พลู ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
พลู งานวิจัยและสรรพคุณ 20ข้อ
ชื่อสมุนไพร พลู
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น พลูเหลือง, พลูทอง, พลูจีน (ทั่วไป), เปล้าอ้วน, ซีเก๊ะ , ซีเก๊าะ (ภาคใต้),กื่อเจี่ย (จีนแต้จิ๋ว), จวีเจียง (จีนกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Piper betle Linn.
ชื่อสามัญ Bettle Piper , Bettle leaf vine
วงศ์ PIPERACEAE
ถิ่นกำเนิดพลู
พลูมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนชื้นในแถบเอเชียใต้ เช่น ประเทศอินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ ฯลฯ (แต่อีกตำราหนึ่งระบุว่าพลูมีต้นกำเนิดมาจากประเทศมาเลเซีย) โดยพบว่าพลูมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ทั่วโลกซึ่งส่วนใหญ่พบได้มากในประเทศอินเดียกว่า 40 สายพันธุ์ ส่วนในประเทศไทยพลูพบได้ทั่วไปในทั่วทุกภาคและมีแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญในประเทศคือ ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครนายก นครปฐม กรุงเทพมหานคร มหาสารคาม ขอนแก่น และนครราชสีมา ซึ่งมักจะเป็นการปลูกเพื่อการบริโภคในท้องถิ่น และปลูกเพื่อการค้า และส่งออกต่างประเทศในบางส่วน
ประโยชน์และสรรพคุณพลู
- ช่วยให้เหงือกและฟันแข็งแรง
- ช่วยดับกลิ่นปาก
- แก้ปวดท้อง (ที่มีอาการเย็นบริเวณท้อง)
- ช่วยขับเสมหะ
- เป็นยากระตุ้นน้ำลาย
- ขับเหงื่อ
- แก้ปวดท้องเพราะพยาธิ
- ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อ
- รักษาอาการช้ำบวม
- รักษาอาการไอเจ็บคอ
- รักษาอาการผื่นคันอันเนื่องมาจากเกิดลมพิษ
- รักษาโรคผิวหนัง
- รักษาโรคกลาเกลื้อน แผลอักเสบฝีหนองและสิว
- ใช้เป็นยาระบาย
- แก้อาการท้องผูก
- ช่วยลดไข้
- แก้ปวดศีรษะ
- ขับลมในกระเพาะอาหาร
- ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น
- ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
ใช้ใบสด 3-5 กรัม ต้มน้ำกินสำหรับแก้อาการปวดท้อง แก้ลมพิษ ให้ใช้ใบสดตำผสมเหล้าทาบริเวณที่เป็น ใช้เคี้ยวแล้วคายทิ้งวันละ 2-3 ครั้ง ช่วยดับกลิ่นปาก แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อและบำรุงกระเพาหาร ใช้ใบสดโขลกให้ละเอียดคั้นเอาน้ำผสมกับน้ำร้อนหนึ่งแก้วใช้ดื่ม ลดปวดบวม ใช้ใบพลู ใบใหญ่ ๆ นำไปอังไฟให้ร้อนใช้ไปประคบบริเวณที่ปวดบวมช้ำ รักษากลากและฮ่องกงฟุต เอาใบสดโขลกให้ละเอียดดองกับเหล้าขาวทิ้งไว้ 15 วัน แล้วกรองเอาแต่น้ำใช้ทาบริเวณที่เป็น
ลักษณะทั่วไปพลู
