พฤกษ์ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

พฤกษ์ งานวิจัยและสรรพคุณ 11 ข้อ

ชื่อสมุนไพร  พฤกษ์

ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น  กะซึก,ซึก,คะโก,จามรี,จามจุรี,ก้ามปู (ภาคกลาง),ก้านฮุง,มะขามโคก,อ่อนนา,คางฮุง(ภาคอีสาน),กรีด,แกร๊ะ,กาแซ,กาไม(ภาคใต้),จ๊าขาม,ตุ๊ด(ภาคเหนือ),พญากะบุก(ภาคตะวันออก)

ชื่อวิทยาศาสตร์Albizia lebbeck (L.) Benth

ชื่อสามัญSiris, Indian walnus.

วงศ์LEGUMINOSAE-MIMOSOIDEAE

ถิ่นกำเนิด  พฤกษ์จัดเป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ ถั่ว (LEGUMINOSAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมเป็นบริเวณกว้าง ในเขตร้อนชื้นของทวีปเอเชีย บริเวณภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ เช่นใน อินเดีย บังคลาเทศ พม่า ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย จากนั้นจึงมีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนต่างๆ ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยมักพบขึ้นตามธรรมชาติทั่วไป หรือพบตามสองข้างทางหรือตามสถานที่ต่างๆ

ประโยชน์/สรรพคุณ  พฤกษ์จัดเป็นพันธุ์ไม้ดั้งเดิมของไทย ชนิดหนึ่งเนื่องจากมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย ดังนั้นจึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว โดยมีการนำมาใช้ประโยชน์หลายประการดังนี้

            มีการนำใบอ่อนและยอดอ่อนของพฤกษ์มาใช้รับประทานเป็นผักได้ เช่น ใช้ต้มหรือลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก นอกจากนี้ยังนำไปปรุงอาหารตำรับอื่นๆได้อีก เช่น แกงเลียง แกงป่า แกงส้ม ผัดไข่ หรือใช้ชุบไข่ทอด เป็นต้น อีกทั้งยังมีการนำพฤกษ์มาปลุกเป็นไม้ให้ร่มเงาตามอาคารสถานที่ต่างๆ เช่น วัด โรงเรียน ตามข้างหนอง บึง หรือ ตามรีสอร์ทต่างๆ  และในปัจจุบันยังมีการรณรงค์ให้นำพฤกษ์มาใช้ปลูกในที่เสื่อมโทรมและแห้งแล้ว เพื่อใช้ปรับปรุงสภาพดินให้สมบูรณ์ขึ้นได้ เนื่องจกเป็นพืชตระกูลถั่วจึงสามารถจับไนโตรเจนจากอากาศมาเปลี่ยนเป็นปุ๋ยไนเตรดได้ดี ส่วนเนื้อไม้ของพฤกษ์มีสีน้ำตาลอ่อนถึงแก่ เป็นมัน มีความแข็งแรง ทนทานปานกลาง เหนียว เลื่อยไสกบได้ง่าย ในต่างประเทศมีการนำมาใช้เป็นไม้ที่ใช้ค้าขายระหว่างประเทศด้วยชื่อทางการค้า คือ Kokko  สำหรับสรรพคุณทางยาของพฤกษ์นั้นตามตำรายาไทยและตำรายาพื้นบ้านได้ระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ดังนี้

  • เมล็ดและเปลือก มีรสฝาด ใช้บำรุงกำลัง ใช้เป็นยาฝาดสมาน แก้ไข้ รักษาแผลในช่องปาก ลำคอ เหงือกหรือฟันผุ แก้ท้องร่วง แก้บิด แก้ริดสีดวงทวารหนัก ห้ามเลือดตกใน แก้อักเสบ
  • เมล็ด ใช้ขับพยาธิ แก้ปวดข้อ รักษากลากเกลื้อน โรคเรื้อน รักษาเยื่อตาอักเสบ
  • ใบ ใช้ดับพิษร้อน ทำให้เย็น
  • ราก ใช้บำรุงธาตุ แก้โรคผิวหนังเรื้อรัง

รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้  ใช้บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้บิด แก้ริดสีดวงทวาร ห้ามเลือกตกใน โดยตำเปลือกต้นหรือรากมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้เป็นยาฝาดสมานในช่องปาก แก้คออักเสบ แผลในปาก เหงือกอักเสบ ฟันผุ โดยนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำอมกลั้วปากบ่อยๆ หรือนำเมล็ดทุบพอแตกต้มอมกลั้วปากก็ได้ ใช้ขับพยาธิ แก้ปวดข้อ นำเมล็ดมาทุบพอแตกต้มกับน้ำดื่ม ใช้ดับพิษร้อนถอนพิษไข้ ทำให้เลือดเย็น โดยนำใบมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้แก้โรคผิวหนังเรื้อรัง แก้หิด กลากเกลื้อน โดยนำรากสดมาทุบให้แหลกใช้ประคบตรงที่เป็น

