หูกวาง ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆและข้อมูลงานวิจัย

หูกวาง งานวิจัยและสรรพคุณ 29 ข้อ


ชื่อสมุนไพร หูกวาง
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น โขน, โคน, คัดมือ, ตาปัง, หลุมปัง, ตาแป (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Terminalia catappa Linn.
ชื่อสามัญ Tropical almond, Indian almond, Sea almond, Umbrella tree, Oliver-bark tree
วงศ์ COMBRETACEAE

ถิ่นกำเนิดหูกวาง

หูกวาง จัดเป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนของทวีปเอเชีย อาทิเช่น ในเอเชียใต้ ได้แก่ อินเดีย ศรีลังกา บังกลาเทศ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น พม่า ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย รวมถึงในเอเชียโอเชียเนีย เช่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ด้วย จากนั้นจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนต่างๆ ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทย สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่ส่วนมากจะพบได้มากตามชายฝั่งทะเลทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ภาคตะวันตกเฉียงใต้และภาคใต้

ประโยชน์และสรรพคุณหูกวาง

  • แก้ไข้
  • แก้หวัด
  • แก้บิด
  • แก้ท้องร่วง
  • ขับน้ำนมในสตรี
  • ใช้เป็นยาระบาย
  • แก้คุดทะราด
  • ใช้เป็นยาขับลม
  • รักษาตกขาวของสตรี
  • รักษาโรคโกโนเรีย
  • ใช้สมานแผล
  • ใช้ขับเหงื่อ
  • แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ
  • รักษาโรคทางเดินอาหาร 
  • รักษาโรคตับ
  • ช่วยบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก
  • แก้ไขข้ออักเสบ
  • แก้ติดเชื้อในแผล
  • แก้ผดผื่นคัน
  • รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา
  • ใช้ยาถ่ายพยาธิ
  • บำรุงร่างกาย
  • บำรุงเลือด
  • บำรุงหัวใจ
  • แก้นิ่ว
  • แก้ขัดเบา
  • แก้ซางในเด็ก
  • แก้ปวดตามข้อ
  • ใช้แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติในสตรี

           หูกวางถูกนำมาใช้ประโยชน์ตั้งแต่อดีตในหลายๆ รูปแบบ อาทิเช่น ในสมัยก่อนนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ เนื่องจากใบหูกวาง มีลักษณะใบใหญ่ สีเขียวอ่อน แลดูสวยงาม สดชื่นและให้ร่มเงาได้เป็นอย่างดี ส่วนเมล็ดหูกวางสามารถนำมารับประทานได้ โดยนำเนื้อในเมล็ดมารับประทานทั้งแบบสดๆ และใช้เผาไฟรับประทาน อีกทั้งยังสามารถนำเมล็ดไปทำเป็นน้ำมันเพื่อนำไปใช้บริโภค หรือ ทำเครื่องสำอางได้อีกด้วย ในส่วนของเนื้อไม้สามารถนำมาแปรรูปเป็นไม้แผ่นสำหรับก่อสร้างบ้าน ทำเครื่องเรือนหรือเฟอร์นิเจอร์ได้โดย เนื้อไม้จะมีสีแดงหรือน้ำตาลออกดำบริเวณแก่น มีเสี้ยนละเอียดสามารถขัดและชักเงาได้ดี ส่วนใบหูกวาง สามารถนำมาใช้ทำสีย้อมผ้า ซึ่งจะให้สีเขียวในใบอ่อนและสีเหลืองในใบแก่ ส่วนของรากและผลดิบก็ใช้ในการฟอกย้อมหนังใช้ในการผลิตหมึกสีดำอีกด้วย

หูกวาง

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้แก้ไข้ แก้หวัด ท้องเสีย แก้โรคบิด ใช้เป็นยาระบาย แก้คุดทะราด และช่วยขับน้ำนมของสตรี โดยนำทั้งต้นหูกวาง (5 ส่วน) มาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้โรคตับ แก้ปวดตามข้อ แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร แก้ซางในเด็ก แก้โกโนเรีย แก้อาการตกขาว ขับลมโดยนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้ขับเหงื่อ ลดไข้ แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ ใช้ถ่ายพยาธิ รักษาอาการปวดตามข้อ ใช้เป็นยาระบาย โดยนำใบมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้ประจำเดือนของสตรีมาไม่ปกติ โดยนำรากมาต้มกับน้ำดื่ม
  • แก้ติดเชื้อในแผล ทำให้แผลหายเร็ว โดยนำใบสดมาตำพอกบริเวณแผล
  • ใช้รักษาแผล รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา แก้ผดผื่นคัน โดยนำใบมาต้มกับน้ำอาบ