พลูเป็นพืชวงศ์เดียวกับพริกไทย (PIPERACEAE) จัดเป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง ลำต้นเกลี้ยงเป็นปล้อง และมีข้อ ขนาดลำต้น 2.5-5 ซม. ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำ และมีร่องเล็กๆสีน้ำตาลอมแดงตามแนวยาวของลำต้น สันร่องมีสีเขียว โดยลำต้นส่วนปลายจะมีสีเขียว ส่วนลำต้นส่วนต้นจะมีสีเขียวอมเทา โดยมีรากยึดเกาะที่ออกตามขอของลำต้นบางครั้งเรียกว่า รากตุ๊กแก แตกออกตามข้อของลำต้นเพื่อยึดเกาะวัสดุสำหรับช่วยพยุงลำต้นเลื้อยขึ้นที่สูงได้ และทำให้ลำต้นไม่หลุดร่วงลงสู่พื้นได้ง่าย ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว ออกสลับกัน รูปหัวใจหรือกลมแกมรูปไข่กว้าง 8–12 ซม. ยาว 12 – 16 ซม. ปลายใบแหลมหรือเรียวแหลม เนื้อใบค่อนข้างเป็นมันสด ใบอ่อนมีสีเหลืองอ่อน และค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อน และสีเขียวเข้ม เมื่อแก่เต็มที่จะมีสีเหลือง มีกลิ่นหอมเฉพาะ รสเผ็ดร้อน เส้นใบนูนเด่นทางด้านล่าง ก้านใบยาว ดอกพลู มีสีขาว ออกรวมกันเป็นช่อ มีช่อดอกแบ่งเพศกันอยู่คนละต้น ประกอบด้วยช่อดอกตัวเมีย และดอกตัวผู้ มีใบประดับดอกขนาดเล็กรูปวงกลม ช่อดอกตัวผู้ยาว 2-12 ซม. ก้านช่อดอกยาว 1.5-3 ซม. ประกอบด้วยเกสรตัวผู้ 2 อัน มีขนาดสั้นมาก ส่วนช่อดอกตัวเมียมีความยาวเท่ากับช่อดอกตัวผู้ แต่มีก้านช่อดอกยาวกว่า ดอกมักบานไม่พร้อมกัน จึงทำให้ไม่ค่อยพบเห็นผลของพลู เพราะมีโอกาสผสมเกสรน้อย ผลของพลูมีลักษณะอัดแน่นที่เกิดจากดอกในช่อดอก ผลของพลูมีลักษณะค่อนข้างนุ่ม ด้านในประกอบด้วย 1 เมล็ด โดยเมล็ดมีลักษณะกลม ขนาดยาวประมาณ 2.25-2.6 มม. กว้างประมาณ 2 มม.
การขยายพันธุ์พลู
พลูสามารถปลูก และขยายพันธุ์ใหม่ด้วยการปักชำกิ่ง เช่นเดียวกับพืชตระกูลพริกไทยอื่นๆ โดยใช้กิ่งหรือลำต้นที่มีข้อประมาณ 3-5 ข้อ ปักชำในแปลงปักชำหรือถุงปักชำ เมื่อกิ่งปักชำติดแล้วค่อยย้ายลงปลูกในแปลงปลูก แล้วจึงทำค้างให้พลูเลื้อยพันขึ้น ซึ่งพลูจะสามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพของดินร่วนที่มีอินทรียวัตถุมาก มีความเป็นกรดเล็กน้อย (pH 6- 6.7) พื้นที่การระบายได้ดีมีค่าความชื้นสัมพันธ์ประมาณ 70-80%
องค์ประกอบทางเคมี
ใบพลู มีน้ำมันหอมระเหยซึ่งประกอบด้วยสาระสำคัญต่างๆ ได้แก่ chavicol, chavibetol, eugenol , estragole methlyeugnol และ hydroxycatechol สารกลุ่มโมโนเทอร์ปีนส์ เช่น 1,8-cineol, carvacrol, camphene, limonene สารกลุ่มเซสควีเทอร์ปีนส์ เช่น cadinene, caryophyllene นอกจากนี้ยังมีสารอื่นๆ อีก เช่น β-carotene, β-sitosterol, stigmasterol และในส่วนของต่างๆของพลูสดยังพบสาร Fluoride , tectrochrysin, adunctin A, yangonin, fargesin, pluviatilol, sesamin
รูปภาพองค์ประกอบทางเคมีของพลู
ที่มา : wikipedia
นอกจากนี้เมื่อนำใบพลูสดมาวิเคราะห์คุณค่าทางอาหารพบว่า มีองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการในใบพลูสด (100 กรัม)
Water (น้ำ) 85 – 90%
Protein (โปรตีน) 3 – 3.5%
Fat (ไขมัน) 2.3 – 3.3%
Minerals (เกลือแร่) 0.4 – 1.0%
Fiber (ใยอาหาร) 2.3%
Chlorophyll (คลอโรฟีล) 0.01 – 0.25%
Carbohydrate (คารโปรไฮเดรต) 0.5 – 6.10%
Nicotinic acid (วิตามืน บี 3) 0.63 – 0.89 มก./100 ก.
