ถอบแถบทะเล ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
ถอบแถบทะเล งานวิจัยและสรรพคุณ 9 ข้อ
ชื่อสมุนไพร ถอบแถบทะเล
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น แถบทะเล,ทับแถบ,ถอบแถบน้ำ,ผักแถบ,แควบทะเล(ภาคกลาง),ถั่วใต้น้ำ(ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์Derris trifolia Lour.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Deguelia trifoliata (Lour.) Taub. Derris uliginosa (Willd.) Benth. Pongamia uliginosa Willd.) DC.Robinia uliginosa Willd. Dalbergia heterophylla Willd Deguelia uliginosa var. loureiri Benth., Derris affinis Benth
วงศ์FABACEAE FABOIDEAE
ถิ่นกำเนิด ถอบแถบทะเลจัดเป็นพืชในวงศ์ถั่ว(FABACEAE)ที่มีถิ่นกำเนิดเป็นบริเวณกว้าง ตั้งแต่ชายฝั่งอินเดียไปจนถึงชายฝั่งทะเลอันดามัน อ่าวไทย หมู่เกาะแปซิฟิก จนถึงออสเตรเลีย รวมถึงชายฝั่งของเวียดนามและจีนตอนใต้ สำหรับในประเทศไทย สามารถพบได้ในบริเวณตามฝั่งแม่น้ำใกล้ทะเลหรือป่าพรุในภาคกลางภาคตะวันออกและภาคใต้หรืออาจพบได้ในบริเวณ ป่าชายเลนริมคลองน้ำกร่อยหรือชายฝั่งทรายดอนได้อีกด้วย
ประโยชน์/สรรพคุณ ในสมัยก่อนมีการใช้ใบอ่อนมากินกับข้าวยำส่วนเถาถอบแถบทะเลจะใช้เป็นยาฆ่าแมลง เบื่อปลา ฆ่าปลิง ส่วนเถาแห้งจะนำมาใช้ถักเป็นเชือก ใบสดที่แก่จัดจะนำมาใช้เป็นส่วนผสมในการทำแชมพู ฆ่าเหา หรืออาจใช้ตำหมักไว้บนศีรษะเด็กเพื่อฆ่าเหาก็ได้สำหรับสรรพคุณทางยาของ ถอบแถบทะเลนั้นตามตำรายาไทยและตำราพื้นบ้านได้ระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ว่าใช้ถอนพิษสำแดง,แก้ตานขโมง ข้อลมใช้เป็นยาพอกฆ่าเหา ต้นใบและรากใช้เป็นยาระบายอ่อนแก้พิษตานซางขโมย ถ่ายเสมหะส่วนทั้ง5(ราก,ลำต้น,ใบ,ดอก,ผล)ใช้เป็นระบายพิษไข้แก้ริดสีดวงงทวารแก้อาการเกร็งของกล้ามเนื้อขับพยาธิรากใช้ แก้ไข้ แก้พิษตางซาน ขับยายลม เป็นยาระบาย ขับเสมหะ ถ่ายเสมหะ แก้ปวดกระดูก
รูปแบบ/ขนาดวิธีการใช้
- ใช้ถอนพิษสำแดงแก้ตานขโมย ข้อลม โดยนำเถาแห้ง 1 กำมือมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้แก้พิษตานซาง ข้อผายลม เป็นยาระบาย แก้ปวดกระดูก ปวดข้อ ข้อเสมหะ ถ่ายเสมหะ แก้พิษตานซาง โดนนำรากแห้ง 1 กำมือมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้เป็นยาระบาย แก้พิษ ตานชาง แก้พิษตานขโมย ใช้ถ่ายเสมหะ โดยนำ ลำต้นใบ รากมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้อาการเกร็งกล้ามเนื้อโดยนำ ทั้งต้น (ราก ลำต้น ใบ ดอก ผล) มาตำทั้งต้นเอามาถูนวดบริเวณที่เป็น
ลักษณะทั่วไป ถอบแถบทะเลจัดเป็นไม้เถาขนาดใหญ่ลำต้นหรือเถามีสีเทาดำหรือสีน้ำตาลมีปุ่มสีขาวขนาดเล็กอยู่ตามเถาและมักทอดเลื้อยไปตามพื้นดินหรืออาจเลื้อยเกี่ยวพันกับต้นไม้อื่น โดยเถาสามารถยาวได้5-10เมตรกิ่งเรียวยาว ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ โดยจะออกเรียงเวียนห่าง ๆ ตามเถา ช่อใบจะมีใบย่อย 1-2คู่ และมีใบที่ปลายอีก1ใบ ใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือรูปรีแกมรูปขอบขนานมีขนาดกว้าง 1.5-5 เซนติเมตร ยาว 3-10 เซนติเมตร โคนใบทู่ถึงมนกลม ปลายใบแหลมถึงเรียวแหลม แผ่นใบมีสีเขียวผิวใบเรียบเกลี้ยงเป็นมัน โดยด้านบนใบจะมีสีเข้มกว่าสามารถมองเห็นได้โดยจะมีเส้นใบปริมาณ 8-10คู่ และมีก้านช่อใบยาว 10-15 เซนติเมตรส่วนก้านใบย่อยจีมีขนาดสั้นปลาย ดอกออกเป็นช่อบริเวณง่ามใบโดยช่อดอกจะยาว 5-15 เซนติเมตร มีดอกย่อยสีขาวจำนวนมากดอกย่อยเมื่อบานเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่านเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร ดอกมีกลีบล่างแสกลีบบนโดยกลีบล่างจะมีขนาดใหญ่กว่า เมื่อยังอ่อนกลีบดอกจะมีสีขาวและเมื่อดอกมีอายุมากกว่าขึ้น ผลออกเป็นฝักเบี้ยวไม่สมมาตร ฝักมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานมีขนาดกว้าง3เซนติเมตรยาว 3.5 เซนติเมตร สันฝักด้านบนมักจะกว้างด้านล่างสองเท่าขอบฝักเป็นสันบางแคบ ๆ เมื่อฝักยังอ่อนจะเป็นสีเขียวเมื่อแก่จะเป็นสีเหลืองด้านในฝักมีเมล็ดลักษณะแบนเป็นรูปไตอยู่1เมล็ดโดยเมล็ดจะมีขนาดยาว1-1.2 เซนติเมตร
