สะแก ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
สะแก งานวิจัยและสรรพคุณ 28 ข้อ
ชื่อสมุนไพร สะแก
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น สะแกนา (ภาคกลาง), แก (ภาคอีสาน, อุบลราชธานี), แพ่ง (ภาคเหนือ), ขอนแข้, จองแข้ (แพร่), ซังแก (ปราจีนบุรี-เขมร)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Combretum quadrangulare Kurz.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Combretum attenuatum Wall., Combretum laccifera Pierre, Combretum quadrangulare Kurz var. lanceolatum Gagnep.
ชื่อสามัญ Bushwillows, Combretums
วงศ์ COMBRETACEAE
ถิ่นกำเนิดสะแก
สะแกเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดียแล้วมีการกระจายพันธุ์เข้ามายังพม่า และภูมิภาคอินโดจีนในประเทศไทย, ลาว, กัมพูชา, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย ฯลฯ มักพบตามที่โล่ง หรือ ตามเขาหินปูนเตี้ยๆ ที่มีความสูง จากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 250 เมตร ส่วนในประเทศไทยพบว่าสะแก เป็นพันธุ์ไม้ที่มีในประเทศมานานมากแล้วโดยสามารถพบได้ตามป่าละเมาะทั่วไป ป่าเต็งรัง หรือ ริมธารน้ำชายป่า หรือ ตามริมถนน, ในท้องนารวมถึงที่รกร้างทั่วไป
ประโยชน์และสรรพคุณสะแก
- ช่วยขับพยาธิเส้นด้าย พยาธิไส้เดือน ในเด็ก
- แก้ซางตานขโมย
- รักษามะเร็ง
- รักษาคุดทะราด
- แก้พิษปวดเมื่อยตามร่างกาย
- แก้ไข้
- แก้บาดแผล
- รักษาแผลสด
- แก้บิดมูกเลือด
- แก้โรคหนองใน
- แก้แผลในที่ลับ
- แก้อาเจียนเป็นเลือด
- แก้กามโรคเข้าข้อออกดอก
- แก้คันทวารเด็ก
- รักษาฝีมะม่วง ฝีต่างๆ
- แก้น้ำเหลืองเสีย
- แก้พิษไข้เซื่องซึม
- แก้ไข้สันนิบาต
- แก้ผอมแห้ง
- แก้ริดสีดวง
- แก้เสมหะ
- แก้ตกมูกเลือด
- รักษาพุงโรก้นปอด
- รักษาอุจจาระหยาบ เหม็นคาว
- แก้ฝีตานซาง
- แก้ปวดมดลูก
- แก้มดลูกอักเสบ
- ช่วยขับน้ำคาวปลาสำหรับผู้หญิงหลังคลอดบุตร
มีการนำสะแก มาใช้ประโยชน์ต่างๆ เช่น ชาวบ้านในชนบทมักจะเอาต้นสะแกนาไปทำฟืน และใช้เผาถ่านกันมาก เพราะแก่นของต้นสะแกนามีความแข็งมาก และเนื้อไม้ มีค่าคาร์บอนสูง จึงให้ความร้อนสูง และให้ไฟแรง ยังมีการใช้ผลดิบนำมาแช่กับน้ำไว้ให้วัว หรือ ควายกินเป็นยาขับพยาธิได้
รูปแบบและขนาดวิธีการใช้
การใช้สะแก รักษาโรคพยาธิไส้เดือนตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน)
- ใช้เมล็ดแก่ 1 ช้อนโต๊ะ (3 กรัม) ตำให้ละเอียด ทอดกับไข่ 1ฟอง ไม่ต้องใส่เครื่องปรุงรับประทานเปล่าๆ พยายามรับประทานให้มากที่สุด (7-9)
- ใช้เมล็ดประมาณ 1 ช้อนหวาน ตำละเอียดผสมไข่ 1 ฟอง ทอดให้เด็กอายุ 5-6 ปี รับประทานเมื่อท้องว่าง ใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง ถ้าไม่ถ่ายให้รับประทานยาถ่ายเอาตัวออก หรือ ใช้ขับพยาธิไส้เดือน พยาธิเส้นด้ายในเด็ก โดยใช้เมล็ดแก่ 1 ช้อนคาว (ประมาณ 3 กรัม) หรือ 15-20 เมล็ด ตำให้ละเอียด ทอดกับไข่รับประทาน ทอดกินครั้งเดียวขณะท้องว่าง
