ดองดึง ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆและข้อมูลงานวิจัย
ดองดึง งานวิจัยและสรรพคุณ 15 ข้อ
ชื่อสมุนไพร ดองดึง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ว่านก้ามปู, ดาวดึงส์(ภาคกลาง), มะขาโก้ง(ภาคเหนือ), พันมอก, หัวฟาน(ภาคอีสาน), บ้องขวาน, หัวขวาน, คมขวาน(ชลบุรี), ก้ามปู(ชัยนาท)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Gloriosa superba Linn.
ชื่อสามัญ Glory lily , Climbing lily , Gloriosa lily , Flame lily
วงศ์ COLCHICACEAE
ถิ่นกำเนิดดองดึง
ดองดึงเป็นพรรณพืชที่มีถิ่นกำเนิดบริเวณเขตร้อนของทวีปแอฟริกา ในหลายๆ ประเทศ ต่อมาจึงได้ กระจายพันธุ์ไปในเขตร้อนต่างๆ ทั่วโลกทั้ง มาดากัสการ์ อินเดีย ศรีลังกา ปากีสถาน จนถึงภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทยสามารถพบดองดึงได้ทุกภาค แต่จะพบมากในภาคตะวันออก ภาคอีสาน และภาคเหนือ โดยเฉพาะตามป่าโปร่ง ป่าเต็งรัง และป่าเบญจพรรณที่ค่อนข้างแล้งที่มีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิด 800 เมตร นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่าพืชในสกุลเดียวกับดองดึง (Genus : Gloriosa) ทั่วโลกมีทั้งหมด 7 ชนิด โดยมีถึง 6 ชนิดพบได้ในทวีปแอฟริกา ส่วนในทวีปเอเชียพบเพียงชนิดเดียว คือ ดองดึงนั้นเอง
ประโยชน์และสรรพคุณดองดึง
- แก้โรคเรื้อน
- แก้คุดทะราด
- ช่วยขับผายลม
- แก้เสมหะ
- แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย
- แก้ปวดตามข้อ
- แก้ลมพรรดึก
- แก้กามโรค
- ช่วยรักษาบาดแผล
- ใช้ทาแก้โรคผิวหนัง
- แก้ข้ออักเสบฟกบวม
- แก้ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ
- แก้ลมจุกเสียด
- แก้ระดูขัดยาขับโลหิต
- แก้ริดสีดวงจมูก
ทั้งนี้ดองดึงจัดเป็นพืชที่มีความเป็นพิษสูงมากชนิดหนึ่ง โดยในตำรายาสมุนไพรไทย ยังได้ระบุถึงการใช้ หัวดองดึงมาปรุงเป็นยาว่าจะต้องใช้ในปริมาณน้อยๆ และเจือจางก่อนการนำมาใช้ หากใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไปอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ โดยมีการศึกษาพบว่า เหง้าดองดึงเป็นพิษจากสารที่มีชื่อว่า colchicine โดยเป็นพิษต่อการแบ่งตัวของเซลล์ และเป็นพิษต่อทางเดินอาหารโดยอาการของพิษจะเกิดเมื่อกินสารนี้เข้าไปประมาณ 2 ชั่วโมง จะรู้สึกแสบร้อนในปากและลำคอ คอแห้ง กระหายน้ำ โดยมีอาการเจ็บปวดตามตัว ปากและผิวหนังชา คลื่นไส้และท้องร่วงอย่างแรง อุจจาระมีเลือดปน ปวดท้องปวดเบ่งแต่ไม่มีอุจจาระออกมา หายใจลำบาก กลืนไม่ลง ชัก หมดสติเนื่องจากร่างกายเสียน้ำมาก ตัวเย็น และอาจตายได้ใน 3-20 ชั่วโมง อุณหภูมิร่างกายจะลดลงต่ำมากก่อนเสียชีวิต จึงไม่แนะนำให้ประชาชนทั่วไปนำมาใช้เอง
รูปแบบและขนาดวิธีใช้ดองดึง
เนื่องจากดองดึงเป็นพืชที่มีความเป็นพิษสูง และการใช้ในตำรายาสมุนไพรไทยนั้น ต้องใช้และปรุงโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันหากผู้เชี่ยวชาญได้ยาก ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้นำมาใช้หรือน้ำมาปรุงเป็นยาเองดังนั้นการใช้ดองดึงเป็นสมุนไพรหรือยานั้นควรต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์เท่านั้น ซึ่งในการแพทย์แผนปัจจุบันนั้น มีการใช้เหง้าดองดึง สกัดเป็นสารบริสุทธิ์ ซึ่งมีสาร colchicines ในขนาดที่ปลอดภัย โดยทำเป็นยาเม็ดรักษาโรคต่างๆ อาทิเช่น โรคเก๊าท์ เป็นต้น
