มะไฟ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
มะไฟ งานวิจัยและสรรพคุณ 21 ข้อ
ชื่อสมุนไพร มะไฟ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น หมากไฟ (ภาคอีสาน), ส้มไฟ (ภาคใต้), หัมกัง (เพชรบูรณ์), แซเครือแช (กะเหรี่ยง), ผะยิ้ง (เขมร)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Baccaurea ramiflora Lour.
ชื่อสามัญ PHYLLANTHACEAE
ถิ่นกำเนิดมะไฟ
มะไฟ จัดเป็นพืชที่คนไทยปลูกกันมานานมากแล้ว โดยมีถิ่นกำเนิดในประเทศอินโดนีเซีย สันนิษฐานว่าแพร่เข้ามาในประเทศไทยในช่วงสมัยอยุธยาพร้อมกับการค้าขาย โดยเริ่มปลูกช่วงแรกในแถบภาคใต้ ในปัจจุบันสามารถพบมะไฟ ได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทยตามสวนไร่นา และยังมีการปลูกไว้ตามบ้านเรือนอีกด้วย
ประโยชน์และสรรพคุณมะไฟ
- บำรุงธาตุในร่างกาย
- ช่วยทำให้ชุ่มคอ
- รักษาอาการอาหารไม่ย่อย
- แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- แก้โรคหวัด
- ช่วยบรรเทาอาการไอ
- ช่วยขับเสมหะ
- ช่วยละลายเสมหะ
- ใช้ขับปัสสาวะ
- ใช้ถ่ายพยาธิ
- แก้พิษฝี
- รักษากลากเกลื้อน และโรคเรื้อน
- ช่วยดับพิษร้อน
- แก้ฝีภายใน
- แก้ไข้
- แก้อาการผิวหนังอักเสบชนิดที่เป็นถุงน้ำและลอกออกมา
- แก้โรคเริม
- แก้พิษตานซาง
- แก้อาการท้องร่วง
- แก้โรคหวัด
- บรรเทาอาการไข้ประดง
มะไฟจัดเป็นผลไม้พื้นบ้านของไทยเนื่องจากมีการปลูกกันมาอย่างช้านานแล้ว โดยนิยมนำผลสุกมารับประทานเป็นผลไม้ซึ่งจะมีรสหวานอมเปรี้ยว ซึ่งในปัจจุบันมีการนำมาแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ ส่วนผลอ่อนนำไปใช้แกง อีกทั้งยังมีการใช้มะไฟ ในการปรุงอาหารอย่างการดอง หรือ นำไปหมักทำไวน์ นอกจากนี้ยังมีการนำเปลือกต้นมาใช้ย้อมผ้าโดยจะให้สีดำน้ำตาล
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้ทำให้ชุ่มคอ แก้ท้องอืด แก้ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย โดยนำผลสุกมารับประทานสด
- ใช้บำรุงธาตุ ใช้ถ่ายพยาธิ ขับปัสสาวะ แก้โรคหวัด บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ และช่วยละลายเสมหะ โดยนำใบมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้รักษากลากเกลื้อน และโรคเรื้อน แก้พิษฝี โดยนำใบสดมะไฟ มาขยี้ หรือ ตำให้ละเอียดพอกบริเวณที่เป็น
- ใช้แก้ฝีภายใน บรรเทาอาการไข้ประดง รักษาโรคเริม แก้พิษตานซาง โดยนำรากสด หรือ รากแห้งมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้อาการผิวหนังอักเสบชนิดที่เป็นถุงน้ำลอกออกมา โดยนำรากสด หรือ รากแห้งมาต้มกับน้ำใช้ชะล้างบริเวณที่เป็น
ลักษณะทั่วไปของมะไฟ
มะไฟ จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ลำต้นสูง 10-15 ม. ไม่ผลัดใบมีขนาดทรงพุ่ม 6-8 ม. ทรงพุ่มกลม แน่น ทึบ เปลือกต้นเรียบ หรือ อาจแตกเป็นสะเก็ดตามแนวยาวสีน้ำตาลปนเทา หรือ สีน้ำตาลแดงฃ
ใบมะไฟ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนสลีบ ลักษณะใบรูปหอกแกมรูปขอบขนาน กว้าง 6-10 ซม. ยาว 10-20 ซม. ขอบใบเรียบ หรือ หยักเป็นติ่งโคนใบสอบแคบ ปลายใบเรียวแหลม ผิวใบบางเกลี้ยง สีเขียวเป็นมันด้านบนของใบมีสีเขียวเข้ม ท้องมบสีจางกว่าหลังใบ มีก้านใบยาว 3-7 ซม.
