ผักเป็ด ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

ผักเป็ด งานวิจัยและสรรพคุณ 33 ข้อ

ชื่อสมุนไพร ผักเป็ด
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ผักเป็ดขาว, ผักเป็ดไทย (ทั่วไป), ผักเปียวแดง (ภาคเหนือ), บะอุ่ม, ผักหอม (ลั๊วะ, ไทยใหญ่), เหลียนจือเฉา, เจี๋ยฮวา (จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Alternanthera sessilis (L.)R.Br.ex DC.
ชื่อสามัญ Sessile joyweed., Dwarf copperleaf.
วงศ์ AMARANTHACEAE


ถิ่นกำเนิดผักเป็ด

ผักเป็ด เป็นพืชในวงศ์บานไม่รู้โรย (AMARANTHACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนของทวีปอเมริกากลาง ต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนต่างๆ ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยคาดการณ์ว่าผักเป็ดได้เข้ามาในประเทศมานานมากแล้ว โดยมีหลักฐานในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ของหมอปรัดเล พ.ศ.2516 บรรยายเกี่ยวกับผักเป็ดเอาไว้ว่า "ผักเป็ด เป็นต้นโตกว่าผักเบี้ย มันขึ้นที่บก เขาเก็บมากินบ้าง เก็บมาทำยาบ้าง" ปัจจุบันผักเป็ด สามารถพบได้ทั่วประเทศ แต่จะพบมากในภาคกลางบริเวณที่ชื้นแฉะตามที่รกร้างทั่วไป หรือ ตามที่ชื้นข้างทางที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 1,000 เมตร


ประโยชน์และสรรพคุณผักเป็ด

  1. ใช้เป็นยาดับพิษโลหิต
  2. ช่วยฟอกโลหิตประจำเดือน
  3. แก้ประจำเดือนขัดช่อง
  4. ช่วยขับน้ำนม ในสตรีให้นมบุตร
  5. แก้กำเดาไหล
  6. ช่วยบำรุงโลหิต
  7. ใช้แก้อาการร้อนใน
  8. แก้กระหายน้ำ
  9. แก้ไอ
  10. แก้เจ็บคอ
  11. แก้อาเจียนเป็นเลือด
  12. ใช้เป็นยาระบาย
  13. แก้ถ่ายเป็นเลือด
  14. ช่วยขับปัสสาวะ
  15. แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ
  16. แก้บวมน้ำ
  17. ใช้พอกแผลฝี หนอง
  18. แก้ผดผื่นคัน
  19. แก้อาการปวดหัวไมเกรน
  20. ช่วยขับเมือกในลำไส้
  21. ช่วยทำให้เลือดหมุนเวียนดี
  22. แก้พิษงู
  23. แก้แมลงสัตว์กัดต่อย
  24. ใช้พอกแผล
  25. ใช้ลดไข้
  26. ช่วยบำรุงสายตา
  27. แก้ท้องเสีย
  28. บำรุงน้ำนมหลังคลอด
  29. แก้ปวดเกร็งช่องท้อง
  30. แก้ช่องท้องอักเสบ
  31. แก้หลอดลมอักเสบ
  32. แก้หอบหืด
  33. แก้แน่นหน้าอก

           ในประเทศไทยมีการนำผักเป็ด มาใช้เป็นผัก หรือ กินเป็นอาหารตั้งแต่อดีตแล้ว โดยนำมาปรุงอาหาร หรือ นำมาใช้เป็นผักสดสำหรับจิ้มน้ำพริกปลาร้า หรือ นำไปชุบแป้งทอดนำมาจิ้มน้ำพริก ส่วนในประเทศศรีลังกา เกาะมาดากัสการ์ ลาว เวียดนาม กัมพูชา และมาเลเซีย ก็มีการนำผักเป็ดมาใช้รับประทานเป็นผัก เช่นกัน นอกจากจะนำผักเป็ดมาเป็นอาหารของคนแล้วยังสามารถนำผักเป็ดมาใช้เป็นอาหารของสัตว์ได้ดี เช่น หมู วัว เป็ด ไก่ กระต่าย หรือ นำผักเป็ด มาผสมเป็นอาหารของปลาก็ได้ เนื่องจากมีคุณค่าทางอาหารสูง

