ผักตบไทย ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

ผักตบไทย งานวิจัยและสรรพคุณ 12 ข้อ

ชื่อสมุนไพร ผักตบไทย
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ผักตบ, ผักตบเขียด, ผักตบเขียด, ผักโป่ง, ผักสามหาว (ภาคกลาง), ผักลิ้น (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Monochoria hasttata(L.) Solms.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Monochoria chinensis Gand., M. dilatata (Buch.-Ham.) Kunth, M. hastifolia C.Presl, M. sagittata Kunth, Pontederia dilatata Buch.-Ham., P. hastata L. Carigola hastata (L.) Raf.,
ชื่อสามัญ Arrow leaf monochorea, False pickerelweed, Leat pondweed, Monochoria
วงศ์ PONTEDERIACEAE


ถิ่นกำเนิดผักตบไทย

ผักตบไทย จัดเป็นพืชในวงศ์ผักตบ (PONTEDERIACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมเป็นบริเวณกว้างในแถบเขตร้อนของทวีปเอเชีย อาทิเช่นใน อินเดีย ศรีลังกา เนปาล พม่า ไทย มาเลเซีย ไปจนถึงฟิลิปปินส์ จากนั้นจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังบริเวณเขตร้อนต่างๆ ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยสามารถพบผักตบไทย ได้ทั่วทุกภาคของประเทศ บริเวณแหล่งน้ำจืดทั่วไป เช่น ในแม่น้ำ ลำคลอง บึง หรือ ตามในท้องนาทั่วไป


ประโยชน์และสรรพคุณผักตบไทย

  1. แก้พิษในร่างกาย 
  2. ช่วยขับลม
  3. แก้แผลอักเสบ
  4. แก้ปวดท้อง
  5.  แก้ปวดแสบปวดร้อน จากพิษแมลงสัตว์กัดต่อย
  6. แก้เบื่อเมา
  7. ช่วยขับปัสสาวะ
  8. ช่วยขับพิษร้อน
  9. แก้ฝีอักเสบ ฝีหนอง
  10. แก้รังแค
  11. ช่วยถอนพิษ
  12. แก้อักเสบ

           ส่วนในอินโดนีเซีย ยังพบผักตบไทยว่ามีการใช้เหง้ามาช่วยขจัดรังแคเช่นเดียวกันกับไทยอีกด้วย

           ผักตบไทย ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ดังนี้ ก้านใบ ใบอ่อน และช่อดอกของผักตบไทย มีการนำมาใช้รับประทานเป็นผักได้ทั้งสุกและดิบ เช่น ในการรับประทานดิบ จะนำมาจิ้มน้ำพริกปลา ส้มตำ ส่วนในการรับประทานสุก จะนำมาลวกจิ้มกับน้ำพริก หรือ นำมาทำแกงส้มผักตบ หรือ แกงเลียง เป็นต้น และมีการนำลำต้นผักตบไทยมาตากแห้งใช้ทำเป็นเครื่องจักสานต่างๆ เช่น กระเป๋า เสื่อ หรือ ของเล่นของเด็กในสมัยโบราณ อีกทั้งยังมีการนำทุกส่วนของผักตบไทย มาหั่นเป็นฝอยใช้เลี้ยงหมู หรือ ทำปุ๋ยหมักอีกด้วย

ผักตบไทย

รูปแบบและขนาดวิธีการใช้

  • ใช้เป็นยาขับพิษร้อน ขับปัสสาวะ โดยนำใบผักตบไทยมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้พิษในร่างกาย ขับลม แก้ปวดท้อง แก้อักเสบ โดยนำทั้งต้นผักตบไทยมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้พิษเบื่อเมา โดยนำใบผักตบไทยสดมาตำผสมกับผักกระเฉด เอาน้ำดื่ม
  • ใช้แก้แผลอักแสบ ถอนพิษ แก้อาการปวดแสบปวดร้อนจากพิษแมลงสัตว์กัดต่อย โดยนำต้นผักตบไทย สดมาตำพอกบริเวณที่เป็น
  • ใช้แก้ฝีอักเสบ ฝีหนอง โดยนำใบผักตบไทยสดตำพอกบริเวณที่เป็น
  • ใช้แก้รังแค โดยนำเหง้าผักตบไทยมาบด หรือ ตำรวมกับถ่านไม้ ใช้พอกศีรษะ


ลักษณะทั่วไปของผักตบไทย

ผักตบไทย จัดเป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี ความสูง 50-100 เซนติเมตร มีเหง้าใหญ่อยู่ใต้น้ำ โดยจะแตกลำต้นเป็นกอ มีลำต้นอยู่ใต้ดินโคลนเรียกว่าไหล แล้วชูก้านใบขึ้นมาเหนือระดับน้ำ ลำต้นมีกาบใบหุ้มอยู่