Vitamin C (วิตามิน ซี) 0.005 – 1.01%
Vitamin A (วิตามิน เอ) 1.9 – 2.9 มก./100 ก.
Thiamine (วิตามิน บี1) 10 – 70 มคก./100 ก.
Riboflavin (วิตามิน บี2) 1.9 – 30 มคก./100 ก.
Tannin (แทนนิน) 0.1 – 1.3%
Nitrogen (ไนโตรเจน) 2.0 – 7.0%
Phosphorus (ฟอสฟอรัส) 0.05 – 0.6%
Potassium (โพแคสเซียม) 1.1 – 4.6%
Calcium (แคลเซียม) 0.2 – 0.5%
Iron (เหล็ก) 0.005 – 0.007%
Essential oil (น้ำมันหอมระเหย) 3.4 มดก./100 ก.
Energy (พลังงาน) 44 กิโลแคลอรี่/100 ก.
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial activity) จากการศึกษาฤทธิ์การยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียของสารสกัดจากใบพลูที่สกัดด้วยน้ำ พบว่ามีฤทธิ์ต้านเชื้อ Streptococcus mutans โดยพบว่าที่ความเข้มข้น 1 มก./มล. ของสารสกัดจากใบพลูมีผลทำให้เซลล์แตก นอกจากเชื้อดังกล่าวข้างต้นแล้ว มีการศึกษาเกี่ยวกับพลูว่าเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์กว้างขวางในการยับยั้งการเจริญของเชื้อได้หลายชนิด เช่น Ralstonia sp., Xanthomonas sp. และ Erwinia sp., เป็นต้น โดยองค์ประกอบหลักที่พบในสารสกัดจากใบพลูที่สกัดด้วยน้ำคือ hydroxychavicol, fatty acid และ hydroxybenzenacetic acid และยังพบว่าสารสกัดใบพลูที่สกัดด้วยเมทานอลมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ S, aureus, B. cereus, K. pneumonia และ E. coli
ฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา (Antifungal activity) มีการศึกษาพบว่าสารสกัดด้วยเอทานอลจากใบพลูมีความสามารถในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้หลายชนิดเช่น Colletotrichum capsici, Fusarium pallidoroseum, Botryodiplodia theobromae, Altemaria altemate, Penicilium citrinum, Phomopsis caricae-papayae และ Aspergillus niger ซึ่งทดสอบโดยใช้วิธี disc diffusion method พบว่าสารสกัดใบพลูจากเอทานอลมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราดังกล่าวข้างต้นได้ดีกว่า prochloraz 2.5 มก./มล. หรือ clorimazole 10 มก.มล นอกจากนั้นมีการศึกษาเพื่อพัฒนาครีมพลูเพื่อใช้ในการรักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา ซึ่งสามารถติดต่อสู่กันระหว่างคนและสัตว์ โดยเตรียมครีมพลูที่ประกอบด้วย สารสกัดพลูจากเอทานอล 10 % เปรียบเทียบกับยามาตรฐาน ketoconazole cream 20% ด้วยวิธี disc diffusion method ผลการศึกษาพบว่าให้ค่าการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา microsporum canis, microporum gypreum และ Trichophyton mentagrophyte ใกล้เคียงกับ ketosporum canis, microsporum gypreum และ trichophyton mentagrophyte ใกล้เคียงกับ ketoconazole cream เมื่อทำการอ่านผลที่ 96 ชั่วโมง แต่ประสิทธิภาพของครีมพลูเริ่มลดลงภายหลังจาก 96 ชั่วโมง และหมดไปในวันที่ 7 ของการทดสอบ