ผักเป็ด

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้ลดไข้ บำรุงสายตา แก้ท้องเสีย บำรุงน้ำนมหลังคลอด แก้ปวดเกร็งช่องท้อง แก้ช่องท้องอักเสบ แก้หลอดลมอักเสบ แก้หอบหืด แน่นหน้าอก โดยนำใบผักเป็ดมารับประทาน หรือนำมาต้มน้ำดื่มก็ได้
  • ใช้แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ไอ เจ็บคอ อาเจียนเป็นเลือด ขับปัสสาวะ แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ แก้บวมน้ำ โดยนำทั้งต้นผักเป็ดแห้ง 15-35 กรัม มาต้มกับน้ำดื่ม หากเป็นต้นสดใช้ 70-100 กรัม นำมาตำ หรือ คั้นเอาน้ำรับประทาน
  • ใช้แก้ปวดไมเกรน ขับเมือกในลำไส้ ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี โดยนำต้นและใบผักเป็ดมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ถ่ายเป็นเลือด ใช้แก้การโดยใช้ต้นผักเป็ด สดผสมกับจุ๋ยหงู่ซิก เหลาะตี้จินเซียน อย่างละ 60 กรัม นำไปตุ๋นรวมกันกับเนื้อหมูรับประทาน
  • ใช้แก้พิษงู แมลงสัตว์กัดต่อย โดยใช้ต้นผักเป็ดสด 100 กรัม นำมาตำให้พอแหลกผสมกับเหล้าโรงเล็กน้อย คั้นเอาน้ำรับประทานส่วนกากที่เหลือนำมาพอกบาดแผล
  • ใช้แก้พิษฝี มีหนอง แก้ผดผื่นคัน โดยนำต้นสดตำพอก หรือ ต้มเอาน้ำใช้ชะล้างบริเวณที่เป็น


ลักษณะทั่วไปของผักเป็ด

ผักเป็ด จัดเป็นไม้ล้มลุกเนื้ออ่อนขนาดเล็ก อายุปีเดียวลำต้นมีสีแดงและสีขาวอมเขียวตั้งตรง หรือ อาจเลื้อยก็แล้วแต่สภาพแวดล้อม โดยลำต้นมีความสูงประมาณ 10-19 เซนติเมตร ตามข้อของลำต้นจะมีรากและระหว่างข้อต่อมีร่อง อีกทั้งมีขนปกคลุมเล็กน้อย

           ใบผักเป็ด เป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน บริเวณข้อของลำต้น ใบมีขนาดกว้าง 0.2-2 เซนติเมตร ยาว 1-8 เซนติเมตร ลักษณะของใบมีรูปร่างไม่แน่นอน ซึ่งมักจะขึ้นอยู่กับสภาพดินและสภาพแวดล้อม โดยจะมีทั้งใบแคบ ยาว เรียว ปลายแหลม หรือ ปลายมน หรือ อาจมีใบเป็นรูปไข่กลับก็ได้ แผ่นใบบางเป็นมันเงามีสีเขียว ขอบใบเรียบ หรือ เป็นหยักเล็กน้อย ไม่มีก้านใบ หรือ มีแต่จะขนาดสั้นมาก

           ดอกผักเป็ด ออกเป็นช่อกลมๆ ขนาดเล็กบริเวณง่ามใบ ช่อดอกยาว 0.5-1 เซนติเมตร โดยในช่อดอกหนึ่งจะมีดอกย่อย 1-4 ดอก ลักษณะของดอกย่อยจะมีกลีบดอกสีขาว หรือ สีม่วงแดงจำนวน 5 กลีบ มีเกสรเพศผู้ 3 ก้าน และเกสรเพศเมีย 1 ก้าน ซึ่งในแต่ละกลีบดอกจะมีใบเป็นเยื่อบางๆ สีขาว 2 อัน

           ผลผักเป็ด เป็นผลแห้งขนาดเล็กมากพบอยู่ในดอกลักษณะเป็นรูปไต หรือ รูปหัวใจกลับมีขนาดกว้างประมาณ 2 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร

ผักเป็ด
ผักเป็ด

การขยายพันธุ์ผักเป็ด

ผักเป็ด สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด แต่ในปัจจุบันไม่นิยมนำผักเป็ดมาปลูก หรือ ขยายพันธุ์เนื่องจากผักเป็ดจัดเป็นวัชพืชชนิดหนึ่ง เพราะมีความแข็งแรงทนทานและขยายพันธุ์ได้เองอย่างรวดเร็ว ทั้งบนบกและในน้ำตื้นๆ หรือ หากมีมากอาจเกาะกันเป็นเกาะลอยน้ำได้เช่นเดียวกับผักตบชวา หรือ ผักบุ้ง ดังนั้นการขยายพันธุ์ผักเป็ดจึงเป็นการขยายพันธุ์โดยธรรมชาติเท่านั้น ทั้งนี้ผักเป็ด จัดเป็นพันธุ์ไม้กลางแจ้งชอบแดดจัด แต่ก็ชอบดินร่วนที่มีความชื้นแฉะและยังสามารถขึ้นในที่น้ำขังในระดับตื้นได้


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของใบผักเป็ดและสารสกัดจากใบของผักเป็ดพบว่ามีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น ส่วนใบของผักเป็ดพบสาร 3β-Oβ-Dglucopyranosyluronic, 2β-Oβ-Dglucopyranosyloleanolic acid, stigmasterol และ βsitosterol, β-carotene, ricinoleic acid, myristic acid, palmitic, stearic, oleic and linoleic acids, α-spiraterol and uronic acid, cycloeucalenol, choline, oleanolic acid, lupeol, campesterol, ferulic acid, catechin, vanillic acid, and epigallocatechin, gallic acid และ chlorogenic acid ส่วนสารสกัดจากส่วนใบผักเป็ด พบสาร saponin, flavonoids, stigmasterol, beta-sitosterol, betacarotene iron, -catechin, rutin, ellagic acid และ quercetin เป็นต้น นอกจากนี้น้ำมันหอมระเหยจากส่วนใบยังพบสาร 1,1,1,5,5,5-hexamethyl-3,3-bis[trimethylsilyl) oxy]trisiloxane (15.43%), S,S-dioxide trans-2-methyl-4-Npentylthiane (11.27%), didodecylphthalate (10.62%) และ tetrahydro-2,5-dimethoxy furan (10.01%)

โครงสร้างผักเป็ด

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของผักเป็ด

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดผักเป็ด จากส่วนต่างๆ ของผักเป็ด ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ ดังนี้

           มีรายงานผลการศึกษาระบุว่า สารสกัดเอธานอลของผักเป็ด มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ 70% ในการทดสอบการต้านอนุมูลอิสระแบบ DPPH และมีรายงานฤทธิ์ต้านการอักเสบในสัตว์ทดลองของสารสกัดของผักเป็ด พบว่าสารสกัดจากใบผักเป็ดในขั้นคลอโรฟอร์มา 200 mg/kg ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ดีที่สุดและยังพบว่าสารสกัดเหนือดินชั้นน้ำและเอทานอล 125-500 mg/kg มีฤทธิ์ต้านเบาหวาน อีกทั้งยังมีรายงานการศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยทดสอบสารสกัดเมทานอลด้วยวิธี phosphomolybdate ได้สูงสุดที่ 12.044 mM เมื่อเทียบกับ ascorbic acid ต่อกรัมของสารสกัดและ DPPH (IC50 587.093 ug/mL) นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าส่วนผสมของสารไดแอสเทอริโอเมอร์ของไอโอโนนที่พบในสารสกัดจากส่วนเหนือดินของผักเป็ด ยังมีฤทธิ์ต้านจุลชีพต่ำต่อเชื้อ Pseudomonas aeruginosa และ Trichophyton mentagrophytes อีกด้วย


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของผักเป็ด

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสารสกัดน้ำจากส่วนเหนือดินของผักเป็ดระบุว่า เมื่อให้สารสกัดน้ำจากส่วนเหนือดินของผักเป็ด ในหนูสวิสทางปาก ในปริมาณวันละ 16.9 มก. 33.8 มก. และ 67.7 มก.ติดต่อกัน เป็นเวลา 14 วัน พบว่าไม่ก่อให้เกิดอาการพิษรุนแรง ยกเว้นอาการท้องร่วงในสัตว์หนึ่งตัว ในกลุ่มที่ได้รับปริมาณสูงและสารสกัดดังกล่าวยัง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาในเนื้อเยื่อตับและไต มีการเสื่อมของเซลล์ตับในระดับปานกลางถึงรุนแรงและมีการเสื่อมของเซลล์ท่อไตในระดับปานกลาง