- รากมีรสเมาใช้ปรุงเป็นยาแก้ไส้ด้วนไส้ลาม
- เนื้อไม้นำมาต้มกับน้ำดื่ม จะช่วยขับน้ำคาวปลาสำหรับหญิงหลังคลอดบุตร
- ใบอ่อนใช้ตำพอกเป็นยารักษาแผลสด แก้บาดแผล
- ใช้ใบอ่อนใช้ปรุงเป็นยาแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
ลักษณะทั่วไปของสะแก
สะแก จัดเป็นไม้ยืนต้น สูง 15-20 เมตร เปลือกต้นมีสีเทานวล กิ่งอ่อนเป็นสันสี่มุม ส่วนต่างๆ ของลำต้น มีขนเป็นเกล็ดกลม ต้นที่มีอายุมากบริเวณโคนลำต้น พบหนามแหลมยาว แข็ง ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม แผ่นใบรูปไข่กลับ หรือ รูปไข่กลับแกมขอบขนาน กว้าง 3-6 เซนติเมตร ยาว 6-15 เซนติเมตร ปลายมน หรือ เว้าเป็นแอ่งตื้นๆ ขอบใบเรียบ หรือ หยักเป็นคลื่นเล็กน้อย โคนสอบแคบไปยังก้านใบ ก้านใบสั้น เนื้อใบหนาเป็นมัน ผิวใบทั้งสองด้านมีเกล็ดสีเงินหนาแน่น ใบมีสีเขียวสด ผิวใบด้านบนสากมือดอกมีขนาดเล็ก สีขาว หรือ เหลืองอ่อน ออกเป็นช่อที่ซอกใบ และปลายยอด แบบช่อเชิงลด ยาว 4-5 เซนติเมตร ไม่มีก้านดอก ช่อหนึ่งมีดอกเล็กๆ จำนวนมาก กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวยปลายแยก 4 กลีบ สีขาวอมเหลือง กลีบดอก 4 กลีบ สีขาวอมเหลือง รูปไข่กลับ ปลายมน หลุดร่วงง่าย เกสรเพศผู้มี 8 อัน เกสรเพศเมีย มีรังไข่เหนือวงกลีบ ผลเป็นผลแห้ง ขนาด 1-2 เซนติเมตร รูปไข่ มีครีบ 4 ครีบ มีสีน้ำตาลอมขาว เมล็ดมีสีน้ำตาลแดง รูปกระสวย มี 4 สัน ตามยาว
การขยายพันธุ์สะแก
สะแกสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ดโดยมีวิธีการดังนี้
เตรียมแปลงเพาะชำ อยู่ในร่มไม้ หรือ กลางแจ้งก็ได้ ขนาดกว้างประมาณ 1 เมตร ความยาวตามความเหมาะสม (ความยาว 1x10 เมตร จะเพาะกล้าไม้ได้ประมาณ 20,000 ต้น) แล้วลงทราย รองพื้นบางๆ ประมาณ 2 ซม.แล้วพรมน้ำปรับพื้นแปลงเพาะชำให้เรียบ ส่วนการเตรียมเมล็ดสะแกก่อนเพาะชำ ให้นำเมล็ดสะแกแช่น้ำประมาณ 1 คืน แล้วแกะเปลือกออก นำเมล็ดสะแก ที่แกะเปลือกแล้ว หว่านลงบนแปลงเพาะชำแล้วโรยทรายทับบางๆ (พอให้มิดเมล็ดสะแก) นำหญ้า/ฟาง แห้งโรยทับบางๆ และรดน้ำเช้า-เย็น ประมาณ 7-10 วัน ต้นอ่อนจะเริ่มงอกเป็นต้นกล้าเล็กๆ จากพื้นถอนต้นอ่อนที่ออกเป็นคู่ที่ 2-3 แล้วนำไปเพาะเลี้ยงในถุงชำ นำกล้าสะแกที่ได้ไปปลูกในฤดูฝน เมื่อไม้ได้อายุประมาณ 2-3 ปี ก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
ทั้งนี้ในการเก็บเมล็ดสะแก ให้เก็บไว้ในที่ร่ม เปิดปากถุงโดยไม่นำไปตากแดด เพราะจะทำให้เมล็ดแห้ง ฝ่อและตายไป และควรเพาะชำเมล็ดสะแกที่แก่ลงแปลงเพาะชำโดยเร็ว เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพ
องค์ประกอบทางเคมี
