ยี่เข่ง ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

ยี่เข่ง งานวิจัยและสรรพคุณ 16 ข้อ

ชื่อสมุนไพร  ยี่เข่ง

ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น  คำฮ่อ (ภาคเหนือ),จีหมุ่ยอวย (จีน)

ชื่อวิทยาศาสตร์Lagerstoremia indica Linn.

ชื่อสามัญChinese crape myrtle , Crape myrtle, Crape flower, Indian lilac

วงศ์LYTHRACEAE

ถิ่นกำเนิด  ยี่เข่งจัดเป็นพืชในวงศ์ตะแบก (LYTHRACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตอบอุ่นของทวีปเอเชียตะวันออก บริเวณภาคตะวันออกของจีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น  ต่อมาจึงได้มีการกระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนต่างๆ ของทวีปเอเชีย รวมถึงเขตอบอุ่นทั่วโลก สำหรับในประเทศไทย สามารถพบได้ทางภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสาน แต่จะพบได้มากทางภาคเหนือ

ประโยชน์/สรรพคุณ ยี่เข่งถูกนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับตามสวนสาธารณะหรืออาคารสถานที่ต่างๆ รวมถึงถูกนำมาปลูกเป็นแนวตามริมทางหลวง เนื่องจากดอกมีสีสันที่สวยหลากหลายสี ลักษณะดอกมีกลีบย่นแลดูสวยงาม อีกทั้งยังเป็นพันธุ์ไมท้ที่ทนแล้ง ไม่ต้องการดูแลเอาใจใส่มากและสามารถเจริญเติบโตได้เองในสภาพอากาศที่แห้งแล้ง สำหรับประโยขน์ทางยาของยี่เข่นนั้น ตามตำรายาไทยตำรายาจีนและตำรายาพื้นบ้านได้รวมถึงสรรพคุณเอาไว้ดังนี้

  • เปลือกต้น ใช้เป็นยาลดไข้ กระตุ้นกระเพาะอาหารใช้เป็นยา ฝาดสมาน ใช้ห้ามเลือด ล้างฝีหนอง
  • ใบ ใช้เป็นยาระบาย ใช้เป็นยาฝาดสมาน แก้บิด แก้ผดผื่นคัน ล้างแผล รักษาแผลสด
  • ดอก ใช้แก้หวัด แก้หนองใน แก้ตกเลือดหลังคลอด แก้แผลฝีหนอง กลากเกลื้อนบริเวณหนังศีรษะ
  • รากใช้แก้ปวดฟัน ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวก แก้บิด

รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้  

  • ใช้ทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก แก้บิด โดยนำรากมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้บิด ใช้ใบ นำมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้ลดไข้ กระตุ้นกระเพาะอาหาร ใช้เป็นยาฝาดสมาน โดยนำเปลือกต้นมาต้มน้ำดื่ม
  • ใช้แก้อาการตกเลือดหลังคลอดบุตร โดยใช้ดอกสดต้มกับน้ำดื่มและกินทั้งกาก
  • ใช้แก้อาการปวดฟัน โดยใช้รากยี่เข่งผสมกับเนื้อหมูต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้ผดผื่นคัน โดยใช้ใบสดมาต้มกับน้ำแล้วใช้ชะล้าง หรือจะนำมาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็นก็ได้เ
  • ใช้รักษาบาดแผลสด ด้วยการใช้ในหากแห้งแล้วนำมาบดเป็นผง นำมาโรยบริเวณบาดแผล
  • ใช้แก้โรคหนองใน ด้วยการใช้ดอกแห้ง 3-10 กรัม หรือจะใช้ดอกสด 15-30 กรัมต้มกับน้ำใช้ชะล้าง
  • รักษากลากเกลื้อน แผลหนองที่หนังศีรษะ โดยใช้ดอกหรือรากแห้ง 3-10 กรัม หรือใช้ดอกสดหรือรากสดประมาณ 15-30 กรัม นำมาบดผสมกับน้ำส้มสายชูแล้วทาบริเวณที่เป็น

