พันชาด ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
พันชาด งานวิจัยและสรรพคุณ 14 ข้อ
ชื่อสมุนไพร พันชาด
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ผักฮาก (ภาคเหนือ), ตะเเบง, พันซาด, ชาด, ซาด (ภาคอีสาน), คราด, ซาด (ภาคใต้)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Erythrophleum succirubrum Gagnep.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Erythrohleum teysmannii Var. puberulum Craib.
วงศ์ LEGUMINOSAE- CAESALPINIOIDEAE
ถิ่นกำเนิดพันชาด
พันชาด จัดเป็นพืชวงศ์ถั่ว (LEGUMINOSAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีการกระจายพันธุ์ใน ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และพม่า สำหรับในประเทศไทยพบพันชาด ได้บริเวณป่าผลัดใบทั่วไป ตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง หรือ ป่าละเมาะทั่วไป ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 500 เมตร ในภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคกลาง และทางตอนบนของภาคใต้ ส่วนภาคอื่นๆ พบได้ประปราย
ประโยชน์และสรรพคุณพันชาด
- ช่วยแก้พิษไข้
- แก้ไข้
- แก้ไข้สันนิบาต
- แก้โลหิต
- แก้พิษตานซาง
- แก้พิษ
- แก้ไข้เซื่องซึม
- แก้กระสับกระส่าย
- แก้โรคเกี่ยวกับเด็ก
- แก้ผดผื่นคัน
- แก้โรคผิวหนังต่างๆ
- ใช้รักษาแผล
- แก้ตกขาวในสตรี
- ช่วยแก้อาการฟันโยก คลอน
ในอดีตมีการนำพันชาดมาใช้เผาถ่านกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งถ่านจากต้นพันชาด จะให้ไฟที่แรงและไม่หมดง่าย โดยมีการเรียกกันว่า “ถ่านทำทอง” ส่วนเนื้อไม้พันชาด ที่มีความทนทานและแข็งแรงก็มีการ นำไปใช้สร้างอาคารบ้านเรือน ทำเสาเข็ม สะพาน เพลาเกวียน ทำหมอนรองรางรถไฟ ฯลฯ ส่วนแก่น ก็มีการนิยมนำมาใช้ทำเครื่องมือทางการเกษตรต่างๆ

รูปแบบและขนาดวิธีใช้
เนื่องจากทุกส่วนของพันชาดมีพิษมาก เมื่อนำมาใช้เดียวๆ หรือ นำมาใช้ผิดวิธี ดังนั้นก่อนการแปรรูปยาต้องตากพันชาดจึงต้องนำเนื้อไม้มาเผาเป็นถ่านก่อนเสมอ
- ใช้ดาบพิษโลหิต แก้ไข้ แก้ไข้สันนิบาต แก้ไข้เซื่องซึม กระสับกระส่าย แก้พิษตานซาง แก้โรคเกี่ยวกับเด็ก โดยนำเนื้อไม้พันชาด นำมาเผาให้เป็นถ่านและบดให้เป็นผง ใช้กินกับน้ำร้อน หรือ นำไปใช้ปรุงเป็นยา
- ใช้แก้โรคผิวหนัง โดยนำเนื้อไม้พันชาดไปเผาเป็นถ่านบดให้ละเอียดนำมาผสมน้ำเล็กน้อยทาบริเวณที่เป็น
- ใช้แก้ฟันโยก คลอน โดยนำใบพันชาดมาต้มกับน้ำใช้กลั้วปาก (ห้ามกลืน)
- ใช้รักษาแผล โดยนำยางพันชาด มาทาบริเวณที่เป็นแผล
ลักษณะทั่วไปของพันชาด
พันชาด จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดใหญ่ เรือนยอดเป็นพุ่มกลมค่อนข้างทึบ ลำต้นขนาดใหญ่ตั้งตรงความสูงได้ 20-35 เมตร เปลือกลำต้นมีสีดำแตกเป็นร่องค่อนข้างลึก เนื้อไม้แข็งเป็นสีขาว แก่นกลางเป็นสีน้ำตาล บริเวณกิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลสั้นๆ ขึ้นปกคลุม
ใบพันชาด เป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น มีช่อใบด้านข้าง 2-3 คู่ คล้ายใบมะค่า ออกเรียงสลับบริเวณกิ่งก้าน ใน 1 ช่อใบจะมีใบย่อย 8-17 คู่ ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่ หรือ รูปใบหอก มีขนาดกว้าง 2-5 เซนติเมตร ยาว 3-10 เซนติเมตร โคนใบสอบเบี้ยว ปลายใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเป็นสีเขียวสด หน้าใบเป็นมัน ส่วนผิวท้องใบมีขนสั้นๆ ขึ้นปกคลุม สามารถมองเห็นเส้นแขนงใบข้างละ 5-7 เส้น และมีก้านใบยาว 2-3 มิลลิเมตร
