหัน โดยใช้นำต้มจนเดือน 1 ลิตรเทลงบนรากผักโขมหัด 20 กรัม ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วกรองเอารากออกนำน้ำที่ได้มา ใช้ดื่มน้ำวันละ 4-5 ถ้วย
- ใช้แก้พิษจากแมงป่องต่อย โดยนำใบสามารถตำพอกบริเวณที่เป็น
- ใช้แก้คันตามผิวหนัง โดยนำใบสดมาตำพอกหรือทาบริเวณที่เป็น หรือจะใช้รากมาต้มกับน้ำอาบก็ได้
- ใช้ขับปัสสาวะโดยนำรากผักโขมหัดและผักโขมหินมาต้มรวมกันแล้ว กรองเอาน้ำดื่ม
ลักษณะทั่วไป ผักโขมหัดจัดเป็นไม้ล้มลุกพุ่มเตี้ยขนาดเล็กฤดูเดียว ลำต้นตั้งตรง มีความสูง 30-100 เซนติเมตร มักแตกกิ่งก้านสาขารอบต้น ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำเป็นเหลี่ยมนม หรืออาจกลมมน มีขนอ่อนๆ ขึ้นปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับตรงข้ามกัน บริเวณลำต้น ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่ รูปไข่กลับ หรือรูปขอบขนานแกมใบหอก มีความกว้าง 2-8 เซนติเมตร ยาว 3-10 เซนติเมตร โคนใบแหลมกว้าง ปลายใบมนหรือเว้าเล็กน้อย ขอบใบเป็นจักโค้งมนหรือกึ่งฟันเลื่อย ผิวใบเป็นคลื่นเล็กน้อยท้องใบเกลี้ยงใบมีกลิ่นเหม็นเขียว ดอกออกเป็นช่อเชิงลดแบบช่อกระจะ โดยจะออกซอกใบและปลายยอด ซึ่งช่อดอกมีสีเขียวและจะมีดอกย่อยทั้งดอกเพศผู้และดอกเพศเมีย อยู่ในช่อเดียวกัน 10-30 ดอก ดอกย่อยมีขนอยู่หนาแน่น และมีใบประดับลักษณะคล้ายรูปหอกแคบ ส่วนกลีบดอกมีสีม่วงเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 2 ปาก โดยปากบนจะแยกเป็นรูปโล่ เป็น 2 พู ส่วนปากล่างจะแยกเป็น 3 พู ผลออกเป็นฝักมีลักษระทรงรีเล็กๆ เมื่อยังอ่อนฝักจะมีสีเขียว แต่เมื่อแก่มีสีน้ำตาล และจะแตกออกด้านในมีเมล็ดอยู่จำนวนมาก ส่วนเมล็ด มีลักษณะทรงกลมเล็กๆ มีสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ
การขยายพันธุ์ ผักโขมหัดสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด และผักโขมหัดยังเป็นพืชที่สามารถ เจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด ชอบดินร่วมซุย โดยเฉพาะดินร่วนปนทรายจะสามารถเจริญเติบโตได้ดี ซึ่งวิธีการปลูกสามารถปลูกแบบหว่านเมล็ดโดยตรง หรือแบบโรยเมล็ดเป็นแถว ลงในแปลงปลูกที่เตรียมไว้ก็ได้ นอกจากนี้ในธรรมชาติ ผักโขมหัดยังสามารถเจริญเติบโตได้เอง โดยสามารถเจริญเติบโตได้รวดเร็วในที่ที่มีความชื้นจนบางครั้ง ถือเป็นวัชพืชที่เกษตรกรต้องกำจัดทิ้งปีละหลายครั้ง
องค์ประกอบทางเคมี มีรายงานการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของส่วนต่างๆ ของผักโขมหัดระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด อาทิเช่น สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และฟีนอลิก (Phenolics) เช่น Quercetin, Kaempferol, rutin, chlorogenic acid, caffeic acid และ gallic acid สารกลุ่มสเตอรอล(Sterols) และ ไตรเทอปีนอยด์ (Triterpenoids) เช่น β-sitosterolและ spinasterol สารกลุ่มเทอร์พีน(Terpenes)และไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbons) Phytol และsqualene กลุ่มกรดไขมัน (Lipids) ได้แก่ Trilinolein นอกจากนี้ยังพบสารอื่นๆ อีกเช่น β-carotene , lutein , zeaxanthin , tocotrienol และ oxalate อีกด้วย
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของผักโขมหัดระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้
มีรายงานการศึกษาวิจัยในหลอดทดลอง (in vitro) โดยได้ทำการศึกษาสารสกัดเมทานอล/เอทานอลและสารสกัดน้ำจากใบ ของผักโขมหัด ในการทดสอบกิจกรรม antioxidant ต่างๆ เช่น DPPH , ABTS , NO radical scavenging, metal chelating , antityrosinase และ antigenotoxicity (comet assay) พบว่าสารฟินอลิก เช่น chlorogenic acid, kaempferol ที่พบในสารสกัดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมีรายงานการศึกษาวิจัยทดลองในหนู/หนูถีบจักร (rats) พบว่าการให้สารสกัดบางชนิดสามารถลดดัชนีการอักเสบและปกป้องกล้ามเนื้อหัวใจในแบบ isoproterenol-induced myocardial infarction model. โดยมีรายงานการทดลองในหนู (rats) ซึ่งได้ใช้โมเดล induced myocardial infarction (isoproterenol) พบว่าสารสกัดจากทุกส่วนของผักโขมหัดในขนาด 100, 200, 300 mg/kg-BW สามารถลดการเสียหายหัวใจ โดยลดค่า marker enzyme, troponin, lipid peroxidation และยังเพิ่ม antioxidant enzymes ได้อีกด้วย และยังมีรายงานการทดลองในหนูทดลอง (STZ-induced diabetic rats) โดยใช้สารสกัดเมทานอลจากใบผักโขมหัดในขนาด 200 mg/kg และ400 mg/kg พบว่าสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือด, ลดคอเลสเตอรอลรวม, ลดไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มน้ำหนักตัวในหนูทดลองเมื่อเทียบกับควบคุม