ในเมล็ดสะแกนา มีสารจำพวก Flavonoid ที่ชื่อว่า Combretol และมี B-sitosterol, Carboxylic acid, Penacyclic, Triterpene, glucoside เป็นต้น ส่วนในรากกับเมล็ด มี Pentacyclic triterpen carboxylic acid ซึ่งได้แก่ 3B,6B,18B-trihydroxyurs-12-en-30-oic และ B-sitosterol, B-sitosterol glucoside
รูปภาพองค์ประกอบทางเคมีของสะแก
ที่มา : Wikipedia
การศึกษาทางเภสัชวิทยาของสะแก
ฤทธิ์ขับพยาธิไส้เดือน เมื่อให้วัวกินเมล็ดสะแก พบว่าจำนวนไข่ของพยาธิตัวกลมในปศุสัตว์ชนิด Neoascaris vitulorum ลดลงจนไม่พบอีกใน 1-3 สัปดาห์ต่อมา แต่มีผู้พบว่าเมื่อให้เด็กนักเรียนกินเมล็ดสะแก ชุบไข่ทอด ในขนาด 1.5 กรัม หรือ 3 กรัม ไม่ให้ผลในการขับพยาธิเส้นด้าย และมีอาการข้างเคียง คือ มึนงง คลื่นไส้ สารสกัดแอลกอฮอล์ 95% มีฤทธิ์ฆ่าพยาธิ เมื่อให้ไก่ไข่ได้รับอาหารที่มีเมล็ดสะแก เป็นส่วนผสมลงในอาหาร ในอัตราส่วน 1 กรัม/น้ำหนักไก่ 1 กิโลกรัม โดยทดลองในไก่จำนวน 5 กลุ่มๆ ละ 4 ซ้ำๆ ละ 8 ตัว นาน 23 วัน และทำการเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมโดยใช้ยาถ่ายพยาธิปิปเปอราซิน (piperazine) ในขนาด 15 มิลลิกรัม/น้ำหนักไก่ 1 กิโลกรัม พบว่ากลุ่มที่ได้รับเมล็ดสะแก เป็นส่วนผสมลงในอาหาร สามารถกำจัดพยาธิไส้เดือน (Ascaridia galli) ได้ 63% ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับยาถ่ายพยาธิปิปเปอราซินสามารถกำจัดพยาธิไส้เดือนได้ 100%
ฤทธิ์ปกป้องตับของสาร triterpene glucosides จากเมล็ดสะแก สารสกัดเมธานอลจากเมล็ดสะแกนา (Combretum quadranqulare Kurz.) แสดงฤทธิ์ปกป้องตับ (hepatoprotective activity) เมื่อทดลองในเซลล์ตับเพาะเลี้ยงที่ถูกทำลายด้วย D-galactosamine/tumor necrosis factor-ต เมื่อนำสารสกัดเมธานอลมาแยกให้บริสุทธิ์ได้สารกลุ่ม triterpene glucosides ชนิดใหม่ซึ่งแสดงฤทธิ์ปกป้องตับคือสาร quadranosides 1,2 และ5 ที่ความเข้มข้น 50 ไมโครโมลาร์ สารทั้ง 3 แสดงฤทธิ์ยับยั้งการทำลายเซลล์ตับได้ 37.6, 40.9 และ 67.5% ตามลำดับ
ฤทธิ์ป้องกันการทำลายตับของสะแก สารสกัดเมธานอลจากใบสะแกนา (Combretum quadranqulare Kurz.) แสดงฤทธิ์ป้องกันการทำลายตับในหนูทดลองที่ถูกชักนำให้ตับถูกทำลายด้วย D-galactosamine (D-GalN)/lipopolysaccharide (LPS) และในเซลล์ตับเพาะเลี้ยงที่ถูกทำลายด้วย D-GalN/tumor necrosis factor-Alpha (TNF-Alpha) โดยสามารถแยกสารสกัดบริสุทธิ์จากใบสะแกนาได้มากกว่า 30ชนิด และพบว่าสารประเภทฟลาโวนอยด์ (flavonoids)และไตรเทอร์ปีนชนิดไซโคลอาร์เทน (cycloartane -type triterpenes) มีคุณสมบัติป้องกันการทำลายตับ
นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดชั้นเอทานอลจากใบสะแกสามารถยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อ HIV-1 (IC100 : 12.5 mcg/ml) และสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ HIV-1 integrase ได้ (IC50 : 2.5 mcg/ml)