ฤทธิ์การต้านอักเสบ (Anti-inflammatory activity) การศึกษาเกี่ยวกับฤทธิ์ต้านการอักเสบจากสารสกัดที่ได้จากพลู พบว่าสารสกัดจากใบพลูอบแห้งทีสกัดด้วยเอทานอล 95% มีสาระสำคัญที่มีฤทธิ์ต้านการอับเสบคือ allylpyrocatechol โดยมีการศึกษาในหนู Sprague Dawley rat เพศผู้มีขนาดน้ำหนักตัว 100 – 120 ก. ผลจาการทดลองพบว่าการฉีด allypyrocatechol ขนาด 10 มก./กก. เข้าใต้ผิวหนังบริเวณ sub-plantar มีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบที่เกิดขึ้นในหนู โดย allylpyrocaate-chol จะลดการแสดงออกของ mRNA ของ inducible nitric oxide synthase (iNOS), cyclooxygenase-2 (COX-2), interleukin-12p40 (IL-12p40) และ tumor necrosing factoralpha (TNF-α) ซึ่ง allylpyocatachol จะป้องกันการทำลาย kappa B inhibitor (IKB) มีผลยับยั้งการทำงานของ transcription ขึ้น ส่งผลให้มีการกระตุ้นการทำงานของ macrophage น้อยลง ทำให้เกิดการอักเสบลดลง
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Free radlcal scavenging activity) การศึกษาผลของสารสกัดใบพลูด้วยเอทานอลต่อการต้านอนุมูลอิสระในหนู Swiss albino mice โดยศึกษาถึงปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการเกิดอนุมูลอิสระ ผลจาการศึกษาพบว่าสารสกัดจากใบพลูมีผลในการยับยั้งการเกิดกระบวนการ lipid peroxidation ที่เกิดจากการกระตุ้นด้วยรังสีแกมมา และนอกจากนี้พบว่าเมื่อทำการป้อนสารสกัดพลูในขนาด 1,5 และ 10 มก./กก. ให้หนูกินทุกวันติดต่อกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นจึงนำตับของหนูมาวิเคราะห์พบว่าไม่มีการเปลี่ยนระดับของ lipid peroxidation และยังพบว่าสารสกัดจากใบพลูมีผลทำให้ปริมาณของ glutathione เพิ่มขึ้น ซึ่ง glutathione มีส่วนสำคัญในกระบวนการ detoxification โดยจะไปทำการควบคุมและรักษาระดับของปฏิกิริยา redox และ thiol homeostasis ในตับ ซึ่งมีผลในการควบคุมการเกิดปฏิกิริยา cellular oxidative และยังพบว่าสารสกัดใบพลูมีผลในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเอนไซน์ superoxide dismutase (SOD) แต่ในทางตรงกันข้ามพบว่า การทำงานของเอนไซน์ catalase ลดลง นอกจากการศึกษาปัจจัยดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับสภาวะเครียดของสัตว์ทดลองที่เกิดหลังจากการให้สารสกัดจากใบพลู โดยศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงของระดับ glyoxalase system (Gly l และ Gly ll) ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกถึงสภาวะเครียดของหนู ซึ่งจากการทดลองพบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับ Gly l และ Gly ll) หลังจากการให้สารสกัดใบพลูกับหนู
ฤทธิ์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน (lmmunomodulating Activity) การศึกษาผลของสารสกัดพลูด้วยเอทานอลต่อการสร้าง histamine และ granulocyte macrophage colony stimulating factor (GM-CSF) จาก bone marrow mast cells ของหนูแรท (murine rat) และการหลั่งของ eotaxin และ IL-8 โดย human lung epithelial cell line (BEAS-2B) ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสารสกัดพลูด้วยเอทานอล มีผลลดการหลั่ง histamine และ GM-CSF ซึ่งเป็นผลมาจากการกระตุ้นของ lgE ที่เกิดขึ้นในปฏิกิริยา hypersensitive อย่างมีนัยสำคัญ และสารสกัดพลูจากเอทานอลยังมีผลในการยับยั้งการหลั่ง eotaxin และ IL-8 ซึ่งมาจากจากการกระตุ้นของ TNF-αและ IL-4 ในปฏิกิริยา allergic reaction นอกจากนี้ยังพบว่าน้ำมันหอมระเหยจากพลูมีผลต่อการกระบวนการ phagocytosis ของ macrocytes ในหนูถีบจักร และน้ำมันหอมระเหยจากพลูยังมีผลต่อการเพิ่มจำนวนของ lymphocytes จากม้าม ไขกระดูก และต่อม thymus ในหนูถีบจักรด้วย
การศึกษาทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษ (Toxicity test) ขนาดของสารสกัดพลูที่ป้อนให้หนูถีบจักรกินแล้วตายครึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่าเท่ากับ 3.22 ก./กก. หนูที่ได้รับสารสกัดต่ำกว่า 2 ก./กก. มีอาการซึมและหลับ ไม่มีผลต่อการหายใจและกลับเป็นปกติได้ ถ้าได้รับสารสกัดมากกว่า 2.5 ก./กก. พบว่าหนูมีอาการซึมและหลับมากขึ้น มีอาการอ่อนเพลีย หลังจากนั้นมีอาการซึมและตายเนื่องจากหายใจไม่ออก และนอกจากนี้ยังพบว่า chavicol และ chavibetol เป็นสารในใบพลู ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของ phenol เป็นพิษกับเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocyte) ทำให้เกิด hypopigmentation ในส่วนของ basal cell layeres ของผิวหนังชั้นกำพร้า
ทดสอบความเป็นพิษเมื่อฉายแสง (Phototoxicity) ของขี้ผึ้งพลู 4% ซึ่งทำจากสารสกัดใบพลูด้วยอีเทอร์ใน modified polyethylene glycol ointment ต่อผิวหนังหนูตะเภา ไม่พบผื่นแดง หรืออาการระคายเคืองใดๆ ทั้งก่อนฉายและหลังฉายแสงอุลตราไวโอเล็ต ขณะที่ยาเตรียมขึ้ผึ้งใบพลูที่ใช้ base เป็น hydrophilic petrolatum จะเป็นพิษต่อผิวหนังหนูตะเภา โดยมีสีแดงเด่นชัด
ก่อกลายพันธุ์ สารสกัดอะซีโตนและสารสกัดน้ำจากใบ ความเข้มข้น 200 ไมโครกรัม/เพลท ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ต่อเชื้อ Salmonella typhimurium TA98, TA100 ,TA1535, TA1537 และ TA1538 สารสกัดคลอโรฟอร์ม สารสกัด 50% เอทานอล สารสกัด 95% เอทานอล และสารสกัดน้ำจากใบ ความเข้มข้น 1.41 37.5 50 และ 153.8 มก./ เพลท ตามลำดับ ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ ต่อเชื้อ S.typhimurium TA98, TA100
พิษต่อเซลล์ สารสกัดน้ำจากช่อดอก ความเข้มข้น 800 ไมโครกรัม/มล. เป็นพิษอย่างอ่อนต่อเซลล์ oralmucosal fibroblasts และสารสกัดเดียวกันนี้ เป็นพิษอย่างอ่อนต่อเซลล์ gingival keratinocytes สารสกัด 95% เอทานอลจากใบ ความเข้มข้น 20 ไมโครกรัม/มล. เป็นพิษอย่างอ่อนต่อเซลล์ 9KB
พิษต่อยีน สารสกัดน้ำจากช่อดอก เป็นพิษต่อยีนเมื่อทดลองในเซลล์ oral mucosal fibroblasts และเซลล์ gingival keratinocytes สาร hydroxychavicol จากช่อดอกเป็นพิษต่อยีน ทำให้โครโมโซมของเซลล์ Chinese hamster ovary (CHO-K1) แบ่งตัวผิดปรกติ
เมื่อให้สารสกัดน้ำจากใบพลูร่วมกับสารสกัดน้ำจากหมากและยาสูบ ขนาด 9.4 ก./กก. แก่หนูถีบจักรเป็นเวลา 10 เดือน พบว่าทำให้โครโมโซมของเซลล์ไขกระดูกของหนูเปลี่ยนแปลงและมีการแบ่งตัวผิดปกติ
