กกลังกา ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
กกลังกา งานวิจัยและสรรพคุณ 21 ข้อ
ชื่อสมุนไพร กกลังกา
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น กกรังกา, หญ้ารังกา, หญ้ากก (ทั่วไป), กกดอกแดง, กกขนาก, กกต้นกลม, หญ้าลังกา, หญ้าสเล็ม (ภาคกลาง), เฟิงเช่อเฉ่า, จิ่วหลงทู่จู (จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cyperus alternifolius Linn.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Cyperus althernifolius supsp. Flabe;;iformis Kuk
ชื่อสามัญ Umbrella plant, Flastsedge
วงศ์ CYPERACEAE
ถิ่นกำเนิดกกลังกา
กกลังกา จัดเป็นพืชล้มลุกที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในหมู่เกาะมาดากัสการ์ ซึ่งอยู่ในทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา จากนั้นจึงได้กระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนต่างๆ ทั่วโลก และในปัจจุบันมีมากกว่า 4000 สายพันธุ์ สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ บริเวณที่มีน้ำขัง เช่น ตามบึง หนองน้ำ หรือ ตามแม่น้ำลำคลอง และที่ชื้นแฉะทั่วไปที่เป็นดินเหนียว และมีอินทรียวัตถุสูง
ประโยชน์และสรรพคุณกกลังกา
- แก้ตกเลือดในสตรีหลังคลอด
- ใช้ขับโลหิตเนื่องจากช้ำใน
- แก้ธาตุพิการ
- ช่วยขับน้ำดี ให้ตกในลำไส้
- ช่วยขับน้ำลาย
- ช่วยบำรุงธาตุ
- ช่วยบำรุงกำลัง
- แก้เสมหะ
- แก้ไข้มีพิษร้อน
- ช่วยย่อยอาหาร
- ใช้ฟอกเลือด
- ช่วยทำให้เลือดลมไหลเวียนดี
- แก้ท่อน้ำดีอักเสบ
- แก้ดีซ่าน
- แก้ตัวเหลืองตาเหลือง
- แก้ปวดเมื่อยร่างกาย
- ใช้แก้ตกเลือดภายใน
- ช่วยขับเลือดเน่าเสีย
- แก้โรคทางปาก เช่น ปากเปื่อย แผลในปาก รำมะนาด
- ใช้ฆ่าเชื้อโรคในพยาธิ
- ใช้ฆ่าเชื้อโรคที่บาดแผล
ในปัจจุบันมีการนำกกลังกา มาใช้ประโยชน์ต่างๆ หลากหลายด้านอาทิเช่น มีการนำกกลังกามาใช้บำบัดน้ำเสีย ในรูปแบบบึงประดิษฐ์ในแหล่งที่มีการถ่ายเทน้ำเสียต่างๆ และยังมีการนำเส้นใยจากส่วนของลำต้นกกลังกามาใช้เป็นเครื่องจักรสานในงานหัตถกรรมต่างๆ รวมถึงมีการนำกกลังกา มาปลูกเป็นไม้ประดับตามสระน้ำ สวนน้ำ หรือ ตามบึงสวนสาธารณะต่างๆ เพื่อความสวยงามอีกด้วย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
ใช้บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง ขับโลหิต ขับน้ำดี แก้ไข้พิษร้อน ขับน้ำลาย แก้เสมหะ แก้เสมหะเฟื่อง ช่วยย่อยอาหารโดยการนำเหง้า และรากสด 50-60 กรัม มาต้มกับน้ำดื่มหากเป็นแบบแห้งใช้ 20-30 กรัม ใช้แก้ท่อน้ำดีอักเสบ ช่วยขับน้ำดีให้ตกลำไส้ แก้ดีซ่าน ตัวเหลืองตาเหลือง โดยใช้ลำต้นกกลังกา สด 50-60 กรัม หรือ ลำต้นแห้ง 20-30 กรัม ต้มกับน้ำดื่ม ใช้เป็นยาแก้โรคในปาก เช่น ปากเปื่อย ปากเป็นแผล รำมะนาด โดยใช้ดอกใช้ต้มกับน้ำดื่ม หรือ อมกลั้วคอ ใช้ฆ่าพยาธิ ฆ่าเชื้อโรคภายใน โดยใช้ใบมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้แก้ช้ำใน และอาการตกเลือดจากอวัยวะภายใน ช่วยขับเลือดเน่าเสีย โดยใช้รากสด 50-60 กรัม หรือ รากแห้ง 20-30 กรัม มาต้มกับน้ำดื่ม ใช้ฆ่าเชื้อโรคที่บาดแผลโดยใช้ใบใช้ตำพอกบริเวณที่เป็น
ลักษณะทั่วไปของกกลังกา
กกลังกาจัดเป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี มีหัวอยู่ใต้ดิน มีลักษณะเป็นแง่งสั้นคล้ายพืชตระกูลขิงส่วนลำต้นอยู่เหนือดิน และแตกเป็นกอ ลำต้นมีลักษณะตั้งตรงสีเขียว ไม่มีก้าน ลำต้นเป็นเหลี่ยมค่อนข้างกลมมน มีความสูงได้ประมาณ 100-150 เซนติเมตร
ใบ เป็นใบเดี่ยว แผ่นใบบางแต่จะออกแผ่ซ้อนๆ กัน บริเวณปลายยอดของลำต้นคล้ายซี่ร่ม ลักษณะของใบยาวเรียวสีเขียว กว้าง 1 ซม. และยาว 18-19 ซม. ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ด้านบนใบเห็นเส้นของใบตามยาวได้ชัดเจน ส่วนใต้ท้องใบสาก ในต้นหนึ่งๆ โดยใน 1 ลำต้น จะมีใบประมาณ 18-25 ใบ
ดอก ออกเป็นช่อแบบซี่ร่มย่อยบริเวณปลายยอดโดยใน 1 ช่อดอก จะแตกแขนง 20-25 แขนง ซึ่งในแต่ละแขนงจะมีขนาดกว้าง 12-20 เซนติเมตร และแต่ละแขนงจะมีดอกย่อยขนาดเล็กช่อละ 8-20 ดอก ดอกย่อยมีขนาดเล็กสีขาวแกมเขียวแต่เมื่อดอกแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ดอกย่อยมีกาบหุ้ม ขนาดกว้าง 1 มิลลิเมตร และยาว 1-2 มิลลิเมตร ก้านดอกเป็นเส้นเล็กๆ สีเขียวอ่อน ยาวได้ 6-7 เซนติเมตร