นอกจากนี้ยังมีรายงานการศึกษาวิจัย in vitro + in vivo ในหนู Wistar albino โดยได้ทำการทดสอบสารสกัดเอทานอลจากใบ พบว่ามีค่า LD₅₀ = 353.6 mg/kg และในหนูที่ให้ high-fat diet พบว่าสารสกัดสามารถลดคอเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอไรด์, LDL-C และเพิ่ม HDL-C ได้อีกด้วย
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง ผู้ที่มีประวัติเป็น โรคไต หรือเป็นนิ่วในไต (oxalate stones) ควรระมัดระวังในการรับประทานผักโขมหัดบ่อย ๆ หรือรับประทานในปริมาณมาก เพราะผักโขมหัดมีปริมาณออกซาเลตสูง ซึ่งสามารถจับกับแคลเซียมตกตะกอนเป็นก้อนนิ่วที่ไต ซึ่งอาจทำให้เกิด acute oxalate nephropathy ได้ นอกจากนี้ผักโขมหัดยังเป็นพืชที่มีโพแทสเซียม (potassium) สูง ซึ่งหากรับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะโพแทสเซียมเกิน (hyperkalemia) ส่งผลให้ไตต้องทำงานหนักในการขับแร่ธาตุอีกด้วย
อ้างอิงผักโขมหัด
- เต็ม สมิตินันทน์.2544,ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย.ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้,กรุงเทพฯ
- แพทย์หญิงเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ,ผักพื้นบ้านภาคกลาง,บริษัท สามเจริญพาณิชย์ (กรุงเทพ) จำกัด,พิมพ์ครั้งที่ 2 สิงหาคม 2547
- เดชา ศิริภัทร.ผักขม:ความขมที่เป็นทั้งผักและยา.คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า.นิตยสารหมอชาวบ้านเล่มที่198.ตุลาคม2538
- นันทวัน บุญยะประภัศร.2541.สมุนไพร.ไม้พื้นบ้าน(3)บริษัทประชาชน จำกัด,กรุงเทพฯ.
- สุธาทิพ ภมรประวัติ.ผักขม.คอลัมน์เรื่องเด่นจากปก.นิตยสารหมอชาวบ้านเล่มที่333.มกราคม2550.
- อมรทิพย์ วงศ์สารสิน และ อัญชลี จาละ. 2554. สารอัลลีโลเคมิคอลจากผักโขมที่มีผลต่อการงอกของเมล็ดพริก. การประชุมวิชาการทางพฤกษศาสตร์แห่งประเทศไทยครั้งที่ 5 30 มีนาคม - 1 เมษายน 2554 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
- Ragasa, C. Y., Austria, J. P. M., Subosa, A., Torres, O., & Shen, C.-C. (2015). Chemical constituents of Amaranthus viridis L. Chemistry of Natural Compounds, 51(1), 146–147.
- Sarker, U., et al. (2024). Nutritional and bioactive properties and antioxidant potential of Amaranthus tricolor, A. lividus, A. viridis, and A. spinosus leafy vegetables. Food Chemistry / Food Science (2024).
- Sunday, E. A., Gift, W. P., & Boobondah, W. J. (2021). Phytochemistry and antioxidant activity of Amaranthus viridis L. (Green leaf). World Journal of Advanced Research and Reviews, 12(02), 306–314.
- Ragasa, C. Y., et al. (2015). Chemical Constituents of Amaranthus viridis [ResearchGate / Academia copy same as item #1]. Chem. Nat. Compd. 51, 146–147.
- Emmanuel, A. M., Kokou, I., & [ผู้แต่งอื่น ๆ]. (2018). Acute and subacute toxicity of the aqueous extract of Amaranthus viridis (Amaranthaceae) leaves in rats. Journal of Phytopharmacology, 7(4), 366–372.
- Kumari, S., Ramakrishnan, E., & Devi, R. (2018). Phytochemical screening, antioxidant, antityrosinase and antigenotoxic potential of Amaranthus viridis extract. Indian Journal of Pharmacology, 50(3), 130–138.
- Somayeh Afsah Vakili, Ambika Talageri, Ajay George, Benson Mathai. (2018). Acute toxicity of petroleum ether extracts of Amaranthus viridis roots. Pharma Health Sciences, 6(3).
