ฉัตรทอง ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
ฉัตรทอง งานวิจัยและสรรพคุณ 12 ข้อ
ชื่อสมุนไพร ฉัตรทอง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ชบาเมกา, ชบาอเมริกา(ทั่วไป),ตอนอู่,จมาขุ่ยฮวย,ซูขุย(จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Alcea rosea Linn.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์Althaea rosea (L.) Cav.
ชื่อสามัญHollyhock
วงศ์MALVACEAE
ถิ่นกำเนิด ฉัตรทองจัดเป็นพืชในวงศ์ชบา (MALVACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตอบอุ่นของทวีปเอเชียบริเวณ ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เช่นใน มลฑลเสฉวน ยูนานและกุ้ยโจว จากนั้นจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปในแถบเมติตอเรเนียน และยุโรปในคริสศตวรรษที่15 สำหรับในประเทศไทย พบการนำมาปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับทั่วไปในภาคเหนือ และภาคกลาง
ประโยชน์/สรรพคุณ ฉัตรทองถูกนำมาปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีดอกที่มีสีสวยสดใสขนาดดอกใหญ่ไม่มีกิ่งก้านรกรุงรังอีกทั้งยังปลูกและดูแลง่าย นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณทางยาอีกหลายประการ โดยในตำรายาไทยและตำรายาจีนได้ระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ดังนี้
ราก ใช้บำรุงธาตุ บำรุงร่างกาย ทำให้เลือดเย็น แก้พิษร้อนในร่างกาย แก้โลหิตกำเดา แก้ไข้ แก้ไอเป็นเลือด แก้อาเจียนเป็นเลือด แก้หลอดลมอักเสบ แก้แผลในลำไส้ ฝีในลำไส้ ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะ ขัดปัสสาวะเป็นเลือด แก้ติดเชื้อในปัสสาวะ แก้ปัสสาวะมากเกินไป แก้แผลเรื้อรัง แผลบวมอักเสบ ใช้ดูดหนอง
ดอก ใช้เพิ่มการไหลเวียนโลหิต แก้ไข้จับสั่น แก้ไอเป็นเลือด แก้โรคหัด แก้ท้องผูก แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบติดเชื้อ แก้ตกขาวในสตรี แก่แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก
ยอดอ่อน ใช้แก้แผลที่ปากอักเสบ แก้บิด แก้ถ่ายเป็นเลือด แก้หนองใน ขับปัสสาวะ แก้อาเจียนเป็นเลือด
เมล็ด ใช้หล่อลื่นลำไส้ แก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัด อุจจาระขัด แก้อาการบวมน้ำ แก้ท้องผูก แก้แผลเรื้อรัง
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้
- ใช้เป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย จับพิษร้อนในร่างกาย ทำให้เลือดเย็น แก้โลหิตกำเดา แก้ไข้ แก้ไอเป็นเลือด แก้หลอดลมอักเสบ โดยนำรากมาต้มกับน้ำดื่ม
- แก้อาเจียนเป็นเลือดหรือตกเลือด โดยนำราสด 30 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือใช้รากสด 60 กรัม นำมาคั้นเอาแต่น้ำผสมกับเหล้ารับประทานเป็นยาก็ได้
- ใช้รักษาแผลในลำไส้ โดยใช้รากแห้ง 3 กรัม นำมาต้มคั้นน้ำดื่ม