ผล ของกกลังกา เป็นผลแห้งมีสีน้ำตาลเปลือกแข็ง และลักษณะรูปรี หรือ รูปไข่ กว้าง 0.4-0.5 มิลลิเมตร และยาว 1 มิลลิเมตร ด้านในผลมีเมล็ดอยู่เมล็ดเดียว
การขยายพันธุ์กกลังกา
กกลังกาเป็นพืชล้มลุกที่มีความชื้นสูง หรือ น้ำขังเล็กน้อย สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการแยกหน่อ และการใช้เมล็ด แต่ในปัจจุบันการขยายพันธุ์ของกกลังกานั้นส่วยใหญ่จะเป็นการขยายพันธุ์ในธรรมชาติมากกว่าการนำมาปลูกโดยมนุษย์อีกทั้งกกลังกา ยังเป็นพืชที่ขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้กกลังกาเป็นวัชพืชชนิดหนึ่งตามนาข้าว หรือ ตามที่ราบลุ่มที่มีน้ำขัง ส่วนวิธีการขยายพันธุ์กกลังกานั้นสามารถทำได้เช่นเดียวกับการเพาะเมล็ด และการแยกหน่อพืชล้มลุกชนิดอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของกกลังการะบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญที่สำคัญเช่น Imperatorin, psoralen, xanthotoxin, umbelliferon, Quercetin, gallic acid, Quercetin-3-o-rutin-oside, Thiodiglycol, Erythritol, Benzeneethanamine, Ascaridole cpoxide, Phthalic acid, butyl undecyl ester, Diqitoxin, Phytol, 4a-acetoxy-5,5,8a-trimethyl,Neocurdione, Ethyl iso-allocholate นอกจากนี้ในน้ำมันหอมระเหยจากส่วนดอกของกกลังกา ยังพบสาระสำคัญเช่น Beta-selinene, Beta-pinene, α-perone, caryophyllene oxide, cyperenr, geraniol, α-pinene, patchemol, myrtenol, oplopenone
การศึกษาทางเภสัชวิทยาของกกลังกา
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนหัวของลำต้น และดอกของกกลังการะบุว่า สารสกัดจากส่วนหัว หรือ เหง้าของกกลังกาสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ E. faecalis ที่ความเข้มข้น 62.5 mg/ml ส่วนผลการทดสอบพฤกษเคมีของกกลังกาพบว่ามีสารกลุ่ม เทอร์พีนอยด์ ฟลาโวนอยด์ และแทนนิน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย และต้านเชื้อราที่ก่อโรคมนุษย์ มีการศึกษาฤทธิ์การยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย 3 ชนิด ของสารสกัดต้นกกลังกา โดยตัวทำละลาย คือ เอทานอล ไดคลอโรมีเทน และเฮกเซน โดยวิธี disdiffution techniques พบว่าสารสกัดต้นกกลังกาด้วยสารสกัดเอทานอล มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีดรีย bacillus subtilis ได้ดีที่สุด รองลมา คือ staphylococcus aureus โดยมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของบริเวณยับยั้งเฉลี่ยเท่ากับ 9.3,8.0 มิลลิเมตร ตามลำดับ ส่วนสารสกัดต้นกกที่สกัดด้วยเอทานอล ไดคลอมีเทน และเฮกเซน ไม่มีฤทธิ์ยับยังการเจริญของแบคทีเรียทั้ง 3 ชนิด ส่วนการศึกษาสารสกัดจากราก และใบของกกลังกา พบว่ามีฤทธิ์ปานกลางต่อยีสต์ในขณะที่สารสกัดจากรากพบว่ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ของสารสกัดจากส่วนเหง้า และรากของกกลังกาในต่างประเทศยังระบุว่ามีฤทธิ์ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง ฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ ต้านการอักเสบ ขับพยาธิ ต้านอาหารแพ้ ต้านมาลาเรีย ลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม และต้านอาการท้องเสีย เป็นต้น
การศึกษาทางพิษวิทยาของกกลังกา
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
สำหรับการใช้กกลังกาเป็นสมุนไพร ควรระมันระวังในการใช้เช่นเดียวกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยใช้ในขนาด และปริมาณที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาด และปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไปเพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้ สำหรับสตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการใช้กกลังกา เป็นสมุนไพร และมีสรรพคุณขับโลหิตซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแท้งบุตรได้
เอกสารอ้างอิง กกลังกา
- ดร.นิจศิริเรืองรังสี ธวัชชัย มังคละคุปต์. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. กกลังกา (kok rang ka). หน้า 14.
