พริกหยวก ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
พริกหยวก
ชื่อสมุนไพร พริกหยวก
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น พริกหนุ่ม (ภาคเหนือ) , พริกตุ้ม (ภาคกลาง) , พริกซ่อม (ทั่วไป)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Capsicum annuum Linn. Capsicum annuum var. annuum
ชื่อสามัญ Garden Pepper, Banana Pepper,
วงศ์ SOLANACEAE
ถิ่นกำเนิดพริกหยวก
พริกหยวกซึ่งเป็นพริกในสายพันธุ์ C.annuum L. มีแหล่งกำเนิดดั้งเมอยู่ในทวีปอเมริกากลาง บริเวณประเทศ เม็กซิโก และประเทศใกล้เคียง จากนั้นจึงได้กระจายไปยังทวีปเอเชียและอาฟริกา สำหรับในประเทศไทยสามารถพบเห็นพริกหนุ่มได้มากในภาคเหนือและภาคกลาง โดยแหล่งที่มีการปลูกมากจะอยู่ตามภาคเหนือลงมาถึงอยุธยา ซึ่งภาคเหนือนิยมนำมาใช้ทำเป็นอาหารในหลายๆเมนู
ประโยชน์และสรรพคุณพริกหยวก
พริกหยวกถูกนำมาใช้ประกอบอาหารมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว เช่นเดียวกันกับพริกขี้หนู แต่พริกหยวกจะมีรสเผ็ดน้อยกว่าจึงสามารถนำมารับประทานสดๆ หรือนำมาเป็นวัตถุดิบหลับในการใช้ประกอบอาหารได้ เช่น ใช้ทำน้ำพริกหนุ่ม ผัดเปรี้ยวหวาน ใช้รับประทานสดๆ กับแกล้มน้ำพริก หรือใช้เผาไฟนำมารับประทานเป็นเครื่องเคียงของต้มปลาทูในภาคเหนือ เป็นต้น สำหรับสรรพคุณทางยาของพริกหยวกนั้นตามตำรายาไทยระบุถึงสรรพคุณไว้ว่า ผล ใช้ขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อ ขับปัสสาวะ เป็นยาเจริญอาหาร บำรุงเลือดลม บำรุงหัวใจ ช่วยย่อยอาหาร แก้ไขข้ออักเสบ แก้กามโรค แก้อาการปวดเมื่อย ใช้ทาถูกนวดให้ร้อนแดง
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้ โดยส่วนมากแล้วในการใช้พริกหยวกเพื่อให้มีผลในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในตำรายาไทยนั้นมักจะเป็นการนำมารับประทานในรูปแบบของอาหารต่างๆ มากกว่าจะนำมาแปรรูปเป็นสมุนไพรเหมือนพืชชนิดอื่นๆ แต่ในปัจจุบันมีการสกัดเอาสาร Capsaicin จากพริกหยวกมาใช้เป็นยาหลายๆขนาน รวมถึงยังมีการนำพริกหยวกมาทำเป็นสารสกัด tincture capsaicin สำหรับผสมขี้ผึ้งเป็นยาถูนวดรักษาอาการปวดเมื่อยและไขข้ออักเสบอีกด้วย
ลักษณะทั่วไปพริกหยวก
พริกหยวกจัดเป็นไม้ล้มลุกฤดูเดียวหรือไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 0.5-1.5 เมตร ลักษณะลำต้นตั้งตรงและแตกกิ่งก้านมาก แบบ dichotamous โคนต้นเป็นเนื้อไม้แข็งมีสีน้ำตาลหรือสีเทา ส่วนยอดเป็นเนื้อไม้อ่อนมีสีเขียว ใบเป็นใบเดี่ยวแบบเรียงสลับออกตามข้อกิ่ง ใบแบนเรียบ รูปไข่ เรียวยาว กว้าง 5-8เซนติเมตร ยาว 10-16 เซนติเมตร โคนใบและปลายใบแหลม ก้านใบยาวได้ถึง 10 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวตามซอกใบ เป็นดอกสมบูรณ์เพศและดอกมักจะเอาหัวห้อยลง โดยมีกลีบรองดอกมีลักษณะเป็น 5 พู และมีกลีบดอกเป็นสีขาวนวลเชื่อมติดกันเป็นรูปปากแตร ปลายแยกเป็น 5 แฉก มีเกสรเพศผู้ 5 อัน แตกออกมาจากตรงโคนของกลีบดอก ส่วนเกสรเพศเมียจะชูขึ้นเหนือเกสรเพศผู้ ส่วนรังไข่มีพู 3 พู ผลสดมีหลายรูปร่างและขนาด แต่มักจะเป็นรูปกรวยกว้างและยาวได้ถึง 30 เซนติเมตร เมื่อยังอ่อนอยู่มีสีเขียว เหลือง ครีม หรือม่วง เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีแดง ส้ม เหลืองหรือน้ำตาลเมล็ดแบนรูปโล่ใหญ่กว่าเมล็ดพริกขี้หนู เป็นสีเหลืองอ่อนหรือสีน้ำตาล
การขยายพันธุ์พริกหยวก
พริกหยวกสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด โดยมีวิธีการดังนี้ นำเมล็ดพันธุ์แช่น้ำไว้ 1 คืน และวางไว้ในร่ม 1-2 วัน จากนั้นเตรียมดินเพาะหรือแปลงเพาะด้วยการผสมดินกับเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น มูลสัตว์ แกลบ ขี้เถ้าแกลบ ขุยมะพร้าว ในอัตราส่วนระหว่าดินกับวัสดุ 2:1