ฤทธิ์ต่อระบบสืบพันธุ์ สารสกัด 95% เอทานอลจากก้านใบขนาด 30 มก./กก. มีผลคุมกำเนิดในหนูขาวทั้ง 2 เพศ ให้หนูถีบจักรเพศผู้กินสารสกัด 95% เอทานอลจากใบและลำต้น ขนาด 50 มก./กก. ใน 30 วันแรก และขนาด 1000 มก./กก. ใน 30 วันหลัง พบว่าสามารถคุมกำเนิดได้โดยลดการปฏิสนธิ (ferility) ได้ถึง 0% ขณะที่สารสกัด 95% เอทานอล สารสกัดน้ำ และสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์จากใบและราก (ไม่ระบุขนาดที่ใช้) ไม่มีผลต่อการคุมกำเนิดในหนูถีบจักรและไม่มีผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อนที่มดลูกในหนูขาวที่ได้รับสารสกัดนี้ ใบและรากแห้งไม่ระบุสารสกัดและขนาดที่ใช้ ก็ไม่มีผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อนเช่นกัน เมื่อให้โดยการฉีดเข้าทางช่องท้องของหนูขาว
ฤทธิ์ก่อเกิดมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในชายที่เคี้ยวหมากในประเทศไต้หวัด โดยศึกษาในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งหลอดอาหารระยะเริ่มต้น (esophageal squamous-cell-carcinoma) จำนวน 126 ราย โดย 65 ราย เป็นผู้ป่วยที่มีประวัติว่าเคี้ยวหมาก และ 61 ราย ในนั้นเป็นผู้ป่วยที่เคี้ยวหมากกับดอกพลู (Piper betle infloesence) และ 4 ราย เคี้ยวหมากกับดอกและใบพลู (Piper betle inflorecence and betel leaf) พบว่าผู้ชายที่เคี้ยวหมาก มีโอกาสที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้สูงกว่าคนที่ไม่ได้เคี้ยวหาก 4 เท่า และจากการศึกษาเพิ่มเติบพบว่า คนที่เคี้ยวหมากกับดอกพลูมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้มากกว่าคนที่เคี้ยวหมากกับใบและดอกพลู หรือเคี้ยวหมากกับใบและดอกพลู หรือเคี้ยวหมากกับใบพลูอย่างเดียวถึง 24 เท่า (ไม่พบผลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญในคนที่เคี้ยวหมากกับใบและดอกพลู หรือเคี้ยวหมากกับใบพลูอย่างเดียว) ซึ่งผลจากการทดลองในครั้งนี้คาดว่าในดอกของพลูมีสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง (carcinogens) และในใบพลูมีสารต้านมะเร็ง (anticarcinogenic)
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
- การเก็บใบพลู มาใช้ควรเก็บตอนสาย เพราะเป็นช่วงที่ใบมีการสังเคราะห์แสงสมบูรณ์ โดยเลือกเก็บเฉพาะใบที่มีสีเขียวเข้ม ไม่ควรเก็บใบอ่อนบริเวณยอดหรือเก็บใบแก่ที่เหลืองแล้ว เพราะใบเหล่านี้จะมีสารเคมี หรือน้ำมันหอมระเหยน้อย
- ในผู้ที่แพ้ยางของพืชประเภท ชะพลู พริกไทย ควรระมัดระวังไม่ให้โดนยางของพลูด้วยเช่นกันเพราะเป็นพืชในวงศ์เดียวกันอาจทำให้เกิดการแพ้ได้
- การใช้พลูในรูปแบบสมุนไพรเพื่อการรักษาโรคควรใช้ในขนาดและปริมาณที่พอเหมาะไม่ใช้มากหรือใช้เป็นระยะเวลานานเกินไป
- สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว สตรีมีครรภ์ หรือสตรีให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้
เอกสารอ้างอิง
- กานต์ วงศาริยะ , มัลลิกา ชมนาวัง , พลูกับคุณประโยชน์ที่ซ่อนอยู่ , จุลาสารข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. ปีที่ 26 ฉบับที่ 3 . เมษายน 2552.หน้า 3-10
- ผกากรอง ขวัญข้าว.พืชใกล้ตัว.อภัยภูเบศรสาร,2549.ปีที่4,หน้า1
- อรัญญา และ จรีเดช มโนสร้อย.น้ำมันหอยระเหยและสารสกัดจากสมุนไพรไทย การใช้ทางยาและเครื่องสำอาง.2548,คอกข้าง:เชียงใหม่.หน้า 146-17.
