คอนดรอยตินซัลเฟต
คอนดรอยตินซัลเฟต
ชื่อสามัญ Chondroitin sulfate
ประเภทและข้อแตกต่างคอนดรอยตินซัลเฟต
คอนดรอยตินซัลเฟต เป็นสารที่อยู่ในและรอบๆ เซลล์กระดูกอ่อน มีลักษณะเป็นองค์ประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Complex carbohydrate) ที่ช่วยให้กระดูกอ่อนอุ้มน้ำ และช่วยรักษาสมดุลในการสร้าง และสลายกระดูกอ่อน ซึ่งคอนดรอยตินซัลเฟลเป็นสารหลักในกลุ่มโคสมิโนไกลแคนนอกเหนือไปจากเดอร์มาแตน (dermtan) เคอราแตน (keratin) และเฮปปาแรน (heparan) ซัลเฟต คอนดรอยตินซัลเฟตมีลักษณะเป็นสายเฮเทอโรพอลิแซ็กคาไรด์ที่ไม่แตกกิ่งก้าน (unbranched) ประกอบด้วยไดแซ็กคาไรด์ของ N-acetyl-D-galactosamine และ D-glucoronic acid เรียงต่อกันด้วยพันธะ β(1-3) และ β(1-4) สลับกัน (Figure6) เป็นสายยาวที่มีน้ำหนักโมเลกุลในช่วงกว้าง ขนาดโมเลกุลของมิวโคพอลิแซ็คคาร์ไรด์ หรือ ไกลโคสมิโนไกลแคนของสัตว์อยู่ในช่วง 30-800 KDa ในขณะที่ขนาดโมเลกุลของคอนดรอยดินซัลเฟตของผลิตภัณฑ์ทางการค้าอยู่ในช่วง 5-40 KDa(Petito และ Petito, 2002; Bioiberica,2008) และโมเลกุลของคอนดรอยตินซัลเฟตยังมีความเป็นประจุลบสูงเนื่องจากมีหมู่ซัลเฟตมาก จึงทำให้อุ้มน้ำได้ดี
สำหรับประเภทของคอนดรอยตินซัลเฟตนั้น มีหลายชนิดโดยจะมีความแตกต่างกันที่ตำแหน่งของหมู่ซัลเฟต โดยปกติแล้วคอนดรอยตินซัลเฟต ทั่วไปจะมีหมู่ซัลเฟต 1 หมู่ เช่น คอนดรอยตินซัลเฟต A มีหมู่ซัลเฟตจับกับ R-group ที่ C -4 ของ N-acetyl-D-galactosamine และคอนดรอยตินซัลเฟต C มีหมู่ซัลเฟตจับกับ R-group ที่ C-6 ของ N-acetyl-D-galactosamine แต่ยังมีคอนดรอยตินซัลเฟตอีกประเภทหนึ่ง ที่มีหมูซัลเฟตมากกว่าหนึ่ง แต่มักพบในปริมาณน้อย เช่น คอนดรอยตินซัลเฟต D และ E ที่ประกอบด้วย 2 หมู่ ซัลเฟตโดยคอนดรอยตินซัลเฟต D มีหมู่ซัลเฟตจับกับ R-group ที่ C-6 ของ N-acetyl-D-galactosamine และที่ C-2 ของ D-glucoronic acid ในขณะที่คอนดรอยตินซัลเฟต E จะมีหมู่ซัลเฟตจับกับ R-group ที่ C-4 และ C-6 ของ N- acetyl-D-galactosamine เป็นต้น
แหล่งที่พบและแหล่งที่มาคอนดรอยตินซัลเฟต
คอนดรอยตินซัลเฟต เป็นองค์ประกอบสำคัญของเนื้อกระดูกอ่อนผิวข้อ ที่พบได้ในร่างกาย โดยถูกสร้างขึ้นโดยเซลล์กระดูกอ่อน (chondrocyte) ซึ่งตามปกติกระดูกอ่อนผิวข้อจะมีขบวนการสร้าง และสลายสารเหล่านี้อย่างสมดุล แต่เมื่อใดที่เกิดพยาธิสภาพใดๆ ก็ตามที่ทำให้กระดูดอ่อนถูกทำลาย ก็จะมีการสลายคอนดรอยตินซัลเฟตนี้ออกมาอยู่ในน้ำไขข้อมากกว่าปกติ และทำให้เกิดภาวะข้อเข่าเสื่อม ปวดข้อ ข้ออักเสบ เป็นต้น
