ลองกอง ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
ลองกอง งานวิจัยและสรรพคุณ 26 ข้อ
ชื่อสมุนไพร ลองกอง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ลางสาดเขา, สังสาดเขา (นครศรีธรรมราช)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Lansium domesticum Corr.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Aglaia dookkoo Griff.
วงศ์ MELIACEAE
ถิ่นกำเนิดลองกอง
อันที่จริงแล้ว ลองกอง จัดเป็นสายพันธุ์หนึ่งของลางสาด (ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์เดียวกัน) แต่จะมีลักษณะประจำพันธุ์บางอย่างที่แตกต่างกันเท่านั้น โดยถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของลองกอง มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบหมู่เกาะชวา หมู่เกาะมลายู หมู่เกาะฟิลิปปินส์ และทางตอนใต้ของประเทศไทย ต่อมาจึงได้มีการกระจายพันธุ์ไปยังประเทศในแถบอเมริกากลาง เช่น ซูรินัม เปอร์โตริโก และยับพบที่ออสเตรเรีย และฮาวาย อีกด้วย สำหรับในประเทศไทยลองกอง จัดเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศชนิดหนึ่ง โดยแหล่งเพาะปลูกลองกองที่สำคัญส่วนใหญ่จะอยู่ทางภาคใต้ เช่น สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, สงขลา, ปัตตานี, ยะลา และนราธิวาส เป็นต้น รองลงมา คือ ภาคตะวันออก และพบปลูกบ้างเล็กน้อยในภาคเหนือ และภาคกลาง
ประโยชน์และสรรพคุณลองกอง
- รักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้
- รักษามาลาเรีย
- แก้บิด
- แก้ท้องร่วง
- แก้พิษแมงป่อง
- แก้จุกเสียด
- แก้อาการอักเสบ อักเสบของแผล
- แก้อาการกล้ามเนื้อแข็งตัว
- แก้ปวดท้อง
- แก้วัณโรค
- รักษาแผล
- ช่วยลดน้ำหนอง
- ใช้บำรุงร่างกาย
- แก้ท้องเสีย
- แก้ไข้
- ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ
- แก้อาการปวดหู
- แก้ฝีในหู
- แก้เริม
- แก้ไฟลามทุ่ง
- แก้งูสวัด
- ช่วยลดความร้อนในร่างกาย
- ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
- ช่วยย่อยอาหาร
- ช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหาร
- ช่วยต้านการติดเชื้อ
ลองกอง เป็นผลไม้ที่ในปัจจุบันมีความนิยมในการรับประทานกันเป็นอย่างมากชนิดหนึ่ง โดยทั่วไปมักจะนิยมรับประทานเป็นผลไม้สด ให้รสชาติหวานอร่อยฉ่ำน้ำ และยังมีการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ลองกองกวน แยมลองกอง น้ำลองกอง และไวน์ลองกอง เป็นต้น ในด้านอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมความงามได้มีการนำสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของลองกอง มาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เสริมความงาม และผลิตภัณฑ์บำรุงที่ช่วยให้ ผิวหนังที่ช่วยลดสิวอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยลดรอยด่างดำได้อีกด้วย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้บำรุงร่างกาย ลดความร้อนในร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยเจริญอาหาร ย่อยอาหาร โดยนำผลลองกอง สุกมารับประทานสด