ลักษณะทั่วไปของหูกวาง

หูกวาง จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง ทึบมีความสูงของต้นประมาณ 10-15 เมตร มีเรือนยอดหนาแน่น แตกกิ่งก้านแผ่ออกในแนวราบเป็นชั้นๆ คล้ายฉัตร หรือ พีระมิด ลำต้นเปลาตรง เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลปนเทาเกือบเรียบ แตกเป็นร่องตื้นๆ ตามแนวนอนและแนวตั้ง อีกทั้งลอกออกเป็นสะเก็ดเล็กๆ ต้นที่มีอายุมากและมีขนาดใหญ่จะมีพูพอนที่โคนต้น กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาล ส่วนเนื้อไม้เป็นสีแดงเปราะหักง่าย มีเสี้ยนไม้ละเอียดสามารถขัดชักเงาได้ดี

           ใบหูกวาง เป็นใบเดี่ยวออกเรียงเวียนสลับหนาแน่นบริเวณปลายกิ่ง ลักษณะแผ่นใบเป็นรูปไข่กลับ ยาว 12-25 เซนติเมตร โคนใบสอบแคบมีต่อม 1 คู่ ปลายใบแหลมเป็นติ่งสั้นๆ ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบ เมื่อยังอ่อนมีสีเขียวเข้มหนา ด้านล่างจะมีสีอ่อนกว่าและมีขนนุ่มปกคลุม ใบแก่ใกล้หลุดร่วงเป็นสีส้มแดงและมีก้านใบยาว 0.5-1.5 เซนติเมตร

           ดอกหูกวาง ออกเป็นช่อเชิงลดบริเวณซอกใบ หรือ ปลายกิ่ง โดยเป็นรูปเป็นแท่งสีขาวนวล ยาวประมาณ 8-12 เซนติเมตร และมีดอกย่อยสีขาวที่ขนาดเล็ก ประกอบด้วยโคนกลีบเลี้ยงที่เชื่อมติดกัน ส่วนปลายแยกเป็น 5 แฉก รูปสามเหลี่ยม ไม่มีกลีบดอก ซึ่งดอกเพศผู้จะอยู่ปลายช่อและมีดอกสมบูรณ์เพศบริเวณโคนช่อ

           ผลหูกวาง เป็นผลเดี่ยวแข็ง มีขนาดกว้าง 2-5 เซนติเมตร และยาว 3-7 เซนติเมตร ลักษณะผลเป็นรูปทรงรีค่อนข้างแบนเล็กน้อย ผิวผลเรียบ ผลด้านข้างเป็นสันบางๆ นูนออกรอบผล ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอม และเมื่อผลแห้งจะเป็นสีดำคล้ำ เปลือกผลมีเส้นใยมาก ในแต่ละผลจะมีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดมีขนาดใหญ่รูปไข่ หรือ รูปรี แบนป้อมเล็กน้อย คล้ายอัลมอนด์ เมื่อเมล็ดแห้งจะเป็นสีน้ำตาล เปลือกแข็งภายในมีเนื้อสีขาวจำนวนมาก

หูกวาง
หูกวาง

การขยายพันธุ์หูกวาง

หูกวางสามารถขยายพันธุ์โดยวิธีการเพาะเมล็ดและการปักชำกิ่ง แต่วิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ การเพาะเมล็ด โดยมีวิธีการดังนี้

           เริ่มจากเก็บเมล็ดมาปลูกขยายพันธุ์ ซึ่งควรเก็บเมล็ดที่แก่ ซึ่งเมล็ดหูกวาง จะมีเปลือกหนาแข็ง ควรนำมาตากแห้งและนำมาแช่น้ำประมาณ 3-5 วันก่อนปลูก จากนั้นทำการปลูกในถุงเพาะชำ ที่ได้ผสมดินกับวัสดุการเกษตร เช่น ปุ๋ยคอก แกลบ ขี้เถ้า ขี้เลื่อยและขุยมะพร้าวอย่างใดอย่างหนึ่ง ในอัตรา 1:1 หรือ 2:1 จากนั้นรดน้ำให้ชุ่มคอยดูแลให้น้ำประมาณ 15-20 วัน ก็จะเกิดเป็นต้นกล้า เลี้ยงต้นกล้าต่ออีกประมาณ 15 วัน ก็สามารถนำไปปลูกได้

องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมี ของสารสกัดจากใบและเปลือกต้นของหูกวาง ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด อาทิเช่น tectochrysin, luteolin, kaempferol 3,7,4′-trimethyl ether, kaempferol, gallic acid, stigmasterol, daucosterol, β-sitosterol, geraniin, granatin B, corilagin, terflavins A และ B, punicalagin, punicalin, tergallagin, chebulagic acid, tercatain, Terminalin, Isovitexin, Isoorientin, Orientin, Corilagin, Vitexin

โครงสร้างหูกวาง

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของหูกวาง

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดหูกวาง จากใบและเปลือกต้นระบุว่า มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่สำคัญหลายประการ อาทิเช่น มีการศึกษาฤทธิ์การต้านเบาหวานของใบหูกวางในหนูทดลองที่ได้รับการกระตุ้นด้วยสเตรปโตโซโตซิน (STZ) จากสารสกัดเอทานอลจากใบหูกวาง ที่มีความเข้มข้น (300 และ 500 มก./กก.) จากนั้นค่าวิเคราะห์พารามิเตอร์ทางชีวเคมีในตัวอย่างเลือด เปรียบเทียบผลลัพธ์ของการรักษาด้วยสมุนไพรกับยามาตรฐาน glibenclamide พบว่าสารสกัดเอธานอล (500 มก./กก.) มีฤทธิ์ต้านเบาหวานอย่างมีนัยสำคัญโดยการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลในเลือด ไกลโคซิเลตฮีโมโกลบิน ไกลโคเจนในตับ ระดับ กรดยูริก และครีเอตินิน ในขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มระดับอินซูลินในเลือดอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าสารสกัดจากใบของหูกวาง ยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัวและลดอาการปวดได้อีกด้วย


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของหูกวาง

ไม่มีข้อมูล


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

สำหรับการนำหูกวาง มาใช้ประโยชน์ในรูปแบบสมุนไพรนั้นควรระมัดระวัง เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมตามที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ อีกทั้งผู้ที่เป็นภูมิแพ้ละอองเกสรควรระวัง ในการใช้เพราะอาจจะแพ้ละอองเกสรของต้นหูกวางได้


เอกสารอ้างอิง หูกวาง
  1. เต็ม สมิตินันท์. (2557). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. กรุงเทพฯ : สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  2. ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์. “หูกวาง (Hu Kwang)”. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. หน้า 335.
  3. สุธรรม อารีกุล. (2552). องค์ความรู้เรื่องพืชป่าที่ใช้ประโยชน์ทางภาคเหนือของประเทศไทย เล่ม 1. เชียงใหม่ : มูลนิธิโครงการหลวง.
  4. ราชันย์ ภู่มา. (2559). สารานุกรมพืชในประเทศ (ฉบับย่อ) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา. กรุงเทพฯ : สำนักงานหอพรรณไม้สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.
  5. ต้นหูกวาง ประโยชน์และสรรพคุณต้นหูกวาง. พืชเกษตรดอทคอม เว็บเพื่อพืชเกษตรไทย (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก http://www.puechkaset.com
  6. Oelrichs, P.B., Pearce, C.M., Zhu, J., Filippich, L.J., 1994. Isolation and structure determination of terminalin a toxic condensed tannin from Terminalia oblongata. Nat. Toxins 2, 144-150.
  7.  Arumugam Vijaya Anand, Natarajan Divya1, Pannerselvam Punniya Kotti. - An updated review of Terminalia catappa, Pharmacogn Rev. 9 (18) (2015) 93-98. DOI: https://doi.org/10.4103/0973-7847.162103 
  8. Lin, Y.L., Kuo, Y.H., Shiao, M.S., Chen, C.C., Ou, J.C., 2000. Flavonoid glycosides from terminalia catappa L. J. Chin. Chem. Soc. 47, 253-256
  9. Mohale D. S., Dewani A. P., Chandewar A. V., Khadse C. D., Tripathi A. S., Agrawal S. S. - Brief review on medicinal potential of Terminalia catappa, Journal of Herbal Medicine and Toxicology 3 (1) (2009) 7-11.