สำหรับการเพาะในกระบะเพาะให้หยอดเมล็ดพันธุ์ 3-4 เมล็ด/หลุม ขึ้นอยู่กับขนาดหลุมกระบะ พร้อมโรยดินกลบเล็กน้อยรดน้ำให้ชุ่มและต้องคอยรดน้ำทุกวัน เช้า-เย็น กล้าโต 5-10 เซนติเมตร ให้ถอนเหลือหลุมละต้น แต่หากเพาะในแปลงให้หว่านเมล็ดพันธุ์ในอัตรา 30 กรัม/ตารางเมตร
จากนั้นจึงทำการเตรียมดินในการปลูกในแปลง ซึ่งหากเป็นแปลงใหม่ ควรไถตากดินพร้อมกำจัดวัชพืช นาน 1 สัปดาห์ ทำการหว่านปุ๋ยคอกในอัตรา 2-3 ตัน/ไร่ แล้วทำการยกร่องแปลงสูง 20-30 เซนติเมตร กว้าง 40-60 เซนติเมตร สำหรับขนาดแปลงควรให้มีความกว้างขนาด 30-50 สำหรับปลูกแถวเดี่ยว แปลงกว้าง 80-100 สำหรับปลูกแถวคู่
จากนั้นจึงทำการปลูกเมื่อต้นกล้ามีอายุ 30-40 วัน หรือสูงประมาณ 15-20 เซนติเมตร และมีใบจริง 5-7 ทั้งนี้ควรให้งดน้ำต้นกล้า 2-3 วันก่อนย้ายลงปลูกในแปลง สำหรับวิธีการปลูกนั้นทำได้โดยขุดหลุมให้ระยะห่างระหว่างหลุม 50 เซนติเมตร นำต้นกล้าที่เตรียมไว้ลงหลุมปลูก พร้อมกลบดินให้แน่นพอประมาณ รดน้ำให้ชุ่ม และรดทุกวัน วันละ 1-2 ครั้ง
องค์ประกอบทางเคมี มีผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของพริกหยวกพบว่ามีสารสำคัญ ดังนี้capsaicin, capsicoside A, B, C, capsanthin, acetamide, boron, E, P-caumaric, galactosamine, alanine,vanilloyl, glutaminase trigonelline, zeaxanthin, aspartic acid, caffeic acid, cinnamic acid
นอกจากนี้ในพริกหยวกยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการของพริกหยวก (100 กรัม)
- พลังงาน 27 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต 4.8กรัม
- ใยอาหาร 3.2กรัม
- ไขมัน 0.2กรัม
- โปรตีน 1.5กรัม
- วิตามินเอ 340 หน่วยสากล
- วิตามินบี 1 41มิลลิกรัม
- วิตามินบี 2 0.08มิลลิกรัม
- วิตามินบี 3 1.3มิลลิกรัม
- วิตามินซี 14มิลลิกรัม
- แคลเซียม 11มิลลิกรัม
- ธาตุเหล็ก 0.1มิลลิกรัม
- แมกนีเซียม 17 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 47มิลลิกรัม
- โพแทสเซียม 256 มิลลิกรัม
- เบตาแครอทีน 8.88 ไมโครกรัม
ที่มา : Wikipedia
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีการศึกษาในหนูถีบจักร โดยแบ่งหนูออกเป็น 4 กลุ่มๆ ละ 6 ตัว กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุมได้รับน้ำมันมะกอกตลอดการทดลอง กลุ่มที่ 2 ได้รับ Benzo (a) pyrene ขนาด 50 มก./กก. ละลายในน้ำมันมะกอก ป้อนทางสายยางให้อาหารทางปากวันละ 2 ครั้ง นาน 4 สัปดาห์ ซึ่งขนาดของ Benzo (a) pyrene ที่ 50 มก./กก. จะเหนี่ยวนำให้เกิดมะเร็งปอด กลุ่มที่ 3 ได้รับสาร capsaicin ขนาด 10 มก./กก. ละลายในน้ำมันมะกอกแล้วฉีดเข้าช่องท้องของหนูวันละ 1 ครั้ง นาน 14 สัปดาห์ กลุ่มที่ 4 เป็นกลุ่มที่ได้รับ Benzo (a) pyrene ขนาด 50 มก./กก. ร่วมกับ capsaicin ขนาด 10 มก./กก. ที่ละลายในน้ำมันมะกอก ฉีดเข้าทางช่องท้อง โดยให้ฉีด capsaicin ก่อน 1 สัปดาห์ แล้วจึงป้อน Benzo (a) pyrene และให้ต่อไปจนครบ 14 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มที่ 2 (ได้รับ Benzo (a) pyrene) จะลดการทำงานของเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระในปอด พวก superoxide dimutase (SOD), catalase (CAT), glutathione peroxidase (GPx), glutathione reductase (GR), glutathione-S-transferase (GST), glucose-6-phosphate dehydrogenase (G6PD), ลดสารต้านอนุมูลอิสระพวก reduced glutathione, วิตามิน C, E และ A ในขณะที่กลุ่มที่ 4 การทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ SOD, CAT GPx, GR, GST, G6PD, reduced glutathione, วิตามิน C, E และ A จะไม่ลดลง และมีค่าใกล้เคียงกับกลุ่มควบคุม ซึ่งจากการทดลองสรุปได้ว่าสาร capsaicin จากพริกหยวกสามารถป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระในหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นมะเร็งปอดได้
