โสน ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
โสน งานวิจัยและสรรพคุณ 17ข้อ
ชื่อสมุนไพร โสน
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ดอกโสน,โสนดอกเหลือง,โสน กินดอก,โสนหิน (ภาคกลาง),ผักฮองแฮง (ภาคเหนือ),สีปรี่หล่า (กะเหรี่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Sesbania javaica Miq.
ชื่อสามัญ Sesbanea pea , Sesbania
วงศ์ FABACEAE
ถิ่นกำเนิดโสน
โสนเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะอยู่ในประเทศอินเดียแล้วมีการกระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนทางตะวันออกซึ่งได้แก่พม่า ไทย ลาว มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ แล้วต่อมาจึงได้กระจายพันธุ์ไปยังทวีปแอฟริกาด้วยโดยส่วนมากแล้วมักจะพบโสนขึ้นตามธรรมชาติ บริเวณพื้นที่ที่มีน้ำขังเป็นครั้งคราว และบริเวณริมแม่น้ำลำคลอง อ่างเก็บน้ำ เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยสามารถพบเห็นโสนได้ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่ส่วนมากจะพบบริเวณภาคกลาง โดยเฉพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้มีการสันนิษฐานกันว่ามีจารึกในประวัติศาสตร์ว่า เมื่อครั้งก่อตั้งกรุงศรีอยุธยาตั้งเป็นราชธานีนั้น พระเจ้าอู่ทองได้ปักหลักสร้างเมืองสร้างพระราชวังใหม่ที่ตำบลหนองโสน (ปัจจุบันเรียกว่า บึงพระราม) ณ วันศุกร์ ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 5 ปีขาล โทศก จุลศักราช 712 ซึ่งคาดว่าหนองโสนนี้น่าจะเรียกมาจากการที่มีต้นโสนขึ้นเป็นจำนวนมาก
ประโยชน์และสรรพคุณโสน
- แก้พิษร้อน
- ใช้ถอนพิษไข้
- ใช้ลดไข้
- แก้อาการปวด
- ใช้เป็นยาสมานลำไส้
- ช่วยเจริญอาหาร
- ใช้บำรุงสายตา
- ใช้บำรุงผิวพรรณ
- ช่วยขับเสมหะ
- แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย
- ช่วยขับปัสสาวะ
- แก้อาการปัสสาวะเล็ด
- ใช้ถอนพิษฝี
- รักษาแผล
- แก้ร้อนในกระหายน้ำ
- ช่วยขับพยาธิ
- ช่วยขับปัสสาวะ
ลักษณะทั่วไปโสน
โสนน่าจะเป็นที่รู้จักของคนไทยมาตั้งแต่สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาแล้ว เพราะโสนจัดเป็นไม้ล้มลุกสกุลเดียวกับแคโดยจะมีอายุประมาณ 1 ปี ลำต้นสูงประมาณ 1-4 เมตร ลำต้นเป็นตั้งตรงทรงกลมหรือเหลี่ยมเล็กน้อย ผิวเรียบมีร่องละเอียดตามความยาวของลำต้น ทรงพุ่มเป็นแบบโปร่ง เปลือกลำต้นมีสีเขียวเข้ม เนื้อไม้เป็นไม้เนื้ออ่อน เปราะหักง่าย ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก โดยมีก้านใบเรียงสลับจากลำต้น ใบแต่ละก้านใบจะมีใบย่อย ประมาณ 10-40 คู่ เรียงกันเป็นคู่ๆซ้าย-ขวา ใบย่อยมีลักษณะมนรี คล้ายใบมะขาม แผ่นใบ และขอบใบเรียบ สีเขียวสด โคนใบ และปลายใบมน ขนาดใบกว้างประมาณ 3-5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อกระจุก บริเวณที่ปลายกิ่ง ชอกใบ และซอกกิ่ง ช่อดอกยาวประมาณ 10 เซนติเมตร มีดอกย่อย 5-12 ดอก ยาว 2.5 เซนติเมตร มีกลีบดอกสีเหลือง 5 กลีบ แบ่งเป็นกลีบนอกและกลีบใน โดยกลีบนอกจะมีขนาดใหญ่กว่ากลีบในบางครั้งกลีบนอกมีจุดกระสีน้ำตาล หรือสีม่วงแดง กระจายอยู่ทั่วไป ผลมีลักษณะเป็นฝักกลมยาวขนาดเล็กคล้ายกับถั่วฝักยาว กว้าง 4-5 มิลลิเมตร ยาว 15-20 เซนติเมตร ฝักอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะกลายเป็นสีม่วงอมสีน้ำตาล และจะปริและแตกออก เมื่อฝักแก่และแห้งจัด ภายในมีเมล็ดขนาดเล็ก 10-20 เมล็ด เมล็ดมีขนาดเล็กมากมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมสีน้ำตาลเป็นมันมีขนาดประมาณ 0.05 เซนติเมตร เมื่อต้นโสน
