ผักคราดหัวแหวน ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

ผักคราดหัวแหวน งานวิจัยและสรรพคุณ 30 ข้อ

ชื่อสมุนไพร ผักคราดหัวแหวน
ชื่ออื่นๆ/ผักท้องถิ่น ผักคราด (ภาคกลาง), ผักเผ็ด (ภาคเหนือ), ผักตุ้มหู (ภาคใต้), เทียงบุ่งเช่า, โฮ่วซั้วเช่า, อึ่งฮวยเกี้ย (จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Acmella oleracea (L.) R.K.Jansen
ชื่อวิทยาศาสตร์ Spilanthes acmella (L.) Murray
ชื่อพ้องสามัญ Para cress, Tooth-ache Plant, Para cress 
วงศ์ Asteraceae (Compositae)

ถิ่นกำเนิดผักคราดหัวแหวน

ผักคราดหัวแหวน มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปอเมริกาใต้บริเวณประเทศบราซิล และอาร์เจนตินา แล้วมีการกระจายพันธุ์ไปในเขตร้อนต่างๆ ทั่วโลก ทั้งในทวีปเอเชียและแอฟริกา สำหรับในทวีปเอเชียพบได้มากในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย พม่า กัมพูชา ลาว มาเลเซีย เป็นต้น ในประเทศไทยพบผักคราดหัวแหวน ได้ทั่วไปทั่วทุกภาค โดยมักชื้นเป็นวัชพืชตามที่รกร้างว่างเปล่า หรือ แม้แต่ริมถนนก็สามารถพบได้เช่นกัน 


ประโยชน์และสรรพคุณผักคราดหัวแหวน
 

  1. ใช้เคี้ยวแก้ปวดฟัน
  2. เป็นยาแก้ร้อนใน
  3. แก้พิษตานซาง
  4. แก้ริดสีดวง
  5. แก้ผอมเหลือง
  6. แก้เด็กตัวร้อน
  7. แก้บิด
  8. แก้เลือดออกตามไรฟัน
  9. เป็นยาขับปัสสาวะ
  10. แก้หอบไอ
  11. ช่วยระงับหอบ
  12. แก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง
  13. แก้ปอดบวม
  14. แก้ไอกรน
  15. แก้ไขข้ออักเสบ
  16. แก้งู และสุนัขกัด
  17. แก้ฝีในคอ
  18. แก้คออักเสบ
  19. แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ
  20. แก้คันคอ
  21. ใช้กวาดคอเด็ก
  22. แก้ตัวร้อน
  23. แก้ตับอักเสบ
  24. แก้ดีซ่าน
  25. แก้ปวดท้องหลังคลอด
  26. แก้ชอกช้ำภายในทรวงอก เจ็บปวดสีข้าง
  27. รักษาไข้จับสั่น
  28. แก้อาการอักเสบในช่องปาก และเจ็บคอ
  29. ผิวหนังเป็นผื่นฝีตุ่มพิษ
  30. ฝีตะมอยหัวนิ้วมือนิ้วเท้า

           ผักคราดหัวแหวน สามารถใช้เป็นอาหารได้ โดยยอดอ่อนและใบอ่อน ใช้รับประทานเป็นผักสดแกล้มกับน้ำพริกลาบ ก้อย แกง และยังสามารถนำไปปรุงเป็นอาหารได้ โดยชาวเหนือนำผักคราดหัวแหวน ไปแกงแค ชาวอีสาน นำไปใส่กับอ่อมปลาอ่อมกบ และชาวใต้ นำยอดอ่อนไปแกงร่วมกับ หอย และปลา ทำให้รสชาติ และกลิ่นของอาหารน่ารับประทานมากขึ้น


รูปแบบและขนาดวิธีใช้ผักคราดหัวแหวน

ใช้เป็นยาภายใน ต้มแห้งหนัก 3.2-10 กรัม ต้มน้ำดื่ม หรือ บดเป็นผงหนัก 0.7-1 กรัม รับประทานกับน้ำ หรือ ผสมกับเหล้ารับประทาน ใช้เป็นยาภายนอก ต้นสดตำพอก หรือ เอาน้ำทาถู หรือ ใช้ต้นสด 1 ต้น ตำให้ละเอียด เติมเกลือ 10 เม็ด คั้นน้ำ ใช้สำลีพันไม้ชุบน้ำยาจิ้มลงในซอกฟัน ทำให้หายปวดฟันได้