- ใช้รักษาโรคลำไส้ แก้โรคมาลาเรีย แก้บิด ท้องร่วง โดยนำเปลือกต้นลองกองมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้ท้องร่วง ปวดท้อง แก้บิด โดยนำเปลือกผลมาตากแห้ง นำมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้ไข้ แก้เริม ขับพยาธิ ต้านการติดเชื้อ และการอักเสบของแผล ใช้เป็นยาฝาดสมาน โดยนำเมล็ดลองกอง มาทุบให้แตกต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้ปวดหู ฝีในหู โดยนำน้ำต้มจากเมล็ดลองกอง มาหยอดหู แก้ไฟลามทุ่ง งูสวัด โดยนำเมล็ดมาทุบให้ละเอียด พอกบริเวณที่เป็น
ลักษณะทั่วไปของลองกอง
ในส่วนของลองกอง จัดเป็นไม้ยืนต้นเนื้อแข็งขนาดกลาง ทรงพุ่มมีลักษณะทรงกรวยแหลม เป็นพืช ใบเลี้ยงคู่ ลำต้นสูงได้ 10-15 เมตร ลักษณะลำต้นทรงกลม แต่ไม่ค่อยกลมนัก เปลือกลำต้นค่อนข้างหยาบ สีเขียวอมน้ำตาล มักมีสันนูน และรอยเว้าอยู่บ้าง มักแตกกิ่งก้านในระดับสูง ตามกิ่งก้านจะมีแอ่งเว้าเป็นคลื่นๆ ตามรอยของง่ามให้เห็นเป็นระยะ
ใบลองกอง เป็นใบประกอบ โดยมีก้านใบหลักยาว 25-50 เซนติเมตร แตกออกจากส่วนปลายของกิ่ง โดยแต่ละก้านของลองกอง จะมีใบย่อยประมาณ 5-9 ใบ หรือ ดอกมีมากกว่า ออกเรียงสลับข้างกัน ซึ่งลักษณะของใบย่อยจะเป็นรูปไข่ รียาว กว้าง 5-7 เซนติเมตร ยาว 12-20 เซนติเมตร โคนใบป้านแหลม ปลายใบแหลม เป็นติ่ง ขอบใบเรียบ แผ่นใบมีสีเขียวเข้ม เป็นมัน และเป็นลูกคลื่น สามารถมองเห็นเส้นแขนงใบเป็นร่องลึกชัดเจน
ดอกลองกอง ออกเป็นช่อโดยจะออกบริเวณลำต้น และกิ่งที่มีความสมบูรณ์ โดยดอกจะแทงออกที่ผิวเปลือก ในระยะแรกจะเป็นตุ่มแข็ง สีน้ำตาลอมเขียว ต่อมาจะค่อยๆแทงออก เป็นก้านช่อดอกยาวขึ้น ซึ่งจะมีก้านช่อดอกแตกออกเป็นกระจุกจำนวนมาก บนก้านช่อดอกจะมีดอกเรียงสลับกัน ดอกลองกองเป็นดอกสมบูรณ์เพศที่ติดผลได้เอง ประกอบด้วยกลีบเลี้ยงสีเขียวเข้ม ส่วนกลีบดอกมีลักษณะเป็นพุไม่แยกออกจากกัน กลีบดอกเมื่อยังอ่อนมีสีเขียวอ่อน และเมื่อนานจะมีสีขาวอมเหลือง ด้านในดอกมีเกสรตัวผู้ลักษณะเป็นท่อสั้นๆ ประมาณ 10 ท่อ และตรงกลางสุดเป็นเกสรตัวเมีย ด้านล่างเป็นรังไข่จะมีประมาณ 4-5 ห้อง
ผลลองกอง เป็นผลเดี่ยว แต่จะออกติดกับก้านช่อเป็นพวง ผลมีลักษณะค่อนข้างกลม ผลดิบมีสีเขียวเข้ม และเมื่อแก่ หรือ สุกจะมีสีเหลืองอ่อน หรือ สีครีม เปลือกผลค่อนข้างหนาเมื่อเทียบกับเปลือกลางสาด ผลมีขนสั้นๆ เมื่อสัมผัสจะให้ความรู้สึกสากมือเล็กน้อย และเปลืองลองกอง จะมียางน้อย หรือ อาจไม่มีเลย ด้านในผลจะเป็นเนื้อผลแบ่งเป็นกลีบ 4-5 กลีบ เนื้อผลมีสีขาวใส หรือ ขาวขุ่น เนื้อฉ่ำน้ำหนา ซึ่งให้รสหวานหรือหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย ในเนื้อผลมีเมล็ด รูปร่างรี มีสีเหลืองอมน้ำตาลมีรสขม
การขยายพันธุ์ลองกอง
ลองกอง สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธีอาทิเช่น การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง การทาบกิ่ง การต่อกิ่ง และการเสียบยอด แต่วิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ การเสียบยอด เพราะจะได้สายพันธุ์ที่ต้องการที่มีการเจริญเติบโตเร็ว และทรงพุ่มจะกว้างไม่สูงชะลูด ง่ายต่อการเก็บเกี่ยว สำหรับวิธีการปลูกลองกอง นั้นเริ่มจากไสกลบ หรือ ไถวัชพืช และไถกลบดินประมาณ 1 เดือน จากนั้นขุดหลุมปลูกเตรียมไว้เป็นแถว โดยมีขนาดหลุม กว้างxยาวxลึก ในขนาด 50 เซนติเมตร และเว้นระยะปลูกระหว่างหลุม หรือ ต้นประมาณ 6-8x6-8 เมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก หรือ วัสดุอินทรีย์ประมาณ 1 ถังน้ำ พร้อมเกลี่ยต้นลงคลุกผสมเล็กน้อย