การขยายพันธุ์ ถอบแถบทะเลสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด ซึ่งโดยส่วนมากแล้วการขยายพันธุ์ของถอบแถบทะเลจะเป็นการขยายพันธุ์ใน โดยการใช้เมล็ดในธรรมชาติมากกว่าการนำมาขยายพันธุ์โดยมนุษย์เนื่องจากถอบแถบทะเล จะเป็นพืชที่ขึ้นตามป่าชายเลน ป่าพรุ หรือตามชายฝั่งน้ำกร่อย ซึ่งในการนำมาปลูกจะไม่สามารถปลูกในดินธรรมดาได้ หรือปลูกตามพื้นที่เพาะปลูกทั่วไปได้
องค์ประกอบทางเคมี มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนของเปลือก ต้น ราก ใบ และ เมล็ด ของถอบแถบทะเล ระบุว่า พบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด อาทิ เช่น พบสารกลุ่ม Rotenoids / rotenoloids เช่น rotenone, deguelin, tephrosin, elliptone, α-toxicarol, 12a-hydroxyrotenone, 12a-hydroxyelliptone, 6a,12a-dehydrodeguelin, 7a-O-methyldeguelol, rotenoloneและสารกลุ่มFlavonoids เช่น daidzein, formononetin quercetin,rhamnetin,neohesperidoside และยังพบสารกลุ่ม sterols เช่น camplsterol,cholesterol,stigmasterollและพบสาร B-amyrin เพิ่มเติมอีกด้วย
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดรากส่วน เปลือกต้น,ราก,ใบ,เมล็ด และลำต้นของถอบแถบทะเลระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการอาทิเช่น มีการรายงานผลการศึกษาวิจัยในการแยกสารแมทตาบอไลท์ของต้นถอบแถบทะเล เพื่อทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์และฤทธิ์ต้านการสร้างหลอดเลือดใหม่ โดยการนำส่วนสกัดหยาบเอทิลแอซีเทตมาทำการแยกด้วยวิธีโดรมาโทกราฟีพบสารกลุ่มโรตินอยด์ 8 ชนิด และเมื่อนำสารเหล่านี้มาทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง 3 ชนิด คือ มะเร็งปากมดลูก,มะเร็งลำไส้ใหญ่,มะเร็งตับ และนำมาทดสอบกับเซลล์ปกติผลการศึกษาพบว่าสารประกอบทุกชนิดแสดงฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยมีค่า IC50 อยู่ระหว่าง 0.12-11.21 µMในขณะที่มีความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งตับและมะเร็งปากมดลูกค่อนข้างต่ำหรือสารประกอบบางชนิดไม่มีฤทธิ์เลยส่วนสาร 12a-hydroxyrotenone พบว่าสามารถยังยั้งการไมเกรทของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ (ยับยั้งได้มากกว่า 90% ที่ความเข้มข้น0.5µM) และเมื่อนำสารเหล่านี้มาทดสอบฤทธิ์ต้านการสร้างหลอดเลือดใหม่พบว่าสาร 12a-hydroxyrotenone สามารถยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ได้ดีมากทั้งในระดับ exvivoและinivvoซึ่งเป็นผลมาจากการยับยั้งการเพิ่มจำนวน (proliferation) และยับยั้งการเปลี่ยนรูปหลอดเลือดเป็น (tube formation)แต่ไม่สามารถยับยั้งการไมเกรท (chemotactic migration)ของเซลล์เยื่อบุผนังหลอดเลือดได้
อีกทั้งสารกลุ่ม rotenoidsหลายรายการที่พบในสารสกัดจากลต้นถอบแถบทะเลยังมีฤทธิ์ต้านการอัหเสบโดยยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ในเซลล์แมคโครฟาจที่ถูกกระตุ้น (RAW2.47)อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนสารสกัดจากรากและใบของถอบแถบทะเลมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อโรคเช่น Staphylococcus aureus, E. coli และ Pseudomodionas aeruginosa
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าสามรถฤทธิ์ต้านเชื้อรา (Candida albicans) ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิดได้อีกด้วย อีกทั้งยังมีรายงานว่าสารกลุ่มฟลาโวนอยด์บางชนิดที่แยกได้จากโปรตีนจากเมล็ดถอกแถบทะเลแสดงฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ Plasmodium falciparum ซึ่งเป็นเชื้อมาลาเลียในหลอดทลองได้ ส่วนสารสกัดจาดใบและรากแสดงฤทธิ์ฆ่าลูกน้ำยุงลาย(Aedes aegypti)ได้อย่างมีนัยสำคัญ