การศึกษาทางพิษวิทยาของสะแก
การทดสอบความเป็นพิษ การทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันของสารสกัดเมล็ดสะแกนา ด้วยเมทานอล 80% โดยการป้อนทางปากกับหนูเม้าส์เพศผู้ หนูเม้าส์เพศเมีย หนูแรทเพศผู้ และหนูแรทเพศเมีย พบว่ามีพิษปานกลาง และทำให้สัตว์ทดลองตาย นอกจากนี้การทดลองพิษกึ่งเฉียบพลัน ในหนูตัวผู้และตัวเมีย เมื่อให้สารสกัด 1 กรัม/กิโลกรัม เป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบมีความสัมพันธ์เล็กน้อยกับน้ำหนักในการเจริญ เติบโต แต่ไม่มีผลต่อตับเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม เมล็ดสะแกนาเมื่อให้ทางปากกับหนูแรท และหนูเม้าส์ในขนาด 0.582 และ 1.985 กรัม/กิโลกรัม ต่อครั้ง พบว่าไม่มีพิษเฉียบพลัน
นอกจากนี้ยังมีการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลันของสารสกัดเมล็ดสะแกนาด้วยเอทานอล 80% ซึ่งให้ทางปากกับหนูแรทเพศผู้ หนูแรทเพศเมีย หนูเม้าส์เพศผู้ และหนูเม้าส์เพศเมีย พบว่ามีพิษปานกลาง และทำให้สัตว์ทดลองตาย และ เมื่อให้สารสกัดเมล็ดสะแกนาครั้งเดียวฉีดเข้าทางช่องท้องหนูทั้ง 4 ชนิด พบว่ามีพิษมาก และทำให้สัตว์ทดลองตาย ส่วนความเป็นพิษกึ่งเฉียบพลันทดสอบโดยการป้อนสารสกัดทางปากทุกวัน ขนาดวันละ 0.5, 1.0 และ 2.0 กรัม/กิโลกรัม พบว่าหนูเม้าส์ไม่สามารถทนสารสกัดขนาด 1 และ 2 กรัม/กิโลกรัม ได้ การตรวจอวัยวะภายในด้วยตาเปล่าพบลักษณะเลือดคั่งที่ลำไส้ ตับ และไต ลำไส้โป่งบวม เมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์พบก้อนเลือดในหลอดเลือดต่างๆ พบภาวะเลือดคั่ง และมีเลือดออก ส่วนหนูแรททนสารสกัดขนาดวันละ 2 กรัม/กิโลกรัม ได้ ถึง 7 วัน โดยไม่แสดงอาการผิดปกติ
นอกจานี้กองวิจัยทางแพทย์กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ทำการศึกษาเรื่องพิษเฉียบพลันพบว่า เมื่อให้เมล็ดสะแก เข้าทางในปาก ของสัตว์ทดลองในขนาด 1.5 กรัม/กิโลกรัม มีผลทำให้สัตว์ทดลองแสดงอาการคือ ขาลาก ตาโปนแดง และตายเมื่อเพิ่มขนาดของยา
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
- จากผลการศึกษาวิจัยเรื่องพิษเฉียบพลันของกองวิจัยทางการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ชี้ให้เห็นว่าการระวังในเรื่องขนาดการใช้เมล็ดสะแก เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
- ไม่ควรใช้สะแก เป็นเวลานานจนเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้
- สำหรับเมล็ดสะแกที่ใช้เป็นยาสมุนไพรนั้นควรเก็บเมล็ดแก่ในช่วงฤดูร้อนเพราะเป็นช่วงที่เมล็ดมีสารออกฤทธิ์มากที่สุด
เอกสารอ้างอิง สะแก
- หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “สะแกนา (Sakae Na)”. หน้า 291.