จากนั้นนำกล้าที่เสียบยอดแล้วลงปลูกโดย กรีดถุงเพาะชำออก แต่จะต้องระวังไม่ให้ก้อนดินแตก หลังจากนั้น นำต้นลองกองลงปลูก เกลี่ยดินกลบให้สูงจากพื้นเล็กน้อย แล้วเอาไม้ไผ่ค้ำยัน และรัดด้วยเชือกพอหลวมๆ รดน้ำให้ชุ่ม การให้น้ำควรรดน้ำเป็นประจำอย่างน้อย 2 วัน/ครั้ง แต่หากมีฝนตกสม่ำเสมอก็ไม่จำเป็นต้องให้น้ำ ปล่อยให้ลองกองเติบโต โดยอาศัยน้ำจากน้ำฝนเป็นหลักจนมีอายุประมาณ 3-4 ปี จึงจะเริ่มให้ดอกลองกองติดผลครั้งแรก ทั้งนี้ลองกองเป็นพืชที่เติบโตได้ดีในดินที่ชื้นตลอดปี หรือ เป็นพื้นที่ที่มีฝนตกชุก แต่ควรเป็นราบ และสามารถระบายน้ำได้ดี ไม่มีปัญหาน้ำท่วมขัง
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากใบ เมล็ด เปลือกต้น เปลือกผล และน้ำมันหอมระเหยจากส่วนผลของลองกอง ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์หลายชนิดดังนี้ สารสกัดจากส่วนใบของลองกองพบสาร cycloartenol, 3-oxo-24-cycloarten-21-oic acid, lansitriol, lansisterone E, lansisterone Z, lansisterol B และ lansisterol A สารสกัดจากส่วนเมล็ดพบสาร dukonolide A, kokosanolide A , kokosanolide C, domesticulides A-E, dukunolides A-F, seco-dukunolide F สารสกัดจากส่วนเปลือกต้น และกิ่งพบสาร lansic acid, ethyl lansiolate, lamesticumins A-F, 8,14-secogammacera-7,14(27)-diene-3,21-dione สารสกัดจากส่วนเปลือกผลพบสาร lansionic acid, lansic acid, lansiosides A-C, lansic acid methyl ester, 3βhydroxyonocera-8(26),14-dien-21-one, 21αhydroxyonocera-8(26),14-dien-3-one ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากส่วนผลลองกอง พบสารระเหยเป็นสารกลุ่มเซสควิเทอร์พีน (sesquiterpenes) เช่น germacrene-D, methyl hydroxy3-methylbutanoate, (E)-hex-2-enal, methyl 2-hydroxy-3-methylpentanoate, methyl 2-hydroxy-4- methylpentanoat oleic acid, α-copaene, malic acid, maleic acid citric acid และ glycolic acid
นอกจากนี้เนื้อผลลองกองยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้ คุณค่าทางโภชนาการของเนื้อลองกอง (100 กรัม)
- พลังงาน 66 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต 15.3 กรัม
- โปรตีน 0.9 กรัม
- ไขมัน 0.1 กรัม
- ใยอาหาร 0.3 กรัม
- แคลเซียม 5 มิลลิกรัม
- ธาตุเหล็ก 0.7 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 35 มิลลิกรัม
- วิตามิน A 15 หน่วยสากล
- วิตามิน B1 0.08 มิลลิกรัม
- วิตามิน B2 0.04 มิลลิกรัม
- วิตามิน B3 1.7 มิลลิกรัม
- วิตามิน C 24 มิลลิกรัม
การศึกษาทางเภสัชวิทยาของลองกอง
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดลองกอง จากส่วนต่างๆ ของลองกอง ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาดังนี้
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการก่อกลายพันธุ์ และการเป็นพิษต่อเซลล์ มีรายงานการศึกษาวิจัยเปลือกผลแห้ง และเมล็ดผงแห้งของลองกองด้วยเอทานอล 50% และ 90% และสารสกัดที่ได้มาจากการนำสารสกัดหยาบที่ได้มาสกัดต่อด้วยไดคลอโรมีเทน 50%เอทานอล น้ำ และเอทิลอะซิเตด มาทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการก่อกลายพันธุ์ และการเป็นพิษต่อเซลล์ของสารสกัด พบว่าส่วนสกัดด้วยน้ำที่แยกได้จากสารสกัดหยาบด้วย 50% เอทานอล จากเปลือกผลแห้งลองกอง (LDSK50-H2O) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด รองลงมา คือ ส่วนสกัดด้วยเอทิลอะซิเตทที่แยกได้จากสารสกัดหยาบด้วย 