            หรือใช้รักษาตามอาการของโรค เช่น รักษาไข้จับสั่น-ผักคราดหัวแหวน 1 ตำลึง ต้มน้ำใส่น้ำตาลแดง กรองเอาน้ำดื่ม ใช้เป็นยาถ่าย ใช้รากแห้ง 4-8 กรัม ต้มในน้ำ 1 ถ้วยกิน และใช้ต้มเอาน้ำอมบ้วนปาก แก้อาการอักเสบในช่องปากและเจ็บคอ นอกจากนี้อาจใช้ก้านขยี้ทาแผลในปากเด็ก ซึ่งเกิดเนื่องจากร้อนใน ใช้แก้ปวดฟัน ใช้ดอกตำกับเกลืออม หรือ กัดไว้บริเวณที่ปวดฟัน  หรือ ใช้ก้านสดมาเคี้ยวตรงบริเวณฟันซี่ที่ปวด เพื่อให้น้ำจากก้านซึมเข้าไปตรงที่ปวด จะทำให้ชาสามารถระงับอาการปวดฟันได้ดี ถ้าฟันที่ปวดเป็นรู ใช้ขยี้ให้เละ อุดเข้าไปในรูนั้น สักครู่จะทำให้ชาและหายปวด แก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ใช้ต้นแห้งบดเป็นผง ทำเป็นยาน้ำเชื่อม (ในน้ำเชื่อม 10 มล. มีเนื้อยานี้ 3.2 กรัม) กินครั้งละ 30 มล. วันละ 2 ครั้ง ผิวหนังเป็นผื่นฝีตุ่มพิษ-ผักคราดหัวแหวนตำกับเหล้า ใช้พอก หรือ ทาฝีแผลเรื้อรังหายยาก-ผักคราดหัวแหวน ตำแหลกเอาน้ำผสมน้ำมันชาทา หรือ พอก ฝีตะมอยหัวนิ้วมือนิ้วเท้า-ผักคราดหัวแหวน หญ้าดอกตูบ ตะขาบบิน อย่างละเท่าๆ กัน ตำแหลก แล้วพอก ถ้าแผลแตกก็ตำใส่น้ำผึ้งพอก 


ลักษณะทั่วไปของผักคราดหัวแหวน

ผักคราดหัวแหวน จัดเป็น ไม้ล้มลุกขนาดเล็ก อายุปีเดียว ชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะ ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านสาขา สูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร หรือ ทอดไปตามดินเล็กน้อย แต่ปลายชูขึ้น ลำต้นกลมอวบน้ำ มีสีเขียวม่วงแดงปนเข้ม ลำต้นอ่อน มีขนปกคลุมเล็กน้อย ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปสามเหลี่ยม รูปไข่ หรือ รูปใบหอกแกมรูปไข่ ขอบใบเรียบ หรือ จักเป็นฟันเลื่อยแบบหยาบๆ ก้านใบยาว 1-2 เซนติเมตร ผิวใบสากมีขน ใบกว้าง 3-4 เซนติเมตร ยาว 3-6 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบ และปลายกิ่ง เป็นกระจุกสีเหลือง ลักษณะกลม รูปไข่ ปลายแหลมคล้ายหัวแหวน ยาว 8 มิลลิเมตร ดอกย่อยมี 2 วง วงนอกเป็นดอกเพศเมีย วงในเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ก้านดอกเรียวยาว 2.5-15 เซนติเมตร ยกตั้งทรงกลมเหมือนหัวแหวน ริ้วประดับมี 2 ชั้น รูปใบหอกแกมรูปไข่ ยาวราว 6 มิลลิเมตร เกลี้ยง ดอกวงนอกเป็นดอกตัวเมีย มี 1 วง กลีบดอกรูปรางน้ำ ดอกวงในเป็นดอกสมบูรณ์เพศ กลีบดอกรูปท่อ ปลายแยกเป็น 4-5 แฉก ผลเป็นผลแห้งรูปไข่ ยาวราว 3 มิลลิเมตร มีสัน 3 สัน ปลายเว้าเป็นแอ่งเล็กน้อย รยางค์มีหนาม 1-2 อัน