ดังนั้นร่างกายจึงต้องการคอนดรอยตินซัลเฟต เพื่อเข้าไปเสริมมากขึ้น ดังนั้น จึงมีการสกัดสารคอนดรอยตินซัลเฟตในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมาใช้รับประทานเสริมจากอาหารมื้อหลัก สำหรับแหล่งที่พบคอนดรอยตินซัลเฟตที่มีการนำมาสกัดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้น มีทั้งที่ผลิตจากกระดูกอ่อนของปลาฉลาม หลอดลมของโค หู และจมูกของสุกร แต่อย่างไรก็ตามปัญหาในเรื่องโรคต่างๆ ในโคทำให้เกิดความกังวลในการบริโภคผลิตภัณฑ์จากโค รวมถึงการใช้กระดูกอ่อนจากสุกรก็เป็นข้อจำกัดของผู้นับถือศาสนาอิสลาม ในปัจจุบัน จึงมีการนำวัตถุดิบชนิดอื่นๆ ที่เป็นแหล่งของคอนดรอยตินซัลเฟต มาเป็นทางเลือด หรือ ใช้ทดแทน เช่น กระดูกอ่อนจระเข้ ปลากระเบน หน้าอกไก่ และเกล็ดปลา เป็นต้น
นอกจากนี้สัดส่วนองค์ประกอบของ Disaccharides ของคอนดรอยตินซัลเฟต แต่ละชนิดจะแตกต่างกันตามสายพันธุ์และแหล่งเนื้อเยื่อของสัตว์ ดังนั้น จึงมีการศึกษาวิจัยพบว่าโครงสร้างของคอนดรอยตินซัลเฟต ที่มาจากสัตว์บก เช่น โค และสุกร จะมี disaccharide ของ chondroitin-4-sulfate มากกว่า disaccharideของchondroitin-6-sulfate ในขณะที่โครงสร้างของคอนดรอยตินซัลเฟตที่มาจากปลาฉลามมีลักษณะตรงข้าม ซึ่งจากการศึกษาค่าดังกล่าวของคอนดรอยตินซัลเฟตที่สกัดจากแหล่งต่างๆ พบว่า คอนดรอยตินซัลเฟต จากกระดูกอ่อนฉลามมีค่า sulfate ion /GaIN มากกว่า 1 แต่หากเป็นคอนดรอยตินซัลเฟตจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะมีค่าน้อยกว่า 1 ปัจจุบันมีการผลิตคอนดรอยตินซัลเฟตในรูปแบบอาหารเสริมมากมาย โดยใช้วัตถุดิบที่เป็นกระดูกอ่อนของสัตว์ เช่น ครีบปลาฉลาม หลอดลมวัว หู และจมูกสุกร เป็นวัตถุดิบ โดยรูปแบบของผลิตภัณฑ์อาจอยู่ในรูปกระดูกอ่อนบดละเอียด หรือ สารสกัดคอนดรอยตินซัลเฟต แต่ในกรณีผลิตภัณฑ์จากครีบปลาฉลาม มักเป็นการนำกระดูกอ่อนครีบปลาฉลามมาบดละเอียดได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่อุดมไปด้วยธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส สารไกลโคสมิโนไกลแคน และสารมิวโคพอลิแซคคาไรด์ ที่ใช้เป็นอาหาเสริมทั้งในแบบแคปซูลที่เคลือบด้วยเลจาติน หรือ อัดเป็นเม็ดและในลักษณะของเหลวเป็นต้น
ปริมาณที่ควรได้รับคอนดรอยตินซัลเฟต
สำหรับขนาดประมาณการรับประทานคอนดรอยตินซัลเฟต นั้น สามารถแยกได้เป็นการรับประทานเพื่อการรักษาโรคต่างๆ และการรับประทานเป็นอาหารเสริม เช่น ในผู้ป่วย โรคข้อเข้าเสื่อม ข้อเข่าอักเสบมีรายงานการศึกษาวิจัยระบุแนะนำให้รับประทาน 600-1200 มิลลิกรัม/วัน ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน-กระดูกเปราะ แนะนำให้รับประทาน 600 มิลลิกรัม/วัน โดยแบ่งเป็น 3 มื้อ และอาจใช้ร่วมกับ glucosamine ผลของการรักษาอาการจะเห็นได้หลังจากรับประทานเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ส่วนผู้ที่ต้องการรับประทานเป็นอาหารเสริมแนะนำให้รบประทาน 600 มิลลิกรัม/วัน หรือ รับประทานตามแพทย์/ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ
ประโยชน์และโทษคอนดรอยตินซัลเฟต
ประโยชน์ของคอนดรอยตินซัลเฟตจากการรวบรวมผลการศึกษาวิจัยจากแหล่งต่างๆ นั้น โดยส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับภาวการณ์เสื่อม หรือ การอักเสบของกระดูกอ่อน โดยมีสรรถคุณที่ช่วยในภาวะดังกล่าว คือ ลดอาการบวมแดง ลดปริมาณของเหลวในข้อกระดูก ทำให้ผู้ป่วยลดปริมาณการใช้ยา NSAID หรือ ยาแก้ปวดอื่นๆ ลงได้ ให้ผลต่อการลดอาการปวดยาวนานถึง 3 เดือน หลังได้รับยา ทำให้ป่วยเดิน หรือ เคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น ทำให้พัฒนาการของโรคช้าลง แต่ก็มีผลการศึกษาวิจัยอีกหลายฉบับที่มีผลขัดแย้ง เช่น จากการศึกษาทบทวนงานวิจัย (systematic review) ที่เป็นงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจากฐานข้อมูลต่างๆ เช่น Medline, EMBASE, CINAHL และอื่นๆ งานวิจัยประเภท randomized และ quasi-randomized controlled trials ที่ศึกษาการรักษาผู้ป่วยข้อเข่า หรือ ข้อสะโพกอักเสบด้วยคอนดรอยตินซัลเฟต chondroitin. และมีตัวชี้วัดผล คือ การลดอาการปวดข้อ และตัวชี้วัดรองคือช่องว่างในข้อเพิ่มขึ้น หรือ ไม่.
พบว่าผลการรวบรวมจากงานวิจัย 20 ชิ้น จากผู้ป่วยทั้งสิ้น 3,856 คน พบว่าผลการศึกษาของรายงานต่างๆ มีความขัดแย้งกันมาก จึงเลือกวิเคราะห์ผลสรุปจากการศึกษาที่มีคุณภาพสูง 3 รายงาน ซึ่งโดยรวมพบว่าสรุปว่าการใช้คอนดรอยตินซัลเฟต ร่วมกับกลูโคซามีนในขนาดสูง คือ ใช้กลูโคซามีน 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน หรือ คอนดรอยติน 800 มิลลิกรัมต่อวัน พบว่า ได้ผลดีเหนือยาหลอก ลดอาการปวด ทำให้ข้อทำหน้าที่ได้ดีขึ้น เทียบเท่ากับยา Celecoxib การวิเคราะห์อภิมาน (Meta-analysis) อื่นๆ ก็เสนอแนะว่าสารทั้งสองหากกินในขนาดสูงนาน 2-3 ปี อาจจะมีผลเล็กๆ ในการลดความก้าวหน้าของโรคเข่าเสื่อมแต่ก็ไม่ช่วยให้อาการปวดข้อดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และไม่พบว่ายานี้มีอาการข้างเคียงที่แตกต่างจากกลุ่มควบคุมการใช้ยา chondroitin ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงไม่มีประสิทธิผล ส่วนการที่ใช้ยานี้ร่วมกับ glucosamine ก็ไม่ได้มีผลดีแตกต่างจากกลุ่มที่ไม่ได้ยาอย่างมีนัยสำคัญ แต่มีข้อดี คือ โดยที่ยาเหล่านี้ไม่ค่อยมีผลข้างเคียง
การศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องคอนดรอยตินซัลเฟต