- อริญญา ศรีบุศราคัม.พลู กับโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา.จุลสารข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.ปีที่20.ฉบับที่3.เมษายน2546.หน้า4-8
- จุฑามณี จารุจินดา จงจิตร อังคทะวานิช ลิ้นจี่ หวังวีระ และคณะ,บรรณาธิการ.ความก้าวหน้าของยาที่ใช้ในระบบทางเดินอาหาร.กรุงเทพฯ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล,2532:271 หน้า.
- นันทวัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริญพร.บรรณธิการ.สมุนไพรไม้พื้นบ้านเล่ม 1 กรุงเทพ:บริษัท ประชาชน จำกัด 2541
- ผศ.สุนทรี วิทยานารถไพศาล.เลื่อยและพลู.คอลัมน์อื่นๆ นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่40.สิงหาคม.2525
- พลู ใบพลู ประโยชน์และสรรพคุณพลู.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพิชเกษตรไทย(ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก http://www.puechkaset.com
- Choudhary, D.ang R.K. Kale, Antioxidant and non-toxic properties of Piper betle leaf extract: in vitro and in vivo studies. Phytother Res, 2002. 16(5):p. 461-6.
- Mohamed, S., et al., Antimycotic screening of 58 Malaysia against pathogens. Pesticds science, 1996. 47(3):p.259-264.
- Guha, P.,Betel Leaf: Negalected Green Gold of lndia. J. Hum. Ecol., 2006. 19(2):p.87-93.
- Best R, Lewis DA, Nasser N. The anti-ulcerogenic activity of the unripe plantain banana (Musa species). Brit J Pharmacol 1984;82(1):107-16.
- Ghosal S, Saini KS. Sitoindosides l and ll, two new anti-ulcerogenic sterylacylgucosides from Musa paradisiaca. J Chem Res(s) 1984;4:110
- Nopamart, T., C. Arinee, and K. Watcharee, An invitro evaluation of Piper betle skin cream as anti-zoonotic dermatophytes. The proceeding of 42th Kasetsart University annual conference 2004:p.441-448.
- Pannangpetch P, Vuttivirojana A, Kularbkaew C, et al. The antiulcerative effect of Thai musa species in rats. Phyther res 2001;15(5):407-10.
- Sengupta, A., et al., Pre-clinical toxicity evaluation of leaf-stalk extractive of Piper betle Linn in rodents. Lndian J Exp Biol,2000. 38(4): p.338-42.
- Lirio, L.G.,M.L. Hermana, and M.Q. Fontonilla, Note Antibacterial Activity of Medicinal Plants from the Philippines Pharmaceutical Biology, 1998.36(5): p.357-359.
- Gruenwald J, Brendler T, Jaenicke C, et al (eds.)PDF for herbal for herbal medicines (2 nd Edition) New Jersey:Medical Economic Company,2000:858pp
- Wu, M.T., et al., Constituents of areca chewing related to esophageal cancer risk in Taiwanese men. Dis Esophagus, 2004. 17(3):p.257-9.
- Dompmartin A, Szczurko C, Michel M, et al. Two cases of urticaia following fruit ingestion, with cross-sensitivity to latex Contact Dermat 1994;30(4):250-2.