ดอกพันชาด ออกเป็นพุ่ม หรือ ออกเป็นช่อ ขนาดใหญ่และยาวบริเวณซอกใบใกล้ ปลายกิ่งโดยจะออก 1-3 ช่อต่อหนึ่งซอกใบ และใน 1 ช่อจะมีดอกย่อยจำนวนมากเบียดกันแน่นตามแกนดอก ดอกย่อยมีกลีบดอก 5 กลีบ สีเหลืองนวล หรือ สีขาวปนเหลืองอ่อนเป็นรูปใบพายแคบๆ มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ติดกันเป็นรูปถ้วยสีเขียว ขอบถ้วยแยกเป็นแฉก 5 แฉก และเมื่อกลีบดอกพันชาด บาน เต็มที่จะมีขนาดกว้าง 2-3 มิลลิเมตร มีเกสรเพศผู้ 10 อัน แยกจากกัน มีเกสรเพศเมียมี 1 อัน
ผลพันชาด ออกเป็นฝักโดยฝักจะมีขนาดกว้าง 2-3.5 เซนติเมตร ยาว 10-20 เซนติเมตร จะมีลักษณะค่อนข้างกลมคล้ายใบฝักประดู่ หรือ เมื่อฝักยังอ่อน ฝักมีสีเขียวเมื่อแกจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและดำ ภายในฝักมีเมล็ดลักษณะกลมแบน 5-8 เมล็ด


แหล่งที่มาภาพ www.gbif.org.com
การขยายพันธุ์พันชาด
พันชาด สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ดและการตอนกิ่ง แต่การขยายพันธุ์ของพันชาด ส่วนมากจะเป็นการขยายพันธุ์ในธรรมชาติ ไม่นิยมนำมาปลูกบริเวณบ้าน หรือ เรือกสวนไร่นา เนื่องจากพันชาดเป็นต้นไม้ที่มีพิษมากและยังเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ รวมถึงดอกยังมีกลิ่นเหม็นคล้ายซากสัตว์แห้งตายอีกด้วย
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนเปลือกต้น แก่น และใบ ของพันชาดระบุว่า พบสารออกฤทธิ์ต่างๆ หลายชนิด ดังนี้ สกัดจากเปลือกและแก่นพันชาดพบสารกลุ่ม Cassaine-type diterpenoid alkaloids (Erythrophleum alkaloids เช่น erythrophlesin A-D, erythrophleine, cassaine, cassaidine, ivorine, acetylcassaidine, coumingine และ coumdine ส่วนสารสกัดเอทานอลจากใบพันชาด พบสาร Cyclohexanone, 2-[-nitro-1-2-naphthyl)ethy], Allomycin, Campesterol, Mome inositol (myo-inositol) และ Ethy linolenate เป็นต้น

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของพันชาด
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดเอทานอลจากส่วนใบและส่วนลำต้นของพันชาด ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการเช่น มีรายงานการศึกษาวิจัยระบุว่า สารสกัดเอทานอลจากส่วนใบของพันชาด มีฤทธิ์ฆ่า เซลล์มะเร็งท่อน้ำดี KKU-M213) แบบ dose และ time-dependent โดยมีค่า 1C50 เท่ากับ 65, 22, 11.18 ug/mL และ 1.19+1.38 น8/mLตามลำดับโดยสาร erythrophlesins A-D เป็นสารออกฤทธิ์ที่สำคัญในสารสกัดดังกล่าวและยังมีรายงานการศึกษาวิจัยสารสกัดแอลกอฮอล์จากลำต้นของพันชาด พบว่ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ แต่มีฤทธิ์ต้านการก่อกลายพันธุ์ ไม่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยตรง แต่สามารถกระตุ้นการเพิ่มจำนวนของเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดที่เซลล์ มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Herpes simpiex virus type1 มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา ที่ความเข้มข้น 4 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร และมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย S.aureus, shigella และ V.cholerae ที่ความเข้มข้น < 0.78 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร และยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อ Saimonela ที่ความเข้มข้น 1.56 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร เชื้อ E.coli และ Ps aeruginosa มีฤทธิ์ต้านเชื้อมีความเข้มข้น 6.25 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของพันชาด
มีรายงานการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของส่วนต่างๆ ของพันชาดระบุว่า เมื่อให้สารสกัดพันชาด จากใบ เปลือกต้น รากและเนื้อไม้ แก่หนูทดลองพบว่า หนูทดลองมีอาการสั่น ซึม หายใจลำบาก กระตุ้นการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบและกล้ามเนื้อลาย เพิ่มความดันโลหิตและลดอัตราการเต้นหัวใจ เป็นพิษต่อหัวใจและทำให้หนูทดลองตายในที่สุด นอกจากนี้ยังมีรายงานการเกิดพิษของมนุษย์ เมื่อได้รับประทานเมล็ดต้นพันชาด ดังนี้
กรณีเคสเด็กหญิงอายุ 12 ปี รับประทานเมล็ดต้นซาก 3 เมล็ด 1 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาลหลังรับประทานมีอาการอาเจียนหลายครั้ง วิงเวียนศีรษะ ปวดท้อง การตรวจร่างกาย อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ความดันโลหิต 130/90 มิลลิเมตรปรอท หายใจ 24 ครั้ง/นาที ชีพจร 94 ครั้ง/นาที รู้สึกตัวดี ผลการรักษาผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ในวันที่ 3
กรณีเคสเด็กชายอายุ 3 ปี รับประทานเมล็ดต้นซากประมาณ 15 เมล็ด นาน 12 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล หลังจากการรับประทานประมาณ 30 นาที มีอาการอาเจียนหลายครั้ง ปวด ท้อง ผลการตรวจของแพทย์พบว่ามีอาการซึมเล็กน้อย ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ อุณหภูมิร่างกายปกติ ความดันโลหิต 100/100 มิลลิเมตรปรอท หายใจ 32 ครั้งต่อนาที ชีพจร 96 ครั้ง/นาที เบาเร็วไม่สม่ำเสมอ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ระบบอื่นๆ อยู่ในเกณฑ์ปกติ ให้การรักษาโดยให้สารน้ำและ NaHCO3 เข้าหลอดเลือดดำ ให้ออกซิเจน 30 นาที ต่อมาผู้ป่วย มีอาการหมดสติและหัวใจหยุดเต้น คลื่นหัวใจมีลักษณะ cardiac standstill ไม่ตอบสนอง ต่อการรักษา คนไข้เสียชีวิตในเวลาต่อมา
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
พันชาดเป็นพืชที่ในทุกๆ ส่วนมีพิษ ดังนั้นไม่ควรนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรด้วยตนเอง ควรนำมาใช้โดยผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเป็นอย่างสูงเท่านั้น เพราะหากรับประทานส่วนต่างๆ ของพันชาด ที่ไม่ถูกปรุงเป็นยาสมุนไพรให้ถูกต้องแล้ว อาจก่อให้เกิดอาการเป็นพิษได้โดยอาการเริ่มแรกของการเกิดพิษ อาเจียน (ซึ่งมักจะเกิดหลังจากรับประทานประมาณ 30 นาที -1 ชั่วโมง) จากนั้นจะมีอาการหัวใจเต้นผิดปกติและจะมีผลต่อระบบประสาทโดยอาจเกิดจากพิษโดยตรง หรือ อาจเกิดจากผลทางอ้อม ทำให้หัวใจทำงานผิดปกติ เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอและทำให้เสียชีวิตได้
เอกสารอ้างอิง พันชาด
- นันทวัน บุณยะประภัศร, อรนุช โชคชัยเจริญพร (บรรณาธิการ). สมุนไพรไม้พื้นบ้าน เล่มกรุงเทพฯ: บริษัทประชาชน จำกัด, 2542
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม, ซาก, หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย. ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 280-281.
- ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทยเต็ม สมิตินันทน์. ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม, กรุงเทพมหานคร บริษัทประชาชน จำกัด, 2544.
- เกรียงไกร โกวิทางกูร, ศิราภรณ์ สวัสดิวร, สุวิทย์ ลิลิตการตกุล. ภาวะพิษจากการรับประทานเมล็ดต้นซาก: รายงานผู้ป่วย 5 ราย. วารสารกรมการแพทย์ 2535; 17(4):257-62
- Chaiyong, S., Sutthanont, N., & Menakongka, A. (2022). Evaluation of in vitro cytotoxic property against cholangiocarcinoma cell line and GC/MS analysis from leaf of Erythrophleum succirubrum Gagnep. Asian Pacific Journal of Cancer Prevention, 23(9), 3187-3194.
- Watt JM, Breyer MG. Medicinal and Poisonous Plant of Southern and Eastern.London: Livingstone, 1962.
- Miyagawa, T., Ohtsuki, T., Koyano, T., Kowithayakorn, T., & Ishibashi, M. (2009). Cassaine diterpenoid dimers isolated from Erythrophleum succirubrum with TRAIL-resistance overcoming activity. Tetrahedron Letters, 50, 4658-4662. Echeverria P, Taylor DN, Bodhidatta L, et al. Deaths following of a cardiotoxic plant in Kampuchean children in Thailand. Southeast Asian J Trop Med Public Health 1986;17(4):601-3.
- Echeverria, P., Taylor, D. N., Bodhidatta, L., Brown, C., Coninx, R., Vandemarq, P., Durnerin, C., De Wilde, L., & Bansit, C. (1986). Deaths following ingestion of a cardiotoxic plant in Kampuchean children in Thailand. Southeast Asian Journal of Tropical Medicine and Public Health, 17(4), 601-603.
- Chaiyong S., Sutthanont N., Menakongka A. (2022). Evaluation of In Vitro Cytotoxic Property … E. succirubrum. Asian Pacific J Cancer Prev. (PDF).
- Qu, J., Yu, S., Tang, W., Liu, Y., Liu, Y., & Liu, J. (2006). Progress on cassaine-type diterpenoid ester amines and amides (Erythrophleum alkaloids). Natural Product Communications, 1(10), 839-850
- Sattayasai J, Sattayasai N, Laupattarahasem P, et al. Pharmacological properties of the aqueous extract of Erythrophleum succirubrum Gagnep. leaves. J Sci Soc Thailand 1983:9:47-52.
- Du, D., Qu, J., Wang, J.-M., Yu, S.-S., Chen, X.-G., Xu, S., Ma, S.-G., … & Fang, L. (2010). Cytotoxic cassaine diterpenoid-diterpenoid amide dimers and diterpenoid amides from the leaves of Erythrophleum fordii. Phytochemistry, 71(14-15), 1749-1755.