           ใบผักตบไทย เป็นเดี่ยวแทงออกมาจากลำต้นที่อยู่ใต้ดิน แผ่นใบผักตบไทยมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ รูปโล่ หรือ รูปสามเหลี่ยมมีขนาดกว้าง 1-2 เซนติเมตร ยาว 5-8 เซนติเมตร โคนใบมันเว้า ปลายแหลม ขอบใบเรียบ ใบมีสีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบเกลี้ยงทั้งสองด้าน โคนก้านด้านโคนก้านใบแย่งเป็นกาบและมีก้านใบยาว 30-90 เซนติเมตร โดยแบ่งเป็นก้านใบ ส่วนล่างมีลักษณะเป็นกาบหุ้มซ้อนๆ กัน ส่วนก้านใบส่วนบนมีลักษณะกลมยาวอวบน้ำ

           ดอกผักตบไทย ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะ โดยจะออกเป็นบริเวณโคนก้านใบ หรือ ใกล้แผ่นใบและมีแผ่นใบประดับสีเขียวรองรับดอกย่อยที่มีอยู่ 15-16 ดอก ซึ่งในแต่ละดอกจะมีก้านดอกย่อยยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร กลีบดอกเป็นแบบกลีบรวมมี 6 กลีบ เรียงเป็น 2 วง วงละ 3 กลีบ กลีบดอกผักตบไทย เป็นรูปไข่แกมรูปขอบขนานค่อนข้างบอบบาง มีสีน้ำเงินปนม่วง สีฟ้าปนม่วง หรือ อาจมีสีขาวแต้มเล็กน้อย ตรงกลางดอกมีเกสรเพศผู้ 6 อัน เป็นขนาดสั้น 5 อัน และขนาดยาว 1อัน ติดอยู่บนรวมกลีบรวม เมื่อดอกได้รับการผสม กลีบรวมจะรัดห่อหุ้มผล ส่วนปลายกลีบบิดพันเป็นเกลียวส่วนก้านดอกจะมีความสูง 2 ใน 3 ของความของก้านใบ

           ผลผักตบไทย เป็นผลแห้งแบบแคบซูล มีลักษณะเป็นรูปรี หรือ รูปขอบขนาน ยาวประมาณ 1 เซนติเมตร เมื่อผลแห้งจะแตกออกเป็น 3 ซีก ภายในผล มีเมล็ดสีน้ำตาลมีปีกขนาดเล็กจำนวนมาก

ผักตบไทย
แหล่งที่มาภาพนี้ ww.icflora.blogspot.com

การขยายพันธุ์ผักตบไทย

ผักตบไทย สามารถขยายพันธุ์ได้โดย การเพาะเมล็ดและการแยกต้นอ่อนไปปลูก แต่ในปัจจุบันไม่พบการนำผักตบไทยไปปลูก เนื่องจากในธรรมชาติก็ไม่พบผักตบไทยขึ้นอยู่เช่นกัน จึงไม่มีการนำไปเพาะขยายพันธุ์ต่อ ซึ่งผักตบไทย นั้นไม่มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปได้รวดเร็ว เหมือนผักตบชวา เพราะผักตบไทยสามารถกระจายพันธุ์ได้ในแหล่งน้ำตื้นเท่านั้นและยังไม่สามารถลอยน้ำยืนต้นโดยไม่มีดินได้เหมือนผักตบชวา


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีจากส่วนเหนือดินของผักตบไทย ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดเช่น สารสกัดจากใบพบสารกลุ่มฟีนอลและฟลาโวนอยด์ เช่น protocatechuic acid, vanillic acid, syringic acid, ferulic acidrutin, quercetin glycosides, Apigenin-7-O-rutinoside, Apigenin-7-O-glucoside (apigetrin) และ Luteolin-7-O-glucoside ส่วนในสารสกัดเอทิลอะซีเตตจากส่วนเหนือดินและส่วนใบของผักตบไทย พบกรดไขมันและเอสเทอร์ของกรดไขมัน เช่น Tridecanoic acid, methyl tridecanoate (TAME), 2-hexyldecanoic acid, dodecanoic acid และ diethyl phthalate เป็นต้น

โครงสร้างผักตบไทย

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของผักตบไทย

มีรายงานการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของผักตบไทยระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้