- ใช้แก้ลำไส้อักเสบ รักษาฝีในลำไส้ ฝีในท้อง โดยใช้รากฉัตรทอง 20 กรัม โกศน้ำเต้า 6 กรัม นำมาต้มกับน้ำดื่ม หากมีอาการเลือดออกด้วยก็ให้เพิ่มโกศสอ 20 กรัม แปะเจียก 20 กรัม และสารส้มสตุ 19 กรัม ต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้ขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัดและอุจจาระติดขัด โดยใช้รากสด 30-60 กรัม นำมาต้มกับน้ำครึ่งแก้วแล้วใส่ชะมดเขียง 2 กรัม ใช้ดื่ม
- ใช้แก้อาการปัสสาวะมากผิดปกติ ด้วยการใช้รากสดนำมาล้างให้สะอาด แล้วทุบให้แตกใส่น้ำต้มให้เดือดและให้งวดใช้ดื่ม
- ใช้รักษาแผลเรื้อรัง แผลบวมอักเสบใช้ดูดหนอง โดยใช้รากสดนำมาตำพอกบริเวณที่เป็น
- ใช้เพิ่มการไหลเวียนโลหิต ทำให้ชุ่มชื่นแก้ไข้ ไข้จับสั่น โดยใช้ดอกสดที่ผึ่งแห้งแล้ว นำมาบดเป็นผงผสมกับน้ำรับประทาน
- ใช้แก้โรคหัด โดยใช้ดอกที่บานเต็มที่แล้ว นำมาต้มดื่มหรือบดเป็นผงกิน
- ใช้แก้อาการท้องผูก โดยใช้ดอกสด 30 กรัม นำมาผสมกับชะมดเขียง 1.5 กรัม และน้ำอีกครึ่งแก้วนำมาต้มดื่ม
- ใช้แก้อาการตกขาวในสตรีโดยนำดอกสด 150 กรัม มาผึ่งให้แห้งใบที่ร่ม แล้วนำไปบดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้งรับประทาน แต่ก่อนรับประทานจะต้องดื่มเหล้าก่อน 1 ถ้วยชา
- ใช้รักษาแผลไฟไหม้ แผลโดนน้ำร้อนลวก โดยใช้ดอกสดที่ตำละเอียดแล้วนำมาผมกับน้ำมันพืช ใช้พอกบริเวณที่เป็น
- ใช้แก้บิด ขับถ่ายเป็นเลือด ด้วยการใช้ยอดอ่อน 6-18 กรัม นำมาปิ้งกับไฟให้พอเหลืองแล้วนำมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้ปัสสาวะเป็นเลือด โดยนำเถาจากยอดอ่อน มาผสมกับเหล้าใช้รับประทานวันละ 2 ครั้ง
- ใช้รักษาโรคหนองใน โดยใช้ยอดอ่อนหรือใบ 6-20 กรัมนำมาต้มกับน้ำดื่ม จะใช้ใบสดหรือใบแห้งแทนก็ได้
- ใช้รักาเด็กที่ปากเป็นแผลอักเสบ ด้วยการใช้ยอดอ่อน นำไปปิ้งกับไฟให้แห้งแล้วบดให้เป็นผงผสมกับน้ำผึ้ง นำมาทาเช้าเย็น
- ใช้แก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ แก้อาการบวมน้ำ โดยนำเมล็ดที่ตากแห้งนำมาบดเป็นผง ผสมกับน้ำอุ่นรับประทานครั้งละ 6 กรัมวันละ 2 ครั้ง
- ใช้เป็นยาช่วยหล่อลื่นลำไส้ ด้วยการใช้เมล็ดตากแห้วงมาต้มกับน้ำดื่ม หรือบดเป็นผงรับประทานก็ได้
- ใช้รักษาแผลหิดโดยใช้เมล็ดตากแห้งมาต้มหรือบดเป็นผงรับประทาน
- ใช้รักษาแผลเรื้อรัง โดยนำเมล็ดมาตำพอกบริเวณที่เป็นแผล
ลักษณะทั่วไป ฉัตรทองจัดเป็นไม้ล้มลุกหรือไม้พุ่มขนาดเล็กไม่แตกกิ่งก้าน ลำต้นตั้งตรงความสูงของต้น 1.5-2 เมตร แล้วแต่สายพันธุ์ลำต้นเป็นสีเขียว ตามลำต้นมีขนอ่อนขึ้นปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับตามลำดับ แผ่นใบมีลักษณะเป็นแฉกคล้ายรูปดาว 3-7 แฉก ใบมีขนาดกว้าง 5-10 เซนติเมตร ยาว 6-18 เซนติเมตร โคนใบจะมีลักษณะเว้าเป็นรูปหัวใจปลายแฉกแหลมมนขอบใบหยัก แผ่นใบค่อนข้างหนามีสีเขียว และค่อนข้างสากมือ ก้านใบมีลักษณะกลมยาวเป็นสีเขียวอ่อน ยาว 4-8 เซนติเมตร ดอกเป็นดอกเดี่ยวดอกบริเวณซอกใบ ดอกมีลักษณะเป็นรูปถ้วย ดอกมีกลีบดอก 5 กลีบเรียงซ้อนกันหรืออาจเป็นกลีบดอกเดี่ยวแล้วแต่สายพันธุ์ โดยลักษณะของกลีบดอกจะเป็นรูปสามเหลี่ยม มีสีชมพู สีแดง เหลือง ส้ม ม่วง แล้วแต่สายพันธุ์ บริเวณโคนกลีบดอกเชื่อมเข้าหากันเป็นหลอด ส่วนปลายดอกบานออก เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดประมาณ 7 เซนติเมตร