มีการศึกษาวิจัยในการใช้คอนดรอยตินซัลเฟตในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมพบว่าช่วยลดอาการเจ็บข้อ และสามารถชะลอการแคบลงของช่องว่างระหว่างข้อ โดยการศึกษานี้ คือ The Study on Osteoarthritis Progression Prevention (STOPP) ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการศึกษาทั้งหมด 622 คน จากยุโรป และอเมริกา ผู้เข้าร่วมการศึกษามีอายุระหว่าง 45-80 ปี เป็นข้อเข่าเสื่อมบริเวณ medial tibiofemoral โดยผู้เข้าร่วมการศึกษาถูกสุ่มให้ได้รับคอนดรอยตินซัลเฟตในขนาด 800 มิลลิกรัม วันละครั้ง (309 คน) หรือ ได้รับยาหลอก (313 คน) เป็นระยะเวลา 24 เดือน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับคอนดรอยตินซัลเฟต chondroitin มีการแคบลงของข้อ 0.07 มิลลิเมตร กลุ่มควบคุมมีการแคบลงของข้อ 0.31 มิลลิเมตร โดยกลุ่มที่ได้รับคอนดรอยตินซัลเฟต มีการแคบลงของข้อน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.0001) โดยพบว่าผู้ที่ได้รับคอนดรอยตินซัลเฟตช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดการแคบลงของข้อได้ร้อยละ 33 นอกจากนั้นผู้ที่ได้รับ คอนดรอยตินซัลเฟตมีความปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมโดยพบผลลดปวดตั้งแต่เดือนแรกจนถึงเดือนที่ 9 ของการศึกษา และผู้ป่วยร้อยละ 90 ทนต่อการใช้ยาได้ดี โดยไม่พบผลข้างเคียงจากการใช้ยา อย่างไรก็ตามขนาดของคอนดรอยตินซัลเฟตที่ใช้เป็นขนาดที่ใช้เพื่อการรักษาไม่ควรนำขนาดยา
และยังมีการศึกษาวิจัยเพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพของสารคอนดรอยตินซัลเฟต ซึ่งมีการถกเถียงกันมาเป็นเวลานานว่า มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการ และรักษาโรคข้อเสื่อมได้จริง หรือไม่ โดยมีอาสาสมัครซึ่งได้รับการวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อมเข้าร่วมในการศึกษานี้รวม 194 ราย แบ่งสุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับสาร คอนดรอยตินซัลเฟต ในขนาด 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน และกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยยา celecoxib ในขนาด 200 มิลลิกรัมต่อวัน และมีเกณฑ์การวัดผล คือ อาการปวดที่วัดจาก visual analogue scale (VAS) และการเปลี่ยนแปลงของกระดูกอ่อน และน้ำไขข้อภายในข้อเข่าซึ่งตรวจด้วยการถ่ายภาพ MRI
เมื่อสิ้นสุดการศึกษาวิจัยที่ 2 ปี ข้อมูลจากการศึกษาพบว่า กลุ่มอาสาสมัครที่ได้รับ คอนดรอยตินซัลเฟต มีการเสื่อมของเนื้อเยื่อกระดูกอ่อน และน้ำในข้อเข่าน้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับยา celecoxib ค่อนข้างชัดเจน แต่จากการวิเคราะห์ทางสถิติพบว่าไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยความเปลี่ยนแปลงในแง่ของการชะลอความเสื่อมของข้อนั้น สามารถเห็นได้จากการตรวจ MRI ตั้งแต่ 12 เดือนของการรักษา ส่วนในแง่ของการบรรเทาอาการปวดข้อนั้น พบว่า คอนดรอยตินซัลเฟตสามารถบรรเทาอาการปวดได้ดีพอๆ กับยา celecoxib