การขยายพันธุ์โสน
โสนสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ดในธรรมชาติ เมื่อฝักแก่ของโสนแห้งก็จะแตกออกแล้วเมล็ดก็จะตกลงสู่พื้นแล้วเจริญเติบโตงอกเป็นต้นใหม่ขึ้นมา เราจึงมักเห็นโสนในธรรมชาติออกเป็นทุ่งโสน หนาแน่นหลายๆต้น แต่การปลูกโสนในเชิงพาณิชย์นั้นสามารถทำได้ดังนี้
ก่อนอื่นต้องเตรียมพื้นที่ปลูกโสนโดยพื้นที่ปลูกโสนจะต้องเป็นพื้นที่ลุ่ม ที่มีความชื้นสูง เช่น แปลงนาลุ่ม ขอบบ่อ ขอบแม่น้ำ ลำคลองและพื้นที่รกร้างที่น้ำท่วมขังบางครั้งคราว และจะต้องเตรียมแปลงด้วยการกำจัดวัชพืชออกก่อน และตากดินนาน 10-20 วัน ส่วนวิธีการปลูกจะใช้วิธีการหว่านหรือหยอดเมล็ด หากใช้วิธีหยอดเมล็ดเป็นหลุมจะใช้ระยะปลูก 25×50 เซนติเมตร ส่วนการหยอดเป็นแถวๆ จะใช้ระยะห่างแถวประมาณ 100 เซนติเมตร สำหรับการหว่านลงแปลงจะใช้การกะระห่างให้เหมาะสม ทั้งนี้ ปริมาณเมล็ดที่ใช้อยู่ที่ 3-5 กิโลกรัม/ไร่ โดยหลังจากปลูกโสนแล้ว 40-50 วัน ดอกจะเริ่มบาน ก็สามารถเก็บดอกใช้ประโยชน์ได้
องค์ประกอบทางเคมีโสน
มีการศึกษาวิจัยถึงองค์ประกอบทางเคมีของดอกโสน พบว่ามีสารสำคัญ ๆ อยู่หลายชนิดเช่น สารกลุ่ม Flaronoids เช่น Qureccetin 3-2 (G)-rhamnosylrutinoside สารกลุ่ม Carotenoid เช่น β-cryptoxanhin , Lutein และ Zeaxanthin เป็นต้น นอกจากนี้ในดอกโสนยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการของดอกโสน (100 กรัม)
- พลังงาน 38 กิโลแคลอรี่
- โปรตีน 2.5 กรัม
- ใยอาหาร 2.2 กรัม
- ไขมัน 0.5 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 5.9 กรัม
- แคลเซียม 62 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 62 มิลลิกรัม
- เหล็ก 2.1 มิลลิกรัม
- วิตามิน A 3338 หน่วนสากล
- วิตามิน B 1 0-13 มิลลิกรัม
- วิตามิน B 2 0.26 มิลลิกรัม
- วิตามิน C 51 มิลลิกรัม
- เบต้าแคโรทีน 34.3 ไมโครกรัม
ข้อมูลจาก : กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
ที่มา : Wikipedia
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
ใช้แก้พิษร้อนถอนพิษไข้ บำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ ช่วยให้เจริญอาหาร โดยการใช้ดอกโสนมาประกอบอาหารรับประทาน ใช้ลดไข้สมานแผลในลำไส้ แก้ปวดมวนท้อง แก้พิษร้อนใน โดยการนำดอกโสนแห้งมาต้มกับน้ำดื่ม หรือชงแบบชาเขียวดื่มก็ได้ ช่วยขับปัสสาวะ แก้อาการปัสสาวะเล็ด โดยนำต้นโสนมาเผาให้เกรียบแล้วต้องเป็นชิ้นพอประมาณ นำมาแช่น้ำให้เป็นด่างแล้วใช้ดื่ม ใช้รักษาแผล ถอนพิษฝี ถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อยโดยนำใบโสนมาตำพอกบริเวณที่เป็น หรือใช้ใบโสนตำผสมกับดินสอพองพอกบริเวณที่เป็นฝี
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็ง มีการศึกษาฤทธิ์ชีวภาพของเควอเซทินจากดอกโสนพบว่า เควอเซทิน(Quercetin 3-2 (G)-rhamnosylrutinoside) มีฤทธิ์กระตุ้นให้เซลล์มะเร็งตายด้วยกระบวนการอะพ็อปโทซิส (apoptosis) โดยจะเข้าไปหยุดยั้งการแบ่งเซลล์ของเซลล์มะเร็ง และระงับการอักเสบ รวมถึงป้องกันอันตรายของเซลล์ปกติต่อความเครียดจากกระบวนการต้านอนุมูลอิสระได้
นอกจากนี้ในต่างประเทศยังมีการศึกษาวิจัย สาร B-Carotene ในดอกโสน พบว่ามีฤทธิ์ ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย ป้องกันโรคมะเร็ง ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันการเกิดริ้วรอยได้อีกด้วย