ฤทธิ์ลดไขมันในเลือด มีการศึกษาวิจัยในเกาหลี โดยใช้สารสกัดจากพริกหยวกในหนูทดลองที่ถูกทำให้อ้วน (ด้วยการให้ 20% ของ corn oil) โดยให้สารสกัดจากพริกหยวก 10% กับหนูทดลองนาน 4 สัปดาห์ ผลการทดลองพบว่าหนูทดลองมีระดับคอเลสเตอรอลและระดับไตรกลีเซอไรด์ลดลง
ฤทธิ์ปกป้องตับ มีการทดลองคาโรตินอยด์กับเซลล์ตับหนู ที่เหนี่ยวนำให้อักเสบด้วย carbon tetrachloride พบว่า คาโรตินอยด์ และสารสกัดจากพริกหยวก สามารถลดระดับของ glutamic pyruvic transaminase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ปล่อยออกมาเมื่อตับเป็นพิษได้ นอกจากนี้พบว่าหลังจากหนูได้รับ carbon tetrachloride ปริมาณของ aminotransterase และ lipid peroside ในตับจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม จากนั้นเมื่อให้ capsanthin และ beta-cryptoxanthin ขนาด 10 mg/Kg น้ำหนักตัว พบว่าสามารถลดฤทธิ์ของ glutamic pyruvic transminase ได้ นอกจากนี้ยังลดการสร้าง lipid peroxide และ malondialdehyde อีกด้วย จึงสรุปได้ว่า capsanthin, beta-cryptoxanthin, carotenoid มีบทบาทในการป้องกันการเกิดพิษต่อตับ จากการได้รับ carbon tetrachloride ด้วยกลไกของการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด มีการศึกษาทดลองในอิตาลี โดยใช้สารสกัดจากพริกหยวกกับหนูทดลอง โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังและให้ทางปาก ผลการทดลองพบว่า สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูทดลองได้
การศึกษาทางพิษวิทยา
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
- ในการรับประทานพริกหยวกนั้น ถึงแม้ว่าพริกหยวกจะมีความเผ็ดไม่มาก แต่ก็ไม่ควรรับประทานเพื่อหวังผลในการรักษาโรคมากเกินไป โดยควรบริโภคแต่พอดี ไม่ควรบริโภคมากจนเกินไป หรือบริโภคติดต่อกันนานไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้
- สำหรับผู้ที่แพ้พริก (Capsaicin) ไม่ควรบริโภคพริกหยวก เพราะเป็นพืชตระกูลเดียวกัน และมีสาร Capsaicin เช่นกัน
เอกสารอ้างอิง
- รศ.ดร.มณีฉัตร นิกรพันธุ์.2541.พริก.กรุงเทพฯ.โอ.เอส.พริ้นติ้งเฮ้าส์.PROSEA. 1994. Vegetables. Bogor Indonesia
- เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก. “พริกหยวก”. หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. หน้า 114-115.
- สาร capsaicin จากพริกหยวกมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร. คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- พริก.คู่มือนักวิชาการส่งเสริมการเกษตร.กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก. “พริกหยวก” หนังสือสมุนไพรลดไขมันในเลือด 140ชนิด. หน้า 130-131.
- ดร.พัชราณี ภวัตกุล.พริกขี้หนูกับปัจจัยเสี่ยง ของโรคหัวใจและหลอดเลือด.คอลัมน์เรื่องเด่นจากปก.นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่305.กันยายน 2547.
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม. “พริกหยวก”. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 544-545.
- Caroteroids จากพริกหยวก (Capdicum annuum) ป้องกันตับจากการถูกทำลายด้วย carbon tetrachloride. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
- การปลูกพริก.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรไทย(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก http://www.puechkaset.com
- P.W. Bosland and E.J. Votava. 2000. PEPPER : VEGETABLE AND SPICE CAPSICUMS. CABI Publishing USA