และตรงกลางดอกมีเกสรสีเหลืองยาวออกมาแต่ไม้พ้นดอก นอกจากนี้ตรงโคนดอกยังมีกลีบเลี้ยงรูปถ้วยสีเขียว ที่บริเวณโคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน แต่ส่วนปลายจะแยกออกเป็นกลีบ 5 กลีบและมีก้านดอกยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร ผลเป็นรูปทรงกลมค่อนข้างแบนมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 เซนติเมตรผลอ่อนมีสีเขียว มีขนขึ้นปกคลุม ผลแก่มีสีน้ำตาลแห้งไม่แตก ภายในผลมีเมล็ดรูปไตกลมแบนขอบข้างมีสันจำนวนมาก
การขยายพันธุ์ ฉัตรทองสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ด โดยมีวิธีเพาะเมล็ดและการปลูกเช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและการปลูกไม้พุ่มชนิดอื่นๆตามที่ได้กล่าวถึงมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ หากนับเวลาตั้งแต่การเพาะเมล็ดจนออกดอกจะใช้เวลา 4-6 เดือน ฉัตรทองเป็นพืชที่ดูแลง่ายชอบดินร่วนซุย ชอบแสงแดดจัดตลอดทั้งวัน
องค์ประกอบทางเคมี มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของฉัตรทองพบว่ามีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น สารสกัดจากส่วนรากของฉัตรทองพบสารเมือก เช่น Uronic acid, Mucus, Pentose , Pentosans และ Methylpentosans สารสกัดจากส่วนดอกพบสาร Dibenzoyl carbinol และ Dihy drokaempferol ส่วนทั้งต้น พบสารกลุ่ม mucilages และ polysaccharides เช่น glucuronic acid, galacturonic acid, rhamnose, galactose สารกลุ่ม Flavonoids เช่น quercetin, kaempferol, luteolin สารกลุ่ม phenolic acids เช่น caffeic acid, ferulic acid ส่วนในเมล็ดพบสารกลุ่ม Anthocyanins และ Fatty acids เช่น Myrtillin , linoleic acid, palmitic acid, oleic acid, eicosadienoic acid
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนดอก ราก และใบของฉัตรทองระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (anti-inflammatry) จากการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดจากส่วนต่างๆของฉัตรทอง (ดอก/ราก/ใบ) มีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบในเซลล์ โดยเข้าไปลดการสร้าง cytokines หรือ lipoxygenase/COX pathways ในหลอดทดลอง
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) มีรายงานผลการศึกษาวิจัยในหลอดทดลองระบุว่า สารสกัดจากดอก/ราก/ใบ แสดงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในหลายการทดสอบ เช่นวิธี DPPH และ ABTS โดยฤทธิ์ดังกล่าวสัมพันธ์กับปริมาณฟลาโวยนอยด์และฟีนอลิกในสารสกัด
นอกจากนี้ยังมีการรายงานการศึกษาวิจัยในสารสกัดจากส่วนใบ ราก และเมล็ด ของฉัตรทองพบว่ามีฤทธิ์ปกป้องตับ ขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ โดยมีการสัมพันธ์กับฤทธิ์ต้านการอักเสบและสารเมือกในการสกัดที่เพิ่มการขับ