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

แพทย์แผนโบราณของไทยจะนิยมเก็บยอดผักเป็ดก่อนพระอาทิตย์ขึ้นและจะเลือกเก็บเฉพาะต้นที่ดอกยังไม่แก่ เนื่องจากหากดอกแก่สารอาหารในต้นและในใบจะมีน้อย อีกทั้งดอกจะดึงสารอาหารมาใช้ในการสร้างเมล็ด สำหรับการใช้ผักเป็ด เป็นสมุนไพรนั้น ก็ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจนเกินไปเพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้


เอกสารอ้างอิง ผักเป็ด
  1. มาโนช วามานนท์, เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ. ในผักพื้นบ้าน. ความหมายและภูมิปัญญาของสามัญชนไทย. สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. 2538,.133.
  2. ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม. ผักเป็ด, หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย. ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 503-504
  3. เดชา ศิริภัทร.ผักเป็ด : ผักสามัญที่ไม่ไร้ความสำคัญ. คอลัมน์พืช.ผัก-ผลไม้. นิตยสารหมอชาวบ้านเล่มที่ 248. ธันวาคม 2542.
  4. อุทัย สินธุสาร. ในสมุนไพรร้านเจ้ากรมเป๋อ, กรุงเทพฯ. 2545, 186-187.
  5. วิทยา บุญวรพัฒน์. ผักเป็ดขาว. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน. ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. หน้า 352.
  6. นาฎศจี นวลแก้ว. โครงการศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดจากผักพื้นบ้านไทย. รายงานการวิจัยสมบูรณ์. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ตุลาคม 2556. 245 หน้า
  7. Tanaka, Y.; Van Ke, N. Edible Wild Plants of Vietnam: The Bountiful Garden. Thailand: Orchid Press. 2007, p. 21.
  8. Quattrocchi U. CRC world dictionary of medicinal and poisonous plants: Common names, scientific names, eponyms, synonyms, and etymology. Volume I A-B. Boca Raton, Florida: CRC Press, 2012; p. 219-219.
  9. Walter, T.M.; Merish, S.; Tamizhamuthu, M. Review of Alternanthera sessilis with reference to traditional Siddha medicine. Int. J. Pharmacog. Phytochem. Res. 2014, 6, 249-254.
  10. Ragasa, C.Y.; Tremor, N.; Redeont, J.A. Ionone derivatives from Alternanthera sessilis. J. Asian Nat. Prod. Res. 2002, 4, 109-115
  11. Güzel, Y. A new invasive weed record for Turkey: Alternanthera sessilis (Amaranthaceae). Plant Prot. Bull., 2017, 57, 1, 65-72,.
  12. Igoli JO, Ogaji OG, Tor-Anyiin TA, Igoli NP. Traditional medicine practice amongst The Igede People of Nigeria. Our Nature. 2005;2(2):134-152.
  13. Vani, M.; Rahaman, S.K.A.; Rani, A.P. Detection and quantification of major phytochemical markers for standardization of Talinum portulacifolium, Gomphrena serrata, Alternanthera sessilis and Euphorbia heterophylla by HPLC. Pharmacog. J. 2018, 10, 439-446.
  14. Acharya E, Pokhrel B. Ethno-medicinal plants used by Bantar of Bhaudaha, Morang, Nepal. Our Nature. 2006;4(1):96-103.
  15. Khan, M.S.; Yusufzai, S.K.; Kaun, L.P.; Shah, M.D.; Idris, R. Chemical composition and antioxidant activity of essential oil of leaves and flowers of Alternanthera sessilis red from Sabah. J. App. Pharm. Sci. 2016, 6, 157- 161
  16. Kapundu, M.; Lami, N.; Delaude, C. Analysis of saponin from Alternanthera sessilis. Bull. Soc. Roy. Sci. Liege. 1986, 55, 605-606
  17. Gupta, R.; Singh, H.K. Detection and quantification of gallic acid in Alternanthera sessilis and Clerodendrum infortunatum by HPTLC. Int. J. Pharm. Pharmacol. 2016, 4, 467-471.