กุยช่าย ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
กุยช่าย งานวิจัยและสรรพคุณ 18ข้อ
ชื่อสมุนไพร กุยช่าย
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ผักไม้กวาด(ภาคกลาง),หอมแป้น(ภาคเหนือ),ผักแป้น(ภาคอีสาน),กูไฉ่(จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Allium tuberosum Rottler ex Spreng.
ชื่อสามัญ Chinese chives, Garlic chives, Leek , Chinese leek,Oriental garlic.
วงศ์ ALLIOIDEAE
ถิ่นกำเนิดกุยช่าย
กุยช่ายเป็นพันธุ์พืชที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในประเทศจีน โดยเชื่อกันว่ากุยช่ายเป็นอาหารที่ชาวจีนรู้จักมากว่า 3 พันปีมาแล้ว นอกจากนี้ยังมีบันทึกถึงการเพาะปลูกกุยช่ายเพื่อเป็นอาหารในสมัยเซี้ย (2205-1766 ก่อนคริสต์ศักราช) อีกด้วย แล้วต่อมามีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังพื้นที่ใกล้เคียงในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน และแถบภูเขาหิมาลัย รวมถึงในอินเดียด้วย แต่ในปัจจุบันยังสามารถพบเห็นได้ตามเขตร้อนต่างๆ ในเอเชียเช่นกัน ซึ่งกุยช่ายที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดทุกวันนี้ ประกอบด้วย 3 ชนิด คือ กุยช่ายเขียว กุยช่ายขาว และกุยช่ายดอก
ประโยชน์และสรรพคุณกุยช่าย
- ช่วยขับน้ำนม
- ช่วยบำรุงกำหนัด
- ช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ
- แก้อาการแน่นหน้าอก
- แก้อาเจียนเป็นเลือด
- แก้เลือดกำเดาออก
- ช่วยบำรุงเลือด
- ช่วยบำรุงกระดูก
- ช่วยบำรุงไต
- ช่วยแก้ปัสสาวะเป็นเลือด
- แก้ริดสีดวงทวาร
- แก้นิ่ว
- แก้หนองใน
- แก้ปวดบวม
- แก้ช้ำใน
- แก้แมลงสัตว์กัดต่อย
- ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งต่างๆ
- ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด
ลักษณะทั่วไปกุยช่าย
กุยช่ายจัดเป็นไม้ล้มลุก สูง 30-45 เซนติเมตร มีลำต้นที่เป็นหัวหรือเหง้าเล็กอยู่ใต้ดินและแตกเป็นกอ ใบเป็นใบเดี่ยวแบน แบบเรียงสลับ รูปขอบขนาน ยาว 30-40 ซม. โดยใบจะเป็นสีเขียวส่วนโคนเป็นกาบบางซ้อนสลับกัน ดอกออกเป็นช่อแบบซี่ร่ม โดยจะอยู่บนก้านดอกส่วนก้านช่อดอกกลมตันสีเขียว ยาว 40-45 ซม. สำหรับดอกมีสีขาว กลิ่นหอม กลีบดอกมี 6 กลีบ ยาวประมาณ 5 มม. โคนติดกัน ปลายแยก กลางกลีบดอกด้านนอกมีสันหรือเส้นสีเขียวอ่อนจากโคนกลีบไปหาปลาย มีใบประดับหุ้มช่อดอก เมื่อดอกบานจะกว้างประมาณ 1 ซม. มีเกสรเพศผู้ 6 อัน เกสรเพศเมีย 1 อัน และมีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ ผล เป็นทรงกลม ภายในมีช่อง 3 ช่องและมีผนังตื้น ๆ เมื่อผลแก่แตกออกตามตะเข็บ ลักษณะแบน ขรุขระ สีน้ำตาลบรรจุอยู่ในช่องของผลทั้ง 3 ช่อง มีช่อละ 1-2 เมล็ด
การขยายพันธุ์กุยช่าย
กุยช่ายสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ด และการแยกเหง้าปลูก แต่วิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันคือการใช้เมล็ดเพาะ โดยมีวิธีการดังนี้
พื้นที่ที่มีระบบน้ำขังตลอด ทำการยกร่องสูงประมาณ 1 เมตร กว้าง 3-5 เมตร ความกว้างของร่องประมาณ 1.5-2 เมตร ไถพรวนแล้วตากแดดประมาณ 5-10 วัน ทำการหว่านปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักพร้อมปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ในอัตราส่วนปุ๋ยหมักต่อปุ๋ยเคมี 15:1 ใส่ในอัตรา 1000 กก./ไร่ พร้อมไถแปรอีกครั้ง ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 วัน ส่วนพื้นที่ดอนหรือไม่มีน้ำท่วมขัง ให้ทำการยกร่องสูงประมาณ 30 เซนติเมตร กว้าง 1.5-2 เมตร ความกว้างของร่องประมาณ 50-70 เซนติเมตร แล้วไถพรวนแปลง และหว่านปุ๋ยตามวิธีที่กล่าวมาแล้ว จากนั้น หลังจากเตรียมแปลงเสร็จประมาณ 1 อาทิตย์ ให้หว่านด้วยเมล็ดพันธุ์ในอัตรา 1 กก./ไร่ คราดด้วยคราด 1 รอบ พร้อมคลุมแปลงด้วยฟางข้าวหรือแกลบ รดน้ำให้ชุ่ม จากนั้นดูแล ให้น้ำ ให้ปุ๋ย จนอายุประมาณ 7-8 เดือน ก็สามารถเก็บขายได้ จากนั้นเก็บครั้งต่อไปอีกประมาณ 45 วัน