ลักษณะทั่วไป  พฤกษ์จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบทรงพุ่มโปร่งกว้างพอสมควร มีความสูงของต้นได้ สูง 15-25 เมตร เปลือกต้นหนาสีเทาเข้มหรือน้ำตาลอมเหลือง แตกขรุขระ เป็นร่องตามยาว เปลือกด้านในมีสีแสดแดง ถึงก้านมักบิดงอเนื้อเปราะ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ออกเรียงสลับกันบนช่อใบ ก้านช่อใบมีขนละเอียดปกคลุมและมีความยาวประมาณ 20 เซนติเมตร ส่วนช่อแขนงใบยาว 5-10 เซนติเมตร ใบย่อยเป็นรูปไข่กลับกว้าง 1-2.5 เซนติเมตร ยาว 2-4 เซนติเมตร โคนใบสอบเบี้ยวปลายใบกลมซอกใบเรียบ  ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ออกเป็นช่อคล้ายดอกกระถิน ซึ่งจะออกบริเวณปลายกิ่งและโคนก้านใบ โดยจะออกเป็นช่อยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ใน 1 ช่อดอกจะมีดอกย่อยเป็นช่อกลมกว้าง มีเกสรยาวเป็นฝอย มีสีขาวอมเขียว และจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองนวล ดอกมีกลิ่นอ่อนๆตอนเย็น ผลออกเป็นฝักลักษณะแบนโตคล้ายฝักกระถิน มีความกว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 10-30 เซนติเมตร สีขาวอมเหลือง ทั้งนี้ พฤกษ์มักถูกเข้าใจว่าเป็นต้นไม้ชนิดเดียวกันกับจามจุรี หรือก้ามปู Samanea saman (Jacq.) Merr. เนื่องจากมีชื่อท้องถิ่นที่เรียกซ้ำถิ่น  แต่ความจริงจามจุรี Samanea saman (Jacq.) Merr. เป็นต้นไม้มาจากทวีปอเมริกาใต้ นำเข้ามาปลุกในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 5 แต่มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะลักษณะดอกที่มีเกสรยาวเป็นฝอย ต่างกันที่สีดอกพฤกษ์มีสีขาวเหลือง แต่ดอกจามจุรี สีออกชมพูแดง

การขยายพันธุ์  พฤกษ์สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ด ซึ่งวิธีการเพาะเมล็ดพฤกษ์นั้นต้องนำเมล็ดจากฝักที่แก่จัดมาแช่ในน้ำอุ่น 50 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 3 นาที จะทำให้มีอัตรางอกได้ดี ส่วนวิธีการปลูกนั้นสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการปลูกไม้ยืนต้นชนิดอื่นๆ ที่เคยได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ ทั้งนี้พฤกษ์จะสามารถเจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนชื้น กึ่งแห้งแล้งจนถึงเขตร้อนที่มีลักษณะฝนแล้ง มีความทนทานต่อสภาพดินที่เสื่อมโทรม ชอบแสงแดดจัด และยังสามารถเติบโตได้ในดินทุกชนิดรวมถึงดินเค็ม เป็นไม้ที่เจริญเติบโตได้ค่อนข้างรวดเร็ว โดยสามารถสูงได้ถึง 18 เมตร ภายใน 10 ปีเลยทีเดียว

องค์ประกอบทางเคมี มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีจากส่วนต่างๆของพฤกษ์ระบุว่า พบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่นใน

  • เปลือกไม้พบสารกลุ่ม มีแทนนิน เช่น D-catechin, lebbecacidin , leucoanthocyanidin, lebbecine , melacacidin , quercetin, kaempgerol , B-sitosterol , saponin, betulinic acid และ lupeol  เป็นต้น
  • ใบ พบสาร caffeic acid, kaempferol , quercetin ,  albiziahexoside A1 และ A2 
  • เมล็ดพบสาร saponin, budmunchiamines , N-dimethylbudmunchiamine, docosonoic acid และ linoleic acid

ส่วนอีกการศึกษาหนึ่งระบุว่าสารสกัดคลอโรฟอร์มจากเมล็ดของพฤกษ์พบสารต่างๆดังนี้

n-Hexadecanoic acid , Phthalic acid , Hentriacontane , Triacontane , Octadecanoic acid , Hexadecanoic acid

 

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา  มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของพฤกษ์ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้