 ผักคราดหัวแหวน

ผักคราดหัวแหวน

การขยายพันธุ์ผักคราดหัวแหวน

ผักคราดหัวแหวน สามารถขยายพันธุ์ได้ 2 วิธี คือ การเพาะเมล็ดและการปักชำ แต่ส่วนใหญ่จะนิยมใช้วิธีการปักชำมากกว่า โดยการเลือกลำต้นที่มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ มีรากออกตามข้อยาวประมาณ 3-4 ข้อ แล้วใช้ปักลงไปในดิน โดยให้ส่วนยอดโผล่เหนือผิวดิน จากนั้นหมั่นรพน้ำทุกวันในระยะแรก เมื่อปลูกติดแล้วอาจลดการให้น้ำเป็น 2-3 วัน ต่อครั้งก็ได้


องค์ประกอบทางเคมี
  

ดอกและทั้งต้นมีสาร spilanthol มีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ นอกจากนี้ยังพบสาร Sitosterol-O-Beta-D-glucoside, Alpha- และ Beta-Amyrin ester, Stigmasterol, Spilantol, lsobutylamine ส่วนคุณค่าทางโภชนาการผักคราดหัวแหวน มีดังนี้

           คุณค่าทางโภชนาการของผักคราดหัวแหวน (100กรัม)

-          พลังงาน                     32                    กิโลแคลลอรี่

-          น้ำ                              89                    กรัม

-          คาร์โบไฮเดรต           7.1                   กรัม

-          โปรตีน                       1.9                   กรัม

-          ไขมัน                        0.3                   กรัม

-          วิตามิน A                 3917                มิลลิกรัม

-          วิตามิน B1                0.03                 มิลลิกรัม

-          วิตามินซี                 20                    มิลลิกรัม 

-          แคลเซียม                162                  มิลลิกรัม

-          ธาตุเหล็ก                4                      มิลลิกรัม

-          ฟอสฟอรัส               41                     มิลลิกรัม                                           

 รูปภาพองค์ประกอบทางเคมีของผักคราดหัวแหวน

 

โครงสร้างผัดคราดหัวแหวน

ที่มา : กองโภชนาการ กรมอนามัย (ตารางแสดงคุณค่าอาหารไทยในส่วนที่กินได้ 100 กรัม)

การศึกษาเภสัชวิทยา ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของผักคราดหัวแหวน

            ฤทธิ์ยาชาเฉพาะที่ ในการทดลองทาสารสกัดด้วยเอทานอลจากผักคราดหัวแหวน ความเข้มข้น 10% บนปลายลิ้นของอาสาสมัครเปรียบเทียบกับยาชา lidocaine 10% แล้วกระตุ้นด้วยไฟฟ้า พบว่าสารสกัดออกฤทธิ์ทำให้ชาเร็วกว่าแต่มีระยะเวลาออกฤทธิ์สั้นกว่า lidocaine ส่วนการทดสอบโดยการทาสารสกัดด้วยเอทานอล 95% จากผักคราดหัวแหวน ความเข้มข้น 10% ที่ในกระพุ้งแก้ม แล้วทดสอบอาการชาต่อเข็มจิ้มเทียบกับ lidocaine 10% พบว่าสารสกัดสามารถลดความเจ็บปวดจากเข็มจิ้มได้เทียบเท่ากับยาชา แต่จากการศึกษาในผู้ป่วยหญิง 200 คน โดยวางสำลีรองเฝือกที่หลังมือ หรือ แขนทั้ง 2 ข้าง ตรงที่จะแทงเข็มให้น้ำเกลือ โดยตำแหน่งตรงกันทั้ง 2 ข้าง ในคนเดียวกัน แล้วหยดแอลกอฮอล์ 70% ปริมาณ 0.5 มิลลิลิตร บนสำลีข้างหนึ่ง และหยดสารสกัดจากผักคราดหัวแหวนปริมาณ 0.5 มิลลิลิตร ลงบนสำลีรองเฝือกอีกข้างหนึ่ง แล้วจึงใช้เข็มเบอร์ 18 แทง ตรงตำแหน่งที่ทายาไว้ข้างละเข็มเมื่อประเมินผลการระงับความเจ็บปวด พบว่า สารสกัดไม่สามารถระงับความเจ็บปวดจากการแทงเข็มให้น้ำเกลือได้ ซึ่งไม่แตกต่างจากการทาแอลกอฮอล์ 70% ทั้งนี้คาดว่าเนื่องจากสารสกัดไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ แตกต่างกับเนื้อเยื่อบุผิวที่สารสกัดซึมผ่านได้ง่าย