ลักษณะทั่วไป ยี่เข่งจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กหรือไม้พุ่มขนาดใหญ่ผลัดใบทรงพุ่ม กว้าง 2-4 เมตร มีความสูงของต้น 3-7 เมตร เปลือกลำต้นเรียบมีสีน้ำตาลเป็นมัน และมักแตกเป็นสะเก็ดขาวลอกเป็นแผ่น ส่วนกิ่งก้านมักเป็นเหลี่ยม และมีขนขึ้นปกคลุมประปราย ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับตรงข้ามหรืออาจเยื้องกันเล็กน้อย ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่ ถึงรูปไข่กลับแกมขนาน มีความกว้างของใบ 3-4 เซนติเมตร ยาว 6-8 เซนติเมตร โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบค่อนข้างบางมีสีเขียวบริเวณผิวใบจะมีขนสากมือเล็กน้อยตามเส้นกลางใบก้านใบยาว 0.1-0.3 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อแบบแยกแขนง บริเวณปลายกิ่ง โดยช่อดอกจะมีความยาวได้ถึง 20 เซนติเมตร และมีดอกย่อยจำนวนมาก สำหรับดอกย่อย ส่วนบนจะบานแผ่ออกเป็นกลีบกลม 6 กลีบของกลีบดอกหยิกๆ มีรอยย่นยับ และมีเกสรดอกปลายเป็นตุ่มมีเหลืองสด และในส่วนล่างของดอกจะเป็นเส้นกลมเล็ก เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างประมาณ 1.5 นิ้ว ส่วนสีของดอกมีหลายสี เช่น สีขาว สีม่วง สีชมพู สีบานเย็น และสีแดง ผลเป็นรูปรีรูปเกือบกลม หรือรูปไข่ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7-1.4 เซนติเมตร เปลือกผลแข็ง เมื่อผลแห้งแล้วจะแตก ออกเป็น 5 ซีก ด้านในผลมีเมล็ดขนาดเล็ก จำนวนมาก

ขยายพันธุ์ ยี่เข่งสามารถขยายพันธุ์ได้โลก การใช้เมล็ด การปักชำและการตอนกิ่ง แต่วิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันคือ การตอนกิ่ง สำหรับวิธีการตอนกิ่งและการปลูกยี่เข่งนั้นสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการตอนกิ่ง และการปลูก “เสลา” หรือ “ตะแบก” ซึ่งเป็นพืชในวงศ์เดียวกัน (LYTHRACEAE) และได้กล่าวถึงมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้

องค์ประกอบทางเคมี  มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนของเปลือก ต้น ใบ และดอกของยี่เข็ง ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น สารกลุ่มสเตอรอล (Sterols) เช่น  γ-sitosterol ,(Z)-9-Octadecenamide (oleamide) ,  Phytol , α-Tocopherol (Vitamin E) ,  Squalene , n-Hexadecanoic acid (palmitic acid) , Linolenic acid , 5-Hydroxymethylfurfural (HMF) , Campesterol  , 3,7,11,15-Tetramethyl-2-hexadecen-1-ol , 1,2,3-Benzenetriol (pyrogallol) , Linoleic acid , Octadecanoic acid (stearic acid) , Stigmasterol , Octadecane , Cycloartenol , Lupeol , Hexadecanoic acid  ไตรเทอร์พีน (triterpenes) เช่น Lageflorin สารกลุ่ม ฟีนอลิกส์ (Phenolics) เช่น 3,4,3′-tri-O-methylellagic acid ,  flosin , reginin สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) เช่น Anthocyanin และสารกลุ่มฟีนอลิก (Phenolic acids) เช่น corosolic acid เป็นต้น 

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัด จากส่วนใบ ผล และดอก ของยี่เข่ง ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ ดังนี้

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ในหลอดทดลองของสารสกัดจากส่วนดอก ใบ และผลของยี่เข่ง พบว่าสารกลุ่ม phenolics, flavonoids ที่พบในสารสกัดแสดงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ในการทดลอบแบบ DPPH และ FRAP ในหลอดทดลองอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้สารสกัดดังกล่าวยังแสดง   ฤทธิ์ต้านจุลชีพ (antimicrobial / anticariogenic) โดยแสดงฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียหลายสายพันธุ์ เช่น S. aureus, E. coli และ S. mutans ในการทดสอบ agar diffusion อีกด้วย