50%เอทานอล จากเปลือกผลแห้งลองกอง (LDSK50-EA) เมื่อทดสอบด้วยวิธี superoxide anion radical scavenging และ hydroxyl radical scavenging ส่วนการเป็นพิษต่อเซลล์พบว่าส่วนสกัด LDSK50-H2O และส่วนสกัด LDSK50-EA มีความเป็นพิษต่อเซลล์ลิมโฟบลาสต์ของมนุษย์ชนิด TK6 และ เซลล์ V79 เมื่อทดสอบด้วยวิธี MTT assay ในขณะที่ส่วนสกัด LDSK50-EA เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ด้วยวิธี micronucleus assay พบว่ามีฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์เมื่อทดสอบกับเซลล์ลิมโฟบลาสต์ของมนุษย์ชนิด TK6 จากการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่าส่วนสกัดด้วยน้ำ และเอทิลอะซิเตทที่แยกได้จากสารสกัดหยาบด้วย 50% เอทานอล จากเปลือกผลแห้งลองกองมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการก่อกลายพันธุ์ และเป็นพิษต่อเซลล์ ชนิด TK6 และ เซลล์ V79
ฤทธิ์ต้านการสร้างเมลานินส่วนสกัดหยาบเมทานอลจากเปลือกต้นของลองกองพบว่าแสดงฤทธิ์ต้านการสร้างเมลานินที่ดีที่ความเข้มข้น 25 μg/mL โดยที่ระดับความเข้มข้นนี้ไม่มีผลต่อความเป็นพิษต่อเซลล์
ฤทธิ์ต้านจุลชีพมีรายงานการศึกษาฤทธิ์ต้านจุลชีพของสารบริสุทธิ์ที่แยกได้จากกิ่งของลองกอง มาทดสอบพบว่า สาร lamesticumins A-C และ ethyl lansiolate สามารถยับยั้งเชื้อ Bacillus subtilis, Micrococcus pyogenes และ Bacillus cereus ที่ MIC = 3.12 μg/mL ขณะที่สาร lamesticumins D-F และ lansic acid 3-ethyl ester แสดงฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ B. cereus ที่ MIC = 3.12 μg/mL ต้านเชื้อ Escherichia coli, Shigella flexneri, Pseudomonas aeruginosa, Serratia marcescens และ Alcaligenes faecalis ได้
ฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรียสารบริสุทธิ์ที่แยกได้จากส่วนสกัดหยาบไดคลอโรมีเทนของเมล็ดลองกอง พบว่ามีฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย Plasmodium falciparum พบว่าสารประกอบ domesticulides B-D ยับยั้งเชื้อดังกล่าวได้ในช่วง IC50 = 2.4-6.9 μg/mL นอกจากนี้ยังพบว่า เมื่อมีหมู่อะซิโตซิลเกาะอยู่ตำแหน่งที่ C-6 ของโครงสร้างจะแสดงการเพิ่มฤทธิ์การยับยั้งเชื้อมาลาเรียได้สูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับหมู่ไฮดรอกซิลที่เกาะในตำแหน่งเดียวกัน
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของลองกอง
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
ลองกอง เป็นพืชในวงศ์กระท้อน (MELIACEAE) ซึ่งในผลอ่อนจะมียางสีขาว สำหรับผู้ที่แพ้ยางจากพืชวงศ์กระท้อน ต้องระมัดระวังในการสัมผัส เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังได้ และในการรับประทานลองกองเป็นผลไม้ เนื่องจากผลสุกของลองกอง มีรสชาติหวานหอม ดังนั้นผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือ ผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงควรรับประทานแต่พอดี เพราะหากรับประทานมากจนเกินไป อาจทำให้น้ำตาลในเลือดสูง และอาการของโรคเบาหวานอาจกำเริบได้
เอกสารอ้างอิง ลองกอง
- เต็ม สมิตินันท์. 2544. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. กรุงเทพฯ: ประชาชน
- คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. 2543. สมุนไพร…ไม้พื้นบ้าน (4). กรุงเทพฯ:ประชาชน .