ได้มีการศึกษาปริมารของคอนดรอยตินซัลเฟต ในวัตถุดิบที่เหลือใช้จากการแปรรูปสัตว์น้ำ พบว่าประเทศไทยมีกระดูกอ่อนครีบปลาฉลาม กระดูกอ่อนปลาฉลาม และปลากระเบน รวมทั้งกระดูกอ่อนจากซากจระเข้ในปริมาณมาก ซึ่งอาจใช้เป็นแหล่งของสารคอนดรอยตินซัลเฟต การศึกษาปริมาณแผลกระดูกอ่อนจากตัวอย่างปลาฉลาม (โรนัน) พบว่ามีกระดูกอ่อนเท่ากับร้อยละ 12.2 ต่อน้ำหนักปลาทั้งตัว ในส่วนครีบปลาฉลามโรนันมีกระดูกอ่อนเท่ากับ 21.6-23 กรัม ต่อครีบ 100 กรัม สำหรับปลากระบาง หรือ ปลากระเบนปากแหลมพบว่ามีกระดูกอ่อนเฉลี่ยร้อยละ 10.2 ของน้ำหนักปลาสดทั้งตัว นอกจากนั้นยังพบว่าโครงกระดูกจระเข้ที่มีน้ำหนัก 20-25 กิโลกรัม ประกอบด้วยกระดูกเชิงกราน และกระดูกซี่โครง หลอดลม โคนลิ้น และส่วนปลายข้อต่อรวมทั้งส่วนปลายกระดูกเชิงกราน และกระดูกซี่โครง เป็นสัดส่วนร้อยละ 0.6 ของน้ำหนักจระเข้ทั้งตัว โดยแยกเป็นกระดุกอ่อนจากสันอก และซี่โครงเท่ากับ 0.47 กระดูกอ่อนจากหลอดลม และกระดูกอ่อนโคนลิ้นเท่ากับ 0.13
จากนั้นได้ศึกษาปริมาณของคอนดรอยตินซัลเฟตจากกระดูกอ่อนครีบฉลาม กระดูกอ่อนกระเทบ และจระเข้ส่วนสันอก โคนลิ้น หลอดลม และซี่โครงอ่อนที่สกัดโดยเอนไซมืปาเปน และตรวจวิเคราะห์ปริมาณโรย sulfated GAG assay ผลการทดลองพบว่าปริมาณคอนดรอยตินซัลเฟตในสารสกัดที่วิเคราะห์โดยใช้ Chondroitin-4-sulgate และ Chondroitin-6-sulfate เป็นสารมาตรฐาน มีค่าน้อยกว่าน้ำหนักของคอนดรอยตินซัลเฟตที่สกัดได้ ซึ่งอาจเกิดจากยังมีไกลโคสอะมิโนไกลแคนชนิดอื่นๆ หรือ คอนดรอยตินชนิดอื่นปนอยู่ด้วย หรือไกลโคสอะมิโนไกลแคนต่างชนิดกันมีความสามารถในการเกิดปฏิกิริยากับสีย้อม Dimethylmethylene blue ได้ไม่เท่ากัน และไกลโคสอะมิโนไกลแคนชนิดที่ไม่มีหมู่ซัลเฟต หรือ กรดไฮยาลูโรนิกที่อาจละลายออกไปกับสารละลายโซเดียมคลอไรด์ความเข้มข้น 00.4 ทำให้ปริมาณคอนดรอยตินซัลเฟตมีปริมาณน้อยกว่าของแข็งในสารสกัด อย่างไรก็ตามจากปริมาณคอนดรอยตินซัลเฟตในกระดูกอ่อนที่วิเคราะห์ได้ มีปริมาณ เรียงลำดับจากมากไปน้อยดังนี้ คือ กระดูกอ่อนจระเข้ส่วนโคนลิ้น สันอก ครีบฉลาม กระดูกอ่อนจระเข้ส่วนหลอดลม และซี่โครงอ่อน กระดูกอ่อนกระเบนตามลำดับ
ข้อแนะนำและข้อควรปฏิบัติ
เนื่องจากมีผลงานวิจัยที่ยังขัดแย้งกันในเรื่องสรรพคุณของสารคอนดรอยตินซัลเฟต ดังนั้นในการเลือดที่จะนำมารับประทานเพื่อรักษาโรค หรือ รับประทานเป็นอาหารเสริมปรึกษาแพทย์ หรือ ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมออีกทั้ง สารสกัดคอนดรอยตินซัลเฟต ยังเป็นยาที่อยู่นอกบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งในการใช้อาจต้องเสียเงินเพิ่มในราคาสูง ส่วนที่มีขายในท้องตลาดในรูปแบบผลิตภัณฑ์อาหารเสริมก็มีราคาแพงเช่นกัน ดังนั้นควรใช้ในกรณีที่จำเป็น และได้รับคำแนะนำจากแพทย์เภสัชกรหรือผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