ส่วนการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองมีรายงานการศึกษาวิจัย ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด (hypoglycemic / antidiabetic) ในหนูทดลองพบว่า สารสกัดจากส่วนใบและดอกแสดงฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดและเพิ่มการนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์โดยมีรายงานว่า สารชนิดที่เชื่อมโยงกับฤทธิ์นี้ ได้แก่ corosolic acid และ γ-sitosterol

นอกจากนี้สารสกัดดังกล่าวยังมี ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) โดยแสดงผลลดอาการบวมน้ำและลดอาการปวดได้  รวมถึงยังมีฤทธิ์ปกป้องตับ (anti-fibrotic) โดยพบว่าสารสกัดสามารถช่วยลดความเสียหายของตับและปัจจัยชีวเคมีที่ผิดปกติจากสารชักนำได้

การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา  มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาด้านความเป็นพิษเฉียบพลันของสารสกัดน้ำจากใบของยี่เข่งระบุว่า มีความปลอดภัยทางปากที่สูง — โดยมีค่า LD₅₀ เกิน 5 g/kg ในสัตว์ทดลอง อย่างไรก็ตาม เมื่อให้ในขนาดที่สูงขึ้นก็ทำให้เกิดภาวะเป็นพิษในระดับดีเอ็นเอหรือเกิดผลข้างเคียงเมื่อใช้ความเข้มข้นสูง

ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง สำหรับการใช้ยี่เข่งเป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคนั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาด/ปริมาณที่เหมาะสม ที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภพในระยะยาวได้

อ้างอิงยี่เข่ง

  1. เต็ม สมิตินันท์ 2523 ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (ชื่อพฤกษศาสตร์ -ชื่อพื้นเมือง) กรมป่าไม้,กรุงเทพฯ, 279 น.
  2. เอื้อมพร วีสมหมาย และทยา เจนจิตติกุล,2544 พฤกษาพัน,โรงพิมพ์เอช เอ็น กรุ๊ป จำกัด
  3. ราชันย์ ภู่มา และคณะสารานุกรมพืชในประเทศไทย (ฉบับย่อ).พ.ศ.2559,โรงพิมพ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรุงเทพฯ.365 หน้า.
  4. ลัดดาวัลย์ บุญรัตนกรกิจ และ ถนอมจิต สุภาจิตา 2521ชื่อพืชสมุนไพรและประโยชน์ แผนกเภสัช-พฤกษศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ107 H.
  5. ยี่เข่ง.คอลัมน์ต้นไม้ประจำฉบับ.นิตยสารเพื่อนแท้เกษตรไทย ปีที่ 7 ฉบับที่2.เมษายน-มิถุนายน2553.44หน้า
  6. Sikarwar, M. S., et al. (2016). Phytochemical constituents and pharmacological activities of Lagerstroemia (review). Journal of Applied Pharmaceutical Science, 6(08), 185–190.
  7. Alkahtani, S., et al. (2021). Acute and sub-acute oral toxicity of Lagerstroemia speciosa leaves in Sprague-Dawley rats. 
  8. Qin, H., S.A. Graham and M.G. Gilbert. (2007). Lythraceae. In Flora of China Vol. 13: 279.
  9. Yue, Z., Xu, Y., Cai, M., Fan, X., Pan, H., Zhang, D., & Zhang, Q. (2024). Floral Elegance Meets Medicinal Marvels: Traditional Uses, Phytochemistry, and Pharmacology of the Genus Lagerstroemia L. Plants, 13(21), article 3016.
  10. Huang, G.-H., Zhan, Q., Li, J.-L., Chen, C., Huang, D.-D., Chen, W.-S., & Sun, L.-N. (2013). Chemical constituents from leaves of Lagerstroemia speciosa L. Biochemical Systematics and Ecology, 51, 109–112.
  11. de Wilde, W.J.J.O., B.E.E. Duyfjes and P. Phonsena. (2014). Lythraceae. In Flora of Thailand Vol. 11(4): 565–566.
  12. Sirikhansaeng, P., Tanee, T., Sudmoon, R., & Chaveerach, A. (2017). Major phytochemical as γ-sitosterol disclosing and toxicity testing in Lagerstroemia species. Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine, 2017,