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสารสกัดจากลำต้นของถอบแถบทะเลระบุไว้ว่า จากการศึกษาวิจัยพิษเฉียบพลันในหนูทดลองพบว่าเมื่อป้อนสารสกัดทางปากให้แก่หนูทดลองพบว่ามีค่า LD50 เท่ากับ39.5-102 mg/kg สินค้า LC50 (ความเข้มข้นของสารที่ทำให้สัตว์ทดลองตาย50%)ทางการสูดดมเท่ากับ = 0.2 mg/L
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง สำหรับการใช้ถอบแถบทะเลเป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคนั้นควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยการใช้ในขนาด/ปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำราต่างๆ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไปหรือใช้ต่อเนื่องกันเป็นรยะเวลานานจนเกินไปเพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง
- อรทัย เนียมสุวรรณ; นฤมล เส้งนนท์; กรกนกยิ่งเจริญ; พัชรินทร์ สิงห์ดำ (2012). “พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของพืชกินได้จากป่าชายเลนและป่าชายหาดบริเวณเขาสทิงพระ จังหวัดสงขลา”(pdf).วารสารวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 40(3):981-999.
- (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก) ถอบแถบ หนะงสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140 ชนิด.
- มัณฑนา นวลเจริญ (2009). สารานุกรมความหลากหลายทางชีวภาพตำบลคลองประสงค์ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ (2 ed.). กทม.: สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. p. 47.
- ญาณิศา มิตรภาพ.ฤทธิ์ต้านการสร้างหลอดเลือดใหม่และความเป็นพาต่อเซลล์ของโรตินอยด์ จากถอบแถบทะเล Derris trifoliata Lour. วิทยานิพนธ์สาขาวิชาเคมี ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,ปีการศึกษา2560.73หน้า
- Tewtrakul, S., Cheenpracha, S., & Karalai, C. (2009). Nitric oxide inhibitory principles from Derris trifoliata stems. Phytomedicine, 16, 568–572.
- Cheenpracha, S., Karalai, C., Ponglimanont, C., & Chantrapromma, K. (2007). Cytotoxic rotenoloids from the stems of Derris trifoliata. Canadian Journal of Chemistry, 85, 1019–1022.
- U.S. EPA. (2007). Reregistration Eligibility Decision (RED) for Rotenone (EPA 738-R-07-005). Washington, DC: U.S. Environmental Protection Agency. pp. 7–12,
- Yenesew, A., et al. (2009). Antiplasmodial and larvicidal flavonoids from Derris trifoliata. Bulletin of the Chemical Society of Ethiopia, 23, 409–414.
- Pholsstein, P., et al. (2018). Anti-angiogenic activity of rotenoids from the stems of Derris trifoliata. Planta Medica, 84, 779–785.
- Finlayson, B. J., et al. (2001). Rotenone application to California lakes and streams. American Fisheries Society. pp.
- Bhattacharyya, A., & Babu, C. R. (2009). Purification and biochemical characterization of a serine proteinase inhibitor from Derris trifoliata seeds: Insight into structural and antimalarial features. Phytochemistry, 70, 703–712.
- Itoigawa, M., Ito, C., & Furukawa, H. (2012). Rotenoids from Derris trifoliata: Cancer chemopreventive potential. Natural Product Communications, 7, 597–604
- Khan, M. R., Omoloso, A. D., & Barewai, Y. (2006). Antimicrobial activity of the Derris elliptica, Derris indica and Derris trifoliata extractives. Fitoterapia, 77, 327–330