ลักษณะทั่วไปของดองดึง
ดองดึงจัดเป็น ไม้เถาล้มลุกขนาดเล็ก เลื้อยเกาะพันต้นไม้อื่น มีอายุหลายปี และสามารถยาวได้ถึง 5 เมตร และมีขนาดเถา 10.5-1.5 เซนติเมตร มีลำต้นเป็นหัวหรือเหง้าขนาดเล็กอยู่ใต้ดิน รูปร่างกลมเรียว หรือทรงกระบอกโค้ง มีหงอนเหมือนขวาน เปลือกหัวบาง มีสีน้ำตาลอมแดง ส่วนเนื้อด้านในมีลักษณะเป็นแป้ง สีขาวนวล แข็งเล็กน้อย ส่วนลำต้นเหนือดิน เป็นส่วนที่ต่อมาจากเหง้าใต้ดิน ใบ ออกเป็นใบเดี่ยวแบบเรียงสลับ โดยจะออกเรียงสลับกันตามข้อ ข้อละ 1-3 ใบ ตามความยาวของกิ่ง ใบมีรูปหอก กว้างประมาณ 1.5.4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5-20 เซนติเมตร แผ่นใบ และขอบใบเรียบ สีเขียวสด เป็นมัน โคนใบสอบมน ไม่มีก้านใบ ปลายใบแหลมยาว ทำหน้าที่เป็นมือเกาะ ใบมีเส้นกลางใบมองเห็นได้ชัดเจน โดยจะขนานกันไปสุดที่ปลายใบ ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยว แบบสมบูรณ์เพศขนาดใหญ่ โดยจะออกบริเวณซอกใบ ใกล้ปลายเถา ดอกมีสีเหลืองปลายกลีบสีแดง บริเวณโคนกลีบเมื่อดอกบานใหม่ๆ มีสีเหลือง แต่เมื่อดอกบานเต็มที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งดอก โดยดอกแต่ละดอกจะมีกลีบ 6 กลีบ สีเขียวอ่อน และจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวและแดงตามลำดับ ซึ่งกลีบดอกมีลักษณะเป็นรูปแถบ เรียวยาว 5-7.5 เซนติเมตร โค้งกลับไปทางก้านดอก ขอบกลีบหยักเป็นคลื่น เกศรเพศผู้ 6 อัน ชี้ออกเป็นรัศมีตามแนวนอน มีก้านยาว 3-5 เซนติเมตร อับเรณูยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ก้านเกสรเพศเมียยาว 0.3-0.7 เซนติเมตร แยกเป็น 3 แฉก ผลเป็นฝัก ลักษณะเป็นทรงกระสวยหรือทรงกระบอก กว้างประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4-7 เซนติเมตร ขั้วผลสอบแหลม ปลายผลขยายใหญ่ และทู่มน ผิวเปลือกไม่เรียบ มีสันหรือพูตามแนวยาวของผล 3 พู ผลดิบมีสีเขียวอ่อน ผลสุกมีสีเหลืองอมเขียว ด้านในผลจะมีเมล็ด 30-50 เมล็ด มีลักษณะทรงกลม และแข็ง ขนาด 2-3 มิลลิเมตร เมล็ดอ่อนมีสีขาว เมล็ดแก่มีสีแดงอมส้ม
การขยายพันธุ์ดองดึง
ดองดึงสามารถขยายพันธุ์ด้วยการใช้หัว และการเพาะเมล็ด แต่วิธีที่นิยมจะเป็นการปลูกด้วยหัวเป็นหลัก เพราะมีอัตราการรอดสูงกว่าเมล็ดสามารถเกิดต้นใหม่ได้เร็ว และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เร็วกว่าอีกด้วย สำหรับการปลูกมีวิธีการดังนี้ การเลือกหัวดองดึงที่นำมาปลูก ควรเลือกหัวที่มีขนาดใหญ่ เก็บจากแปลงในช่วงเดือนกุมภาพันธุ์-มีนาคม และพักทิ้งไว้สักระยะ 2-3 เดือนก่อนปลูก เพื่อให้หัวอยู่ในระยะพักตัวก่อนโดยควรมีน้ำหนักตั้งแต่ 7-8 กรัม ขึ้นไป และมีหน่อแทงออกจากตาหน่อซึ่งจะทำให้ได้ต้นใหม่ทุกหัว หากใช้หัวที่มีน้ำหนักน้อย จะไม่มีการงอกของต้นใหม่ หลังจากที่คัดเลือกหัวได้แล้ว ให้นำหัวปลูกลงหลุม หลุมละ 1-2 หัว โดยให้มีระยะห่างระหว่างหลุม 80-100 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างแถว 1.5-2 เมตร เกลี่ยดินกลบ รดน้ำให้ชุ่ม ทั้งนี้การปลูกด้วยหัว ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝนประมาณต้นเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีในส่วนหัวของดองดึง ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น Colchicine Colchicoside superbine 1, 2-didemethylcolchicines 2, 3-didemethylcolchicine GloriosineN-deacetylcolchicines Lumicolchicine 3-demethyl-N-deformyl-N-deacetylcolchicine 3-demethylcolchicine N-formyl-deacetylcolchicine Tannins benzoic acid salicylic acid sterols ส่วนในดอก เมล็ดและใบ พบสาร superbine และ lumicolchicine อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีรายงานอีกฉบับหนึ่งได้ระบุถึง การวิจัยปริมาณสารโคลชิซิน (Colchicine) ในหัวดองดึงพบว่าในหัวดองดึงมีปริมาณ สาร colchicine อยู่ประมาณ 0.02-0.358%
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของดองดึง
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของดอกดึงระบุว่า มีงานศึกษาวิจัยในหลอดทดลอง (in vitro) ระบุว่า หัวดองดึงสาร colchicines ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านพิษงู ต้านเชื้อมาลาเรีย และต้านเซลล์มะเร็งบางชนิดได้ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยพรีคลินิกพบว่า ดองดึงมีฤทธิ์แก้ปวดและต้านการอักเสบ ต้านเชื้อรา ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อปรสิตต้านพิษงู และสารสกัดเหง้าดองดึงด้วยแอลกอฮอล์ยังมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไลพอกซิจีเนส (lipoxygenase) อะเซทิลโคลีนเอสเทอเรส (acetylcholinesterase) และบิวทิริลโคลีนเอสเทอเรส (butyrylcholinesterase) ได้อีกด้วย
การศึกษาทางพิษวิทยาของดองดึง
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของเหง้าดองดึงพบว่าพบสาร โคลชิซีน (Colchicine) ซึ่งเป็นสารกลุ่มอัลคาลอยด์มีคุณสมบัติละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ ในทางการแพทย์มีการนำมาใช้รักษาโรคเกาต์ไขข้ออักเสบแต่อย่างไรก็ตามสารดังกล่าวก็มีความเป็นพิษสูงเช่นเดียวกัน โดยความเป็นพิษของโคลชิซีนนั้น ได้มีรายงานขนาดความเป็นพิษในขนาด 7-60 มิลลิกรัม โดยพบมีรอยไหม้ที่ปากและคอ อาเจียน ระคายเคือง เป็นไข้ อาการปวด และไตวาย การทำงานที่ผิดปกติของอวัยวะหลายระบบเกิดขึ้นภายใน 24 - 72 ชั่วโมง จนทำาให้ถึงแก่ชีวิตได้ และในปัจจุบันยังไม่มียาต้านฤทธิ์โคลชิซีนโดยตรง แต่เป็นการดูแลแบบประคับประคอง การรักษาภาวะสมดุลของเกลือแร่ที่ผิดปกติและการให้สารน้ำทดแทนอย่างเพียงพอเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีรายงานของเคสตัวอย่างของผู้ที่ได้รับพิษจากหัวดองดึงดังนี้
- มีผู้เสียชีวิต เนื่องจากรับประทานหัวดองดึง 3 ราย เพราะเข้าใจผิดคิดว่าหัวดองดึงเป็นสมุนไพรที่สามารถใช้รักษาอาการท้องอืดเฟ้อ และปวดเมื่อยตามร่างกายได้ จึงนำไปต้มและนำมารับประทานคนละ 1 แก้ว เกิดอาการอาเจียนอย่างรุนแรงและเสียชีวิตในวันรุ่งขึ้น
- ผู้ป่วยเพศหญิงอายุ 28 ปี รับประทานหัวดองดึงเป็นอาหาร เพราะเข้าใจว่าเป็นกลอย มีอาการอาเจียน ท้องเสีย หลังจากรับประทานไปได้ 2-3 ชั่วโมง เข้าโรงพยาบาลในวันต่อมา มีอาการขาดน้ำและความดันเลือดต่ำวัดไม่ได้ มีไข้ อาเจียนและท้องเสีย หัวใจเต้นเร็ว วันที่ 4 หายใจไม่ได้ หัวใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด
- ผู้ป่วยเพศหญิง อายุ 21 ปี รับประทานหัวดองดึงต้ม หลังจากรับประทานไปได้ 2 ชั่วโมง เริ่มอาเจียน จากนั้น 8 ชั่วโมงต่อมา ถ่ายท้องอย่างแรงเป็นน้ำและท้องเสียตลอดทั้งคืน ไปโรงพยาบาล เนื่องจากผู้ป่วยมีอาการหมดสติ ขาดน้ำ หัวใจเต้นเร็ว แพทย์ให้น้ำเกลือ และยาสเตียรอยด์ ผู้ป่วยอาการดีขึ้น
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
หัวดองดึงมีสาร colchicine ซึ่งมีความเป็นพิษสูงมาก ดังนั้นจึงไม่ควรนำดองดึงมาใช้เป็นยาสมุนไพรด้วยตนเอง เพราะในการนำดองดึงมาใช้ต้องเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญสูงที่รู้ทั้งวิธีการปรุงยาและรู้ขนาดในการใช้อย่างแท้จริงเท่านั้น สำหรับอาการการเกิดพิษที่แสดงออกมาหลังรับประทานหัวดองดึงที่ควรรู้ไว้เบื้องต้นมีดังนี้ อาการเกิดพิษเริ่มจาก คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ปวดท้องหลังจากรับประทานเข้าไปประมาณ 2-6 ชั่วโมง ต่อมาปากและคอจะร้อนไหม้และกระหายน้ำ กลืนลำบาก การอาเจียนอาจจะรุนแรงมากและไม่สามารถควบคุมอาการได้ ในกรณีที่เกิดอาการพิษอย่างเฉียบพลัน จะมีอาการท้องเดินและอาจจะถ่ายเป็นน้ำและมีเลือดปนออกมาด้วย เนื่องจากมีการทำลายเส้นเลือดเกิดขึ้น ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่มาก อาจมีอาการหมดสติเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ ท่อไตก็ถูกทำลายเช่นกัน ทำให้ถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด แต่ปริมาณปัสสาวะน้อย มีอาการจุกเสียดท้องและปวดเบ่งปัสสาวะ กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ย และในที่สุดระบบประสาทส่วนกลางเป็นอัมพาตทำให้ตายได้ เนื่องจากหยุดหายใจ ซึ่งปกติจะเกิดขึ้นภายใน 1-2 วัน
เอกสารอ้างอิงดองดึง
- นันทวัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริญพร (บรรณาธิการ). สมุนไพรไม้พื้นบ้าน เล่ม 2. กรุงเทพมหานคร: บริษัทประชาชน จำกัด, 2541: 640 หน้า.
- ดองดึง.คู่มือการกำหนดพื้นที่ส่งเสริมการปลูกสมุนไพรเพื่อใช้ในทางเภสัชกรรมไทย เล่ม 1 .กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข.กันยายน 2558.หน้า112-113
- ทัศนีย์ ปานผดุง.สายใจ ปริยะวาที,สายัน ขุนนุช, นฤมล บุญราศี.การศึกาคุณภาพของหัวดองดึง.วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ปีที่ 58.ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม 2559.หน้า 270-282.
- นันทวัน บุณยะประภัศร (บรรณาธิการ). ผู้อ่าน…ผู้อ่าน (ดองดึง). จุลสารข้อมูลสมุนไพร 2530;4(2):26-8.
- ดองดึง.ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.phargarden.com/main.php?action=viewpage&pig=43
- ดองดึงสรรพคุณและการปลูกดองดึง.พืชเกษตรดอทคอม เว็บเพื่อพืชเกษตรไทย(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.puechkaset.com
- Gooneratne BW. Massive generalized alopecia after poisoning by Gloriosa superba. Br Med J 1966;231(5494):1023-4.
- McEvoy GK, edited. AHFS drug information. Bethesda, MD.: American Society of Health-System Pharmacists; 1999. p.3234-3236
- Fernando R, Fernando DN. Poisoning with plants and mushrooms in Sri Lanka: a retrospective hospital based study. Vet Hum Toxicol 1990;32(6):579-81.