การศึกษาทางพิษวิทยา
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
ในการใช้ดอกโสนเพื่อเป็นยาสมุนไพรสำหรับบำบัดรักษาโรคต่างๆ นั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในปริมาณที่พอดีที่ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไปหรือใช้ติดต่อกันนานจนเกินไปเพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ สำหรับ เด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง รวมถึงผู้ที่ต้องรับประทานยาต่อเนื่องเป็นประจำก่อนจะใช้โสนเป็นสมุนไพรสำหรับบำบัดรักษาโรคต่างๆ นั้น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ
เอกสารอ้างอิง
- รศ.ดร.กรณ์กาญจน์ ภมรประวัติธนะ.ดอกโสนบ้านนา.คอลัมน์บทความพิเศษ.นิตยสารหมอชาวบ้านเล่มที่369.มกราคม.2553
- ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์. “โสนกินดอก (Sano Kin Dok)”. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1 หน้า 311.
- คุณค่าทางโภชนาการอาหารไทย.กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.2535
- สุพิชญา คำคม.ผลของการเติมผลดอกโสนอบแห้งที่มีต่อลักษณะทางกายภาร คุณค่าทางโภชนาการและทางประสาทสัมผัสของคุกกี้เนย.วารสารวิจัยราชภัฎพระนคร สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปีที่13 ฉบับที่1.มกราคม-มิถุนายน2561.หน้า139-154
- โสน.ดอกโสน สรรพคุณ และการปลูกโสน.พืชเกษตรดอทคอม.เว็บเพื่อพืชเกษตรไทย(ออนไลน์)เข้าถึงได้จากhttp://www.puechkaset.com
- Nishia, K., Muranakaa, A., Nishimotob, S., Kadotac, A. & Sugahara, T. (2012). Immunostimulatory effect of β-cryptoxanthin in vitro and in vivo. Journal of Functional Foods. 4, 618-625
- Van Poppel, G. & Goldbohm, R.A. (1995). Epidemiologic evidence for β-carotene and cancer. American Journal of Clinical Nutrition. 62, 1393S-402S.
- Snodderly, D.M. (1995). Evidence for protection against age-related macular degeneration by carotenoids and antioxidant vitamins. American Journal of Clinical Nutrition. 62, 1448S-61S.
- Kijparkorn, S., Plaimast, H. & Wangsoonoen, S. (2010). Sano (Sesbania javanica Miq.) flower as a pigment source in egg yolk of laying hens. Thai Journal of Veterinary Medicine. 40(3), 281- 287. (in Thai)
- Kohlrneier, L. & Hastings, S.B. (1995). Epidemiologic evidence of a role of carotenoids in cardiovascular disease prevention. American Journal of Clinical Nutrition. 62, 1370S-6S
- Ames, B.N., Shigenaga, M.K. & Hagen, T. M. (1993). Oxidants, antioxidants, and the degenerative diseases of aging. Proceedings of the National Academy of Sciences of the United State of America. 90(17), 7915-7922.
- Palozza, P., Muzzalupo, R., Trombino, S., Valdannini, A. & Picci, N. (2006). Solubilization and stabilization of β-carotene in niosomes: delivery to cultured cells. Chemistry and Physics of Lipids. 139, 32-42.
- Dweyer, J., Navab, M., Dwyer, K., Hassan, K., Sun, P., Shircore, A., Hama-Levy, S., Hough, G., Wang, X. & Drake, T. (2001). Oxygenated carotenoid lutein and the progression of early atherosclerosis. Circulation. 103, 2922-2927.