ดอกมะไฟ ออกเป็นช่อ บริเวณซอกใบบริเวณปลายกิ่ง และลำต้น ดอกมีก้านช่อดอกยาว โดยดอกเป็นดอกแยกเพศ ต่างช่อ และต่างต้น สั้นกว่าช่อดอกเพศเมีย ช่อดอกจะห้อยลงยาว 10-30 ซม. ในแต่ละช่อจะมี ดอกย่อย 10-15 ดอก เป็นดอกขนาดเล็กมีกาบรองดอก กลีบเลี้ยง 4 กลีบ สีส้มอมเหลือง ซ้อนกันไม่มีกลีบดอก มีขนาด เส้นผ่านศูนย์กลางดอก 0.3-1 ซม.
ผลมะไฟ เป็นผลสดทรงกลม มีขนาด 2-2.5 ซม. เนื้อผลอวบน้ำ ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีเหลือง เปลือกผลหนา และเหนียวด้านในมีเมล็ดค่อนข้างแบนมีเยื่อสีชมพูห่อหุ้ม ในหนึ่งผลมี 1-3 เมล็ด
การขยายพันธุ์มะไฟ
มะไฟสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ด และการตอนกิ่งซึ่งในปัจจุบันนิยมปลูกพันธุ์เหรียญทอง พันธุ์ไข่เต่า และมะไฟสีม่วง เป็นต้น สำหรับการเพาะเมล็ด และการตอนกิ่งมะไฟ นั้นสามารถทำได้เช่นเดียวกับการเพาะเมล็ด และการตอนกิ่งไม้ยืนต้นชนิดอื่นๆ ซึ่งได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานการศึกษาวิจัยถึงองค์ประกอบทางเคมีในเนื้อผล และเยื่อผลมะไฟ ในต่างประเทศระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด เช่น Phloridzin, Engeletin, Hesperidin, Rhusflavanone, Rhusflavanone, Procyanidin B1, Oleamide, α-eleostearic acid, Caftaric acid, Ethylparaben, Paeonolide, Peucedanol, Rosavin, Decursinol, Rosamultin, α-Hederin, Lupenone, Atractyloside A, Lupeol, Forsythoside E, Helicid, Androsin, Citric acid, Gabapentin เป็นต้น
การศึกษาทางเภสัชวิทยาของมะไฟ
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของพฤกษเคมีที่อยู่ในเนื้อเยื่อเปลือกผล ผล ใบ และรากของมะไฟ ในต่างประเทศระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาดังนี้
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ สารสกัดเอทานอลจากส่วนเปลือกผล เนื้อเยื่อผล ราก และใบ ของมะไฟ มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ฤทธิ์แก้ปวด และฤทธิ์ต้านการอักเสบ
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของมะไฟ
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
สำหรับการรับประทานผลสุกของมะไฟ ซึ่งมีรสหวานอมเปรี้ยวนั้นควรรับประทานแต่พอดี เพราะหากรับประทานเป็นจำนวนมากแล้วอาจทำให้เกิดอาการปวดมวนท้อง ท้องเสียได้ ส่วนในการนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรนั้นก็ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาด และปริมาณ ที่พอดีที่ระบุไว้ในตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไปเพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง มะไฟ
- ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ 2551 พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยง ที่ตำบลบ้านจันทร์และแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ วิทยานิพนธ์ (วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 271 หน้า.
- มะไฟ. พืชกินได้ในป่าสะแกราช. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วว.). หน้า 247-248.
- นิดดา หงส์วิวัฒน์ และทวีทอง หงส์วิวัฒน์. มะไฟ ใน ผลไม้ 111 ชนิด : คุณค่าอาหารและการกิน. กทม. แสงแดด. 2550. หน้า 169-170.
- มะไฟ มะไฟจีน สรรพคุณและการปลูกมะไฟ. พืชเกษตรดอทคอม เว็บเพื่อพืชเกษตรไทย (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก http://www.puechkaset.com
- A. Inta, P. Trisonthi, C. Trisonthi Analysis of traditional knowledge in medicinal plants used by Yuan in Thailand J. Ethnopharmacol, 149 (1) (2013), pp. 344-351.
- B.T. Li, G.G. Michael Flora of China, 11, Science Press, Beijing (2008), pp. 216-217.
- M.S. Uddin, M.S. Hossain, A.A. Mamun, et al. Phytochemical analysis and antioxidant profile of methanolic extract of seed, pulp and peel of Baccaurea ramiflora Lour Asian Pac. J. Trop. Med, 11 (7) (2019), pp. 443-450.
- T. Usha, S.K. Middha, M. Bhattacharya, et al. Rosmarinic acid, a new polyphenol from Baccaurea ramiflora Lour. leaf: a probable compound for its anti-inflammatory activity Antioxidants, 3 (2014), pp. 830-842.