เอกสารอ้างอิง คอนดรอยตินซัลเฟล
- รศ.นพ.วิจัย เอกพลากร. Chondroitin ลดการปวดข้อได้ หรือ ไม่. คอลัมน์เก็บสาระจากวารสารต่างประเทศ. วารสารคลินิกเล่มที่ 251. พฤษภาคม 2551
- วรรณวิบูลย์ กาญจนกุญชรและอรุณี อิงคากุล. 2548. การใช้ประโยชน์ จากกระดูกอ่อนซึ่งเป็นเศษ เหลือจากอุตสาหกรรม:สกัด และการวิเคราะห์ chondroitin sulfateใ นกระดูกอ่อน. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย. 78 หน้า
- ประโยชน์ของ Chondroitin ในโรคข้อเข่าเสื่อม. ข่าวยาคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.phamacy.mahidol.ac.th/sic/news.week_full.php?id=481
- Carney, S. L. and Muir, H. 1988. The structure and function of cartilage proteoglycan. Physiol.Rev. 68: 858-900.
- Todhunter PG, Kammermann JR, Wright JM. Immunohistochemical analysis of an equine model of synovitis-induced arthritis. Am J Vet Res 1996;57:1080-93
- Lou, X. M., Fosmire, G. J., and Leach, R.M. 2002. Chicken keel cartilage as a source of chondroitin sulfate. Poult. Sci. 81: 1086-1089.
- Lillich JD, Weisbrode SE. Biochemical, histo chemical, and immunohistochemical characterization of distal tibial osteochondrosis in horses. Am J Vet Res 1997;58:89-98.
- Clegg DO, Reda DJ, Harris CL, et al. Glucosamine, chondroitin sulfate, and the two in combination for painful knee osteoarthritis. N Engl J Med 2006; 354:795
- Pearson, A. M. and Young, R. B. 1989. Muscle and Meat Biochemistry. Academic Press Inc. San Diego.
- Hazell PK, Dent C, Fairclough JA, Bayliss MT, Hardingham TE. Changes in glycosaminoglycan epitope levels in knee joint fluid following injury. Arth Rheum 1995;38:1-7
- Reichenbach S, Sterchi R, Scherer M, et al. Meta-analysis: chondroitin for osteoarthritis of the knee or hip. Ann Intern Med 2007; 146:580
- Hochberg MC. Structure-modifying effects of chondroitin sulfate in knee osteoarthritis: an updated meta-analysis of randomized placebo-controlled trials of 2-year duration. Osteoarthritis Cartilage 2010; 18 Suppl 1:S28.
- Muccia, A., Schenettia, L. and Volpi, N. 2000. 1H and 13C nuclear magnetic resonance identification and characterization of components of chondroitin sulfates of various origin. Carbohydr. Polym. 41: 37–45.
- Lagocka, J., Sadowska, M. and Synowiecki, J. 1996. Separation and characteristics of different mucopolysaccharides from bovine trachea cartilage. Food Chem. 60: 533-536.