- พญ. เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ ดร.นิจศิริ เรืองรังสี กัญจนา ดีวิเศษ. กกรังกา. หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. หน้า 54.
- เจมส์ พึ่งผล และคณะ. การศึกษาพฤกษเคมีเบื้องต้น และฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะของสมุนไพรในเบญจผลธาตุ. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ปีที่ 17. ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2562. หน้า 85-94.
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม. กกรังกา. หนังพจนานุกรมไทย. ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 1-2.
- อมรรัตน์ สีสุกอง กัลยาภรณ์ จันตรี ศรีสุดา หาญภาคภูมิ. การศึกษาฤทธิ์ต้านแบคทีเรียของสารสกัดจากวัชพืชบางชนิด. วารสารวิจัย และพัฒนาวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปีที่ 11. ฉบับที่ 1 มกราคม-พฤษภาคม 2559. หน้า 69-82.
- วิทยา บุญวรพัฒน์. กกลังกา. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. หน้า 16.
- I. H. Hameed, I. A. Ibraheam and H. J. Kadhim .Gas chromatography mass spectrum and fouriertransform,infrared spectroscopy analysis of methanolic extract of Rosmarinus oficinalis leaves. Journal of Pharmacognosy and Phytotherapy , (2015). 7(6), 90-106.
- R.M. Pererz, H.H. Luna and S.H. Garrido, J. Chil. Chem. Soc., 151, 883 (2006).
- Burkill, H.M.( 1985). The useful plants of west tropical Africa, Vol. 1.p478-480.
- Bunyapraphatsara N, Chokchaichareonporn O, editors. Herbs: folk herbs (1). Bangkok: Faculty of Pharmacy, Mahidol University; 1996. 895 p
- M. T. Ghaneian1 , M. H. Ehrampoush, A. Jebali , S. Hekmatimoghaddam and M.Mahmoudi.Antimicrobial activity, toxicity and stability of phytol as a novel surface disinfectant Environmental Health Engineering and Management Journal( 2015), 2(1), 13–16
- W.W. Jennings and I.I. Shibamito, Qualitative Analysis of Flavour Volatiles by Gas Capillary Chromatography. Academic Press, New York (1980).
- A. F. Al-Rubaye, M. J. Kadhim,and I.H. Hameed . Determination of Bioactive Chemical Composition of Methanolic Leaves Extract of Sinapis arvensis Using GC-MS Technique ,IJTPR, (2017); 9(2); 163-178.
- F. Shahidi .Antioxidant factors in plant foods and selected oilseeds, , BioFactors(2000),13(1-4):179-85·
- I. H. Hameed, H. J. Altameme, and S. A. Idan. Artemisia annua: Biochemical products analysis of methanolic aerial parts extract and anti-microbial capacity . RJPBCS , (2016),7(2) ,1843.
- Lawal OA, Oyedeji AO. Chemical composition of the essential oils of Cyperus rotundus L. from South Africa. Molecules. 2009;14(8):2909-17.
- H.J. Al Tameme, I. H. Hameed and N. A.Abu-Sserag . analysis of bioactive phytochemical compounds of two medicinal plants ,Equisetum arvense and Alchemila valgaris seeds using gas chromatography-mass spectrometry and fouriertransform infrared spectroscopy, Malays. Appl. Biol. (2015) 44(4): 47–58.
- G.G. John, J. Ecol., 67, 953 (1978).
- R. El Mokni , Hammami S. , Dall’Acqua S. , Peron G. , Faidi K. , Braude J.P. , Sebei H and El Aouni M.H. Chemical Composition, Antioxidant and Cytotoxic Activities of Essential Oil of the Inflorescence of Anacamptis coriophora subsp. fragrans (Orchidaceae) from Tunisia. Natural Product Communications (2016), 11(6):857-860.
- Singh G, Kapoor IPS, Singh OD, Rao GP, Prasad YR, Leclercq PA, Klinkby N. Studies on essential oils, part 28: Chemical composition, antifungal and insecticidal activities of rhizome volatile oil of Homalomena aromatica Schott. Flavour and fragrance journal. 2000;15(4):278-80.