- สมใจ นครชัย รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล ยุวดี วงษ์กระจ่าง คณิต อธิสุข. การทดสอบความเป็นพิษของสะแกนา : ตอนที่ 2. วารสารเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 2537;21(4):118-25.
- หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. “สะแกนา”. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ). หน้า 178.
- เทวีรัตน์ ศรีทอง อังคณา หาญบรรจง สุภาพร อิสริโยดม อาคม สังข์วรานนท์ อรุณี อิงคากุล. ประสิทธิภาพของผลมะเกลือ เมล็ดสะแกนา และต้นหญ้ายาง ต่อการกำจัดตัวเต็มวัยขิงพยาธิไส้เดือนในไก่ไข่. สมุนไพรไทย: โอกาสและทางเลือกใหม่ของอุตสาหกรรมผลิตสัตว์ ครั้งที่ 3, 11-12 พฤษภาคม, กรุงเทพฯ, 2548.
- กองวิจัยการแพทย์. สมุนไพรพื้นบ้าน ตอนที่ 1. กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. กระทรวงสาธารณสุข, 2526. หน้า 103.
- หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “สะแกนา”. หน้า 761-762.
- ฤทธิ์ป้องกันการทำลายตับของสะแกนา. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
- บวร เอี่ยมสมบูรณ์. ดงไม้. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2518.
- วีณา ศิลปอาชา. ตำรายาพื้นบ้าน. กรุงเทพฯ: โครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง, 2529.
- ฤทธิ์ปกป้องต้องของการ triterpene glucosides จากเมล็ดสะแก.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยสหิดล
- นิตยสารหมอชาวบ้าน. หมอไทยเชื่อหรือไม่. กรุงเทพฯ: เอช. เอน. การพิมพ์, 2525;4(35): 103-5.
- สะแกนา.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.phargarden.com/main.php?action=viewpage&pid=115
- สะแก.ฐานข้อมูลสมุนไพรที่มีการใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
- สะแกนา.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewpaye&pid=135
- Euswas P, Srirod S, Choontanom P, Chompoochant T. Studies on anthelmintic activity of sakae (Combretum quadrangulare Kurz). J Agri (Sci) 1988; 22: 201-6.
- กระจายพันธุ์จากอินเดียถึงคาบสมุทรอินโดจีนพบตามป่าละเมาะทั่วไป หรือ ริมธารน้ำชายป่าที่ระดับน้ำต่ำกว่า 250 เมตร
- Pipitkul W, Sribunlue P, Na Nakorn S, Chusilp K, Siamsatiansopon S. Study of herbal medicinal plants Combretum quadrangulareKurz. in treatment of thread worm in school children. Com Dis J 1987; 13(1): 33-44.
- Jongtaweesuk P, Chanjamjang P, Temsirivirkkul R, Wongkrajang Y. Toxicity test of Combretum quadrangulare Kurz. Special Project for the degree of B. Sc. (Pharm), Faculty of Pharmacy, Bangkok: Mahidol University, 1987.
- Somanabandhu A, Wungchinda S, Wiwat C. Chemical composition of Combretum quadrangulare Kurz. Abstract 4th Asian Symp. Med Plants Spices, 15-19 September, Bangkok, Thailand, 1980. p.114.