- สาโรจน์ จีนประชา. องค์ประกอบทางเคมีและฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพืชตระกูลลางสาด. รายงานการวิจัย.มหาวิทยาลัยพะเยา. 21 หน้า
- จันทร์เพ็ญ แสงประกาย,อภิญญา จุฑายกูร, ช่อลัดดาเที่งพุก. การตรวจสอบความเป็นพิษต่อยีนและฤทธิ์ยับยั้งการกลายพันธุ์ของสารสกัดจากลองกอง. วารสารวิทยาศาสตร์เกษตร. ปีที่ 42 ฉบับที่ 2. พฤษภาคม-สิงหาคม 2554. หน้า 253-56
- ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระต้านการก่อกลายพันธุ์และการเป็นพิษต่อเซลล์ของลองกอง. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร. สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- ลองกอง .สรรพคุณและการปลูกลองกอง. พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรไทย (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.puechkaset.com
- Mayanti, T., Tjokronegoro, R., Supratman, U., Mukhtar, M.R., Awang, K., Hadi, A. and Hamid A. 2011. “Antifeedant triterpenoids from the seeds and bark of Lansium domesticum cv kokossan (Meliaceae).” Molecules. 16:2785-2795
- Lim T.K. 2012. Edible medicinal and nonmedicinal plants. Springer; Vol. 3; 265- 269
- Chairgulprasert, V., Krisornpornsan, B. and Hamad, A., 2006, Chemical Constituents of the Essential Oil and Organic Acids from Longkong (Aglaia dookkoo Griff.) Fruits, Songklanakarin J. Sci. Technol., 28(2): 321-326
- Krishnappa, S. and Dev, S., 1973. “Sesquiterpenes from Lansium anamalayanum.” Phytochemistry. 12:823- 825.
- Fun, H.K., Chantrapromma, S., Boonnak, N., Chaiyadej, K., Chantrapromma, K. and Yu, X.L. 2006. “seco-Dukunolide F: a new tetranortriterpenoid from Lansium domesticum Corr.” Acta Crystallographica, Section E: Structure Reports Online. E62:o3725-o3727
- Arung, E.T., Kusuma, I.W., Christy, E.O., Shimizu, K. and Kondo, R. 2009. “Evaluation of medicinal plants from Central Kalimantan for antimelanogenesis.” Journal of Natural Medicines. 63:473-480
- Verheij, E.W.M. and Coronel, R.E., 1992, Edible Fruits and Nuts, Plants Resources of South-East Asia No.2 PROSEA, Bogor, Indonesia
- Nishizawa, M., Emura, M., Yamada, H., Shiro, M., Hayashi, Y. and Tokuda, H. 1989. “Isolation of a new cycloartanoid triterpene from leaves of Lansium domesticum: novel skin-tumor promotion inhibitors.” Tetrahedron Letters. 30:5615-5618
- Dong, S.-H., Zhang, C.-R., Dong, L., Wu, Y. and Yue, J.-M. 2011. “Onoceranoid-Type Triterpenoids from Lansium domesticum.” Journal of Natural Products. 74:1042- 1048
- Nishizawa, M., Nishide, H., Hayashi, Y. and Kosela, S. 1982. “The structure of lansioside A, a novel triterpene glycoside with amino sugar from Lansium domesticum.” Tetrahedron Letters. 23:1349-1350