           มีรายงานว่าสารสกัดเมทานอลจากส่วนใบของผักตบไทย มีฤทธิ์ระงับปวด/ต้านการอักเสบและมีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง โดยฤทธิ์ระงับปวดเป็นแบบลดการบิดเกร็ง เมื่อให้สารสกัดในขนาด 400 มก./กก. (เทียบเคียงใกล้เคียงdiclofenac87%)

           ส่วนฤทธิ์ต้านอักเสบเป็นการลดอาการบวม carrageenan-induce paw edema ได้อย่างมีนัยสำคัญสำหรับฤทธิ์กดประสาท มีการทดสอบแบบ open-field/hole-cross พบว่าหนูทดลองแสดงการลดการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ (คล้ายกับยาDiazepam) และยังมีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านเชื้อก่อโรคทางเดินอาหาร ของสารสกัดผักตบไทย จากส่วนใบ ของผักตบไทยพบว่า มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ enteric pathogens ในการทดสอบกลไกบ่งชี้การทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ การซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ การซึมผ่านเยื่อหุ้ม การรั่วขององค์ประกอบภายใน และความเสียหายทางสัณฐานวิทยาของเซลล์ ส่วนสารสกัดเอทิลอะซีเตตจากส่วนเหนือดิน พบว่ามีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย โดยแสดงโซนยับยั้งเชื้อ 7.0±0.3 ถึง 16.5± 0.8 มม.ที่ความเข้มข้น 100 มก./มล.


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของผักตบไทย

ไม่มีข้อมูล


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

ถึงแม้ว่าในการใช้ผักตบไทย มารับประทาน จะมีความปลอดภัย แต่สำหรับการนำมาใช้เป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ ตามสรรพคุณในตำรับตำรายาต่าง ๆ นั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรเป็นอื่นๆ โดยการใช้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้


เอกสารอ้างอิง ผักตบไทย
  1. เดชา ศิริภัทร.ผักตบ: ผักพื้นบ้านที่ถูกลืม. คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 193. พฤษภาคม 2538.
  2. ดร.นิจศิริ เรืองรังสี, ธวัชชัย มังคละคุปต์, ผักตบไทย (Phak Top Thai) หน้า 177.
  3. เบญจวรรณ ชิวปรีชา, ศุภกร ไทยมา. (2562). กายวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบและสัณฐานวิทยาเรณูของผักตบไทย (Monochoria hastata (L.) Solms var. hastata) และผักตบชวา (Eichhornia crassipes (Mart.) Solms). วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้, 10(2), 151-165.
  4. ฐานข้อมูลสมุนไพรไทย เขตอีสานใต้ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. ผักตบไทย, [ออนไลน์]. 2025, แหล่งที่มา: https://phar.ubu.ac.th/herb-DetailPhargarden/166.
  5. Ahmed, T., Nesa, L. M., Al-Aman, D. A., Kazi, I. N., Kobir, M. E., Ullah, M. A., Dhali, D., & Rashid, M. A. (2020). Analgesic, anti-inflammatory, and central nervous system depressant activities of Monochoria hastate (L.) Solms. in animal models. Pharmacognosy Magazine, 16(71), 580-584.
  6. Akter, R., Islam, M. K., Islam, R., et al. (2018). Evaluation of phytochemical screening and cytotoxic activity of different extracts of Monochoria hastata leaves. World Journal of Pharmacy and Pharmaceutical Sciences, 7(7), 71-82. 
  7. Chayamarit, K. (2005). Pontederiaceae. In Flora of Thailand Vol. 9(1): 53-57.
  8. Tungmunnithum, D., Renouard, S., Drouet, S., & Hano, C. (2022). Flavonoid profiles and antioxidant potential of Monochoria angustifolia and M. hastata (Pontederiaceae). Antioxidants, 11(5), Article 952
  9. Misra, D., Mandal, M., Ghosh, N. N., & Mandal, V. (2020). Extraction and volatile compounds profiling of the bioactive fraction of Monochoria hastata (L.) Solms. Pharmacognosy Magazine, 16(5 Suppl), 517-523..
  10. Wu, G. and C.N. Horn. (2000). Pontederiaceae. In Flora of China Vol. 24: 40-41.
  11. Bai, N. K., & Ilango, K. (2018). HPTLC fingerprinting and quantification of stigmasterol in Monochoria vaginalis and Monochoria hastata. Pharmacognosy Magazine, 14(55), 45-51. 
  12. Misra, D., Mandal, M., Ghosh, N. N., & Mandal, V. (2022). Anti-enteric efficacy and mode of action of tridecanoic acid methyl ester isolated from Monochoria hastata (L.) Solms. Brazilian Journal of Microbiology, 53(2), 715-726.