องค์ประกอบทางเคมี
มีผลการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของกุยช่ายพบว่ามีสารสำคัญ เช่น Allicin , flavonoid , Tuberoside B , Allyl methyl trisulfide , Methyt 1-Propenyl disulfide , Glycoside และ β-carotene เป็นต้น นอกจากนี้ต้นและดอกของกุยช่ายยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการของดอกกุยช่าย (100 กรัม)
- พลังงาน 38 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต 6.3 กรัม
- เส้นใย 3.4 กรัม
- ไขมัน 0.2 กรัม
- เบตาแคโรทีน 152.92 ไมโครกรัม
- วิตามินซี 13 มิลลิกรัม
- ธาตุแคลเซียม 31 มิลลิกรัม
- ธาตุเหล็ก 1.6 มิลลิกรัม
- ธาตุฟอสฟอรัส 62 มิลลิกรัม
คุณค่าทางโภชนาการของต้นกุยช่าย (100 กรัม)
- พลังงาน 28 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต 4.1 กรัม
- เส้นใย 3.9 กรัม
- ไขมัน 0.3 กรัม
- วิตามิน A 275.5 หน่วยสากล
- วิตามิน B1 0.06 มิลลิกรัม
- วิตามิน B2 0.12 มิลลิกรัม
- วิตามิน B3 0.57 มิลลิกรัม
- วิตามิน B6 0.15 มิลลิกรัม
- วิตามิน C 18.05 มิลลิกรัม
- วิตามิน E 2.38 มิลลิกรัม
- วิตามิน K 171 หน่อยสากล
- เบตาแคโรทีน 136.79 ไมโครกรีม
- แคลเซียม 98 มิลลิกรัม
- ธาตุเหล็ก 1.5 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 46 มิลลิกรัม
- ไพแทสเวียม 484.5 มิลลิกรัม
- สังกะสี 0.20 มิลลิกรัม
ที่มา : Wikipedia
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
ใช้บำรุงเลือด บำรุงกระดูก บำรุงไต บำรุงกำหนัด เสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศ ช่วยขับน้ำตม แก้หวัด แก้ไอ โดยนำต้นและใบของกุยช่ายมาประกอบอาหารรับประทาน หรือใช้ต้นแห้งต้มกับน้ำดื่มก็ได้ ใช้แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลมในกระเพาะ โดยใช้ใบสดนำมาตำให้ละเอียด คั้นเอาแต่น้ำดื่ม แก้โรคนิ่ว รักษาโรคหนองใน โดยใช้ใบและต้นสดนำมาตำให้ละเอียดผสมกับสุราและใส่สารส้มเล็กน้อย แล้วกรองเอาแต่น้ำมารับประทาน ใช้รักษาริดสีดวงทวาร โดยใช้ใบสดล้างสะอาดต้มกับน้ำร้อน แล้วนั่งเหนือภาชนะเพื่อให้ไอรมจนน้ำอุ่น หรือจะใช้น้ำที่ต้มล้างที่แผลวันละ 2 ครั้ง ก็ได้
ส่วนในทางการแพทย์แผนจีน ระบุถึงการใช้กุยช่ายว่า แก้อาเจียนโดยใช้น้ำสดครึ่งแก้ว เติมน้ำคั้นจากกุยช่าย 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำขิงสักเล็กน้อยอุ่นให้ร้อนแล้วกิน ใช้แก้ห้อเลือดบริเวณท้อง โดยกินน้ำคั้นจากกุยช่ายจำนวนพอควร แก้ปวดบวมและเคล็ดขัดยอก ใช้กุยช่ายสด 3 ส่วน แป้ง 1 ส่วน ตำให้แหลกและคลุกเคล้ากัน พอกบริเวณที่เป็น วันละ 2 ครั้ง หรือใช้กุยช่ายสดล้างให้สะอาด ตำให้แหลก เติมเกลือเข้าไปเล็กน้อย แล้วนำไปพอกบริเวณที่เป็น ถ้าเป็นน้อยๆ พอกครั้งเดียวก็หาย ถ้าหนักต้องพอกหลายครั้ง ใช้ไล่แมลงที่เข้ารูหู โดยคั้นเอาน้ำจากกุยช่ายหยอดหู แมลงจะวิ่งออกมา (ต้องตะแคงหูขึ้น)
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