การศึกษาวิจัยพิษวิทยา มีรายงานการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาระบุว่า สารสกัดจากส่วนเหนือดินของฉัตรทองมีผลลดการทำงานของเอนไซม์ aromatase จึงเป็นเอนไซม์ที่สำคัญในการสังเคราะห์ฮอร์โมน estrogen ในเพศหญิง และลดการหลั่งฮอร์โมน estradiol ในเซลล์อัณฑะของหนูทดลอง ซึ่งอาจต้องระวัง ในการใช้ในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับฮอร์โมนดังกล่าว และหญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรไม่ควรใช้ฉัตรทองเป็นสมุนไพร เนื่องจากมีรายงานการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาระบุว่ามีผลต่อฮอร์โมนบางชนิด และ aromatase ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน หรือภาวะที่ต้องควบคุมฮอร์โมนไม่ควรใช้ฉัตรทองเป็นสมุนไพรสารฟลาโนวอยด์อาจมีผลเป็น phytoestrogen หรือ anti-estrogenic ในสภาวะต่างๆ
อ้างอิงฉัตรทอง
- วิทยา บุญวรพัฒน์,ฉัตรทอง,หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย,หน้า190.
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม,ฉัตรทอง,หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย.ฉบับพิมพ์ครั้งที่5.หน้า233-236.
- Castillo-Carrión, M., Martínez-Espinosa, R., Pérez-Álvarez, J. Á., Fernández-López, J., Viuda-Martos, M., & Lucas-González, R. (2024). Nutritional, fatty acids, (poly)phenols and technological properties of flower powders from Fuchsia hybrida and Alcea rosea. Foods, 13(2), 237.
- Parry, R. A., et al. (2025). Anti-inflammatory and anticancer properties of Alcea rosea extracts. [Journal], 2025, Article e.g.
- Azadeh, Z., Asgharian, S., Habtemariam, S., & Lorigooini, Z. (2023). Botanical, phytochemical, and pharmacological properties of Alcea rosea L. Future Natural Products, 9(2), 88–99.
- Hussain, L., Akash, M. S. H., Tahir, M., Rehman, K., & Ahmed, K. Z. (2014). Hepatoprotective effects of methanolic extract of Alcea rosea against acetaminophen-induced hepatotoxicity in mice. Bangladesh Journal of Pharmacology, 9, 322–327.
- Tafreshi, Y. M., Eghlima, G., & Ebrahimi, P. (2025). Phenotypic yield-attributed traits and phytochemical composition of the flowers from Alcea species in Iran. Scientific Reports / PMC (open access).
- Papież, M., Gancarczyk, M., & Bilińska, B. (2002). The compounds from the hollyhock extract (Althaea/Alcea rosea Cav. var. nigra) affect the aromatization in rat testicular cells in vivo and in vitro. Folia Histochemica et Cytobiologica, 40(4), 353–359.
- Gil, S., & Lim, K.-M. (2025). Assessment of systemic safety of Althaea/Alcea rosea flower extract for use in cosmetics: threshold of toxicological concern and history of safe consumption approaches. Cosmetics, 12(4), Article 133.
- Kaya, I., & Gülser, F. (2018). Determining heavy metal contents of hollyhock (Alcea rosea L.) in roadside soils of a Turkish lake basin. Polish Journal of Environmental Studies, 27(5), 2081–2087.