             จากการศึกษาในสัตว์ทดลองโดยฉีดน้ำคั้น สารสกัดด้วยน้ำความเข้มข้น 25% สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ 95% ความเข้มข้น 10% จากลำต้นพร้อมใบ และดอกเข้าใต้ผิวหนังหนูตะเภา เปรียบเทียบกับ lidocaine 2% ทดสอบความรู้สึกชาด้วยการใช้ไฟฟ้ากระตุ้น พบว่าน้ำคั้น สารสกัดด้วยน้ำ และสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ ทำให้หนูมีอาการชาทันที เช่นเดียวกับ lidocaine แต่ระยะเวลาการออกฤทธิ์สั้นกว่า เมื่อนำสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากส่วนเหนือดินความเข้มข้น 10% มาทดสอบกับเส้นประสาท siatic nerve ของกบ เปรียบเทียบกับ lidocaine 2% พบว่าสารสกัดด้วยอัลกอฮอล์ออกฤทธิ์ทำให้ชาได้เร็วกว่า lidocaine และเส้นประสาทที่ถูกทำให้ชาไปแล้วสามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ แสดงว่าสารสกัดไม่เป็นพิษต่อเซลล์ประสาท เมื่อศึกษาดูผลของสารสกัดต่อการระคายเคืองเนื้อเยื่อบริเวณที่ถูกฉีดโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ความเข้มข้น 10% ขนาด 0.1 มิลลิลิตร พบว่าภายใน 24 ชั่วโมง ไม่พบความผิดปกติของผิวหนังชั้นนอก แต่มีบวมเล็กน้อยใต้ผิวหนัง และมีการคั่งของหลอดเลือดฝอย มีการบวมและอักเสบ ในชั้นหนังแท้ (dermis) แต่ไม่พบเนื้อเยื่อตาย ความผิดปกติเหล่านี้หายไปเมื่อเวลาผ่านไป 7 วัน ในขณะที่ผิวหนังบริเวณที่ฉีด lidocaine 2% มีการบวมระหว่างเซลล์ และการคั่งของหลอดเลือดฝอยเช่นเดียวกับสารสกัด และไม่พบความผิดปกติของเนื้อเยื่อหลังจากเวลาผ่านไป 7 วัน เช่นกัน

           ฤทธิ์ระงับปวด การศึกษาฤทธิ์ระงับปวดของสารสกัดจากผักคราดหัวแหวน ในรูปแบบต่างๆพบว่าไม่มีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้เป็นยาแก้ปวด

           โดยมีการศึกษาด้วยวิธี Haffner’s tail clip วิธีกระตุ้นให้เกิดการบิดของลำตัวด้วย acetylcholine และทำให้เกิดความเจ็บปวดด้วย bradykinin ในหนูถีบจักรและหนูขาว พบว่าส่วนสกัดด้วยอีเทอร์ระงับความเจ็บปวดต่ำ ส่วนสกัดด้วยอัลกอฮอล์ 70% ระงับความเจ็บปวดด้วยความแรงที่ต่ำกว่าส่วนสกัดด้วยอีเทอร์ ส่วนที่ไม่ถูกสกัดด้วยอีเทอร์ไม่แสดงฤทธิ์ลดความเจ็บปวดในทุกการทดลอง และสารสกัดเอทานอลจากผักคราดหัวแหวนออกฤทธิ์ระงับปวดเล็กน้อย เมื่อศึกษาในรูปแบบของยาระงับปวดที่ออกฤทธิ์ระบบประสาทส่วนปลาย และไม่มีฤทธิ์ระงับปวด เมื่อศึกษาในรูปแบบของยาออกฤทธิ์ระงับปวดต่อระบบประสาทส่วนกลาง 

           ฤทธิ์ต้านการอักเสบ การศึกษาในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดด้วยเอทิลอะซีเตตจากผักคราดหัวแหวนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์มก็มีฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์แมคโครฟาจสายพันธุ์ RAW 264.7 ที่ถูกกระตุ้นด้วย lipopolysaccharide โดยพบว่าสารสำคัญ spilanthol ออกฤทธิ์ยับยั้งเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบคือ nitric oxide synthase และ cyclooxygenase -2 (COX-2)