ฤทธิ์ต้านจุลชีพ (Antimicrobial activity) มีรายงานผลการศึกษาวิจัยระบุว่าสารสกัดเปลือกและใบของพฤกษ์สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ชนิด Staphylococcus aureus, E. coli และ Candida albicans ได้                         ส่วนสารสกัดจากเปลือกไม้ ต้นพฤกษ์ มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ชนิด Serratia marcescens,  Bacillus subtilis, และเชื้อราชนิด Fusarium oxysporum ได้

ฤทธิ์ต้านเนื้องอก (Antitumor/Anticancer activity) มีรายงานผลการศึกษาวิจัยพบว่า สาร lebbecine ที่แยกได้จากเปลือกพฤกษ์แสดงฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งบางชนิดในหลอดทดลองได้เป็นอย่างดี

ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) มีรายงานว่าสารสกัดเปลือกพฤกษ์ แสดงฤทธิ์ลดอาการบวมในสัตว์ทดลองและยังสามารถลดการอักเสบในสัตว์ทดลองได้

ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด (Antidiabetic activity) จากผลการศึกษาวิจัยของสารสกัดใบและเปลือกต้นพฤกษ์ ระบุว่า สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลองได้เป็นอย่างดี อีกทั้งสารสกัดเมล็ดยังมีฤทธิ์ยับยั้งการปล่อยสาร histamine ได้ 

            นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า สารสกัดจากส่วนต่างๆ ของพฤกษ์ยังมีฤทธิ์ ด้านโรคหอบหืด ต้านภาวะเจริญพันธุ์ต้านท้องร่วง ต้านบิด ต้านวัณโรค ต้านโรคเรื้อน และมีฤทธิ์สมานแผล เป็นต้น

การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา  มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสารสกัด (ไม่ระบุส่วน) ของพฤกษ์ระบุว่า เมื่อให้สารสกัดในขนาดสูงถึง 2,000 mg/kg ในสัตว์ทดลอง พบว่าไม่พบอาการเป็นพิษเฉียบพลันแต่อย่างใด

ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง  สำหรับการใช้พฤกษ์เป็นสุมนไพรเพื่อบำบัดรักษาโรคต่างๆนั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยการใช้ในขนาด/ปริมาณที่เหมาะสมได้ ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไปหรือใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ นอกจากนี้ เมล็ดของพฤกษ์ยังมีสาร saponins ในปริมาณสูง ซึ่งหากรับประทานสดหรือในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสียได้

อ้างอิง พฤกษ์

  1. เดชา ศิริภัทร.พฤกษ์ : ผักยืนต้นพื้นบ้านไทยหลากหลายชื่อ.คอลัมน์ พืช-ผัก-ผลไม้.นิตยสารหมอชาวบ้านเล่มที่247.พฤศจิกายน2542.
  2. เศรษฐมนตร์ กาญจนกุล. ไม้มีพิษ. กทม. เศรษฐศิลป์. 2552
  3. พฤกษ์.พืชกินได้ในป่าสะแกราช.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย(วว.)หน้า213-214.
  4. Parrotta  JA.  Albizia  lebbeck.  In: Tropical  Tree  Seed Manual, Agriculture Handbook 721 [ed. by  Vozzo  JA]. Washington DC, USA: USDA Forest Service. 2002;899.
  5. Brown, Sandra. (1997): Appendix 1 - List of wood densities for tree species from tropical America, Africa, and Asia. In: Estimating Biomass and Biomass Change of Tropical Forests: a Primer. FAO Forestry Papers 134.
  6. Lowry JB, Prinsen JH, Burrows DM. Albizia lebbeck - a promising  forage  tree for  semiarid  regions.  Forage tree legumes in tropical agriculture. 1994;75-83: 24 ref.
  7. S.E. Besra, A. Gomes, L. Chaudhary, J.R. Vedasiromoni and D.K. Ganguly, Antidiarrhoeal activity of seed extract of Albizzia lebbeck studied on conventional rodent models of diarrhea, Phytotherapy Research, 16 (6): 529-30 (2002)
  8. Rojas-Sandoval  J, Datiles  M.  J,  Acevedo-Rodriguez  P. Albizia  lebbeck  (Indian  Siris).  2017. https://doi.org/10.1079/cabicompendium.4008
  9. C.C. Baruah, P.P. Gupta, G.K. Patnaik, Misra, S. Bhattacharya, R.K. Goel, D.K. Kulshreshtha, M.P. Dubey, and B.N.Dhawan, Immunomodulatory effect of Albizzia Lebbeck. Pharmaceutical Biology,38 (3): 161-66 (2000)
  10. Subhadeep  Sasmal,  Shiuraj  Kumar  P,  Bharathi  K. Pharmacognostical,  phytochemical  and pharmacological evaluation  of  alcoholic  leaf  extract  of  Albizia  lebbeck benth. 2013;2.