มีการศึกษาวิจัยในต่างประเทศหลายฉบับถึงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของส่วนต่างๆของกุยช่าย เช่น ฤทธิ์เพิ่มความต้องการทางเพศ มีการศึกษาวิจัยทดลองให้หนูตัวผู้กินสารสกัดจากเมล็ดกุยช่าย ซึ่งผลการศึกษาพบว่าสารสกัดดังกล่าวช่วยเพิ่มความต้องการทางเพศได้ทั้งหนูที่เสื่อมสมรรถภาพทางเพศและหนูที่มีสมรรถภาพทางเพศเป็นปกติ เช่นเดียวกับการทดลองอีกฉบับหนึ่ง ที่พบว่าหนูตัวผู้และตัวเมียที่กินสารสกัดจากกุยช่ายมีความตื่นตัวทางเพศมากขึ้น ฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบของหลอดเลือด มีการศึกษาวิจัยในหลอดทดลองโดยใช้สารสกัดกุยช่ายหยดลงบนเซลล์หลอดเลือดที่ทำงานผิดปกติ พบว่าสารสกัดกุยช่ายมีฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบที่เกิดจากโรคหลอดเลือด และช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็งในระยะเริ่มต้นได้
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยที่ระบุถึงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของกุยช่ายอื่นๆอีกเช่น ต้นแลใบมีฤทธิ์ ฆ่าเชื้อ (Antiseptic) มีฤทธิ์ลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด มีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจและมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด เป็นต้น
การศึกษาทางพิษวิทยา
มีการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาที่น่าสนใจของกุยช่าย โดยการนำน้ำที่ได้จากการคั้นต้นกุยช่ายซึ่งเจริญเติบโตเต็มที่ ฉีดเข้าไปในเส้นเลือดดำของหนูถีบจักร ในปริมาณ 0.1-0.5 มก./10 กรัม มีฤทธิ์ทำให้หนูสลบ จากนั้นมีอาการเกร็งและคลุ้มคลั่ง และจะทำให้หลับในเวลาต่อมาร่วมกับการเกิดภาวะ Cyanosis ทำให้ผิวหนังเป็นสีเขียว (น้ำเงิน) เนื่องจากขาดเลือด ขาดออกซิเจน หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงก็ตาย และเมื่อฉีดเข้าไปในกระต่ายจะทำให้ความดันโลหิตลดลงเล็กน้อย
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
- กุยช่ายมีสรรพคุณให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ตามตำรายาจีนหากรับประทานมากเกินไปหรือบ่อยเกินไปจะทำให้ตัวร้อน และร้อนในได้
- ไม่ควรดื่มสุราร่วมกับกุยช่าย รวมถึงไม่ควรรับประทานกุยช่ายหลังจากดื่มเหล้า เพราะกุยช่ายและเหล้ามีฤทธิ์ร้อนเหมือนกัน อาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
- ผู้ที่มีปัญหาเรื่องระบบการย่อยอาหารไม่ดี ไม่ควรรับประทานกุยช่ายมาก โดยเฉพาะกุยช่ายแก่เพราะมีเส้นใยมากและเหนียว ซึ่งจะทำให้ย่อยยากและระบบลำไส้ทำงานหนักมากขึ้น
เอกสารอ้างอิง
- ราชันย์ ภู่มา และ สมราน สุดดี. (บรรณาธิการ). (2557). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: ส้านักงานหอพรรณไม้ ส้านักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืชกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช.https://medthai.com/กุยช่าย/
- วิทิต วัฒนาวิบูล .กุยช่าย-แก้ช้ำใน.คอลัมน์ อาหารสมุนไพร.นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่85.พฤษภาคม 2529
- กุยช่าย.กลุ่มยาขับน้ำนม.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุ์กรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี (ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_13.htm
- การปลูกกุยช่าย.พืชเกษตรดอทคอม เว็บเพื่อพืชเกษตรไทย(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.puechkaset.com
- กุยช่าย คุณค่าอาหารและสรรพคุณบำรุงร่างกาย.พบแพทย์ดอทคอม.ออนไลน์เข้าถึงได้จาก http://www.pobpad.com