การศึกษาทางพิษวิทยาของผักคราดหัวแหวน

เมื่อฉีดสารสกัดด้วยอีเทอร์ สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ 70% และส่วนสกัดที่ไม่ถูกสกัดด้วยอีเทอร์ จากผักคราดหัวแหวน เข้าช่องท้องหนูเม้าส์ พบว่าส่วนสกัดด้วยอีเทอร์มีความเป็นพิษมาก ส่วนสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ 70% และส่วนสกัดที่ไม่ถูกสกัดด้วยอีเทอร์มีพิษปานกลาง โดยความเข้มข้นของส่วนสกัดที่ทำให้หนูตาย 50% (LD50) เท่ากับ 153 มก./กก. , 2.13 ก./กก. และ 3.5 ก./กก. ตามลำดับ

ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

  1. สตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทานผักคราดหัวแหวน เพราะอาจทำให้แท้งบุตรได้
  2. การใช้ผักคราดหัวแหวน เป็นสมุนไพร ถึงแม้ว่ายังไม่มีรายงานระบุถึงความเป็นพิษ และผลข้างเคียงที่ตามมาแต่ก็ควรใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ และใช้ในระยะเวลาติดต่อกันไม่นานเกินไป เพราะอาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้

เอกสารอ้างอิง ผักคราดหัวแหวน
  1. ผักคราดหัวแหวน. สมุนไพรที่ใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน. สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  2. ปัทมา เทพสิทธา. การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากผักคราดหัวแหวน. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต ภาควิชาเภสัชวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2525. 
  3.  Ansari AH, Mukharya DK, Saxena VK. Analgesic study of N-isobutyl-4,5-decadienamide isolated from the flowers of Spilanthes acmella Murr. Thai J Pharm Sci 1988;13(4):465.
  4. ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ มะขาม และผักคราวหัวแหวน.คอลัมน์อื่นๆ. นิตยสารหมอชาวบ้านเล่มที่ 15. กรกฎาคม 2523
  5. ปิ่น นิลประภัสสร, กิติศักดิ์ พงศ์ธนา. การศึกษาฤทธิ์ระงับความรู้สึกที่ผิวของส่วนสกัดจากผักคราดหัวแหวน สำหรับการแทงน้ำเกลือ. รวบรวมผลงานวิจัย โครงการพัฒนาการใช้สมุนไพร และยาไทยทางคลินิก (2525-2536), 2536:101-4.  
  6. ผักคราวหัวแหวน. ฐานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.rspg.or.th/plants.go.th/herbs/herbs_18_4.htm
  7. เชวงเกียรติ แสงศิรินาวิน, บุญสม วรรณวีรกุล, พนัก เฉลิมแสนยากร. ฤทธิ์ชาเฉพาะที่ ของผักคราดหัวแหวน. รวบรวมผลงานวิจัย โครงการพัฒนาการใช้สมุนไพร และยาไทยทางคลินิก (2525-2536), 2536:91-9. 
  8. ผักคราวหัวแหวน. กลุ่มยาแก้ปวดฟัน. สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด. โครงการอนุรักษ์พันธุ์กรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.phargarden.com/main.php?action=viewpage&pid=76
  9. ปัทมา เทพสิทธา. การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากผักคราดหัวแหวน. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต ภาควิชาเภสัชวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2525. 
  10.  Li-Chen W, Nien-Chu F, Ming-Hui L, Inn-Ray C, Shu-Jung H, Ching-Yuan H, Shang-Yu H.  Anti-inflammatory effect of Spilanthol from Spilanthes acmella on murine macrophage by down-regulating LPS-induced inflammatory mediators. J Agric Food Chem 2008; 56(7):2341-9.
  11.   Ansari AH, Mukharya DK, Saxena VK. Analgesic study of N-isobutyl-4,5-decadienamide isolated from the flowers of Spilanthes acmella Murr. Thai J Pharm Sci 1988;13(4):465. 
  12. Saengsirinavin C, Saengsirinavin S. Topical anesthetic activity of Spilanthes acmella extract in reducing injection pain. Ann Res Abstr, Bangkok: Mahidol University, 1988;15:26. 
  13. Saengsirinavin C, Nimmanon V. Evaluation of topical anesthetic action of Spilanthes acmellaon human tounge. Ann Res Abstr, Bangkok: Mahidol University, 1988;15:25.