พญาไร้ใบ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

พญาไร้ใบ งานวิจัยและสรรพคุณ 19 ข้อ

ชื่อสมุนไพร พญาไร้ใบ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น พญาร้อยใบ, เกี๊ยะจีน, เกี๊ยะเทียน (ภาคเหนือ)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Euphobia tirucalli Linn
ชื่อสามัญ Pencil tree, Indian tree spurge, Milk brush, Finger tree
วงศ์ EUPHORBIACEAE


ถิ่นกำเนิดพญาไร้ใบ

พญาไร้ใบ จัดเป็นพันธุ์ไม้ในวงศ์ยางพารา (EUPHORBIACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ต่อมาได้มีการกระจายพันธุ์ไปยังอเมริกา และอินเดีย โดยเฉพาะในอินเดียพบว่ามีการแพร่กระจายพันธุ์อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในรัฐเบงกอล และอีกหลายรัฐในทางตอนใต้ของอินเดีย สำหรับในประเทศไทยนั้นพบพญาไร้ใบ ได้มาก ตามอาคารสถานที่ต่างๆ เนื่องจากถูกนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ ส่วนในธรรมชาติพบได้ประปราย


ประโยชน์และสรรพคุณพญาไร้ใบ

  1. ใช้เป็นยาแก้ธาตุพิการ
  2. ใช้เป็นยาแก้กระเพาะอักเสบ
  3. แก้อาการบาดเจ็บ
  4. แก้ปวดบวม
  5. แก้ปวดกระดูก กระดูกเดาะ
  6. รักษาแผล
  7. แก้รังแค
  8. แก้ริดสีดวงทวาร
  9. ใช้รักษาโรคผิวหนัง
  10. แก้หูด
  11. รักษาอาการกระดูกหัก 
  12. ใช้ในกระตุ้นทางเพศ
  13. ใช้เป็นยาต้านซิฟิลิส
  14. แก้อาการปวดฟัน
  15. แก้โรคลมบ้าหมู
  16. รักษางูกัด
  17. ใช้แก้อาการไอ
  18. ใช้เป็นยาระบาย
  19. ใช้แก้ปวดท้อง

           พญาไร้ใบถูกนำมาใช้ ปลูกเป็นไม้ประดับตกแต่งสวนสาธารณะ และตามอาคารสถานที่ต่างๆ นอกจากนี้มีการนำพญาไร้ใบมาใช้ในการทางเกษตรกรรม โดยนำมาใช้ป้องกัน และกำจัดแมลงศัตรูพืชได้ เช่น แมลงวันทอง เพลี้ยอ่อน มอดแป้ง หนอนกระทู้ผัก อีกทั้งยังสามารถกำจัดหอยเชอรี่ในนาข้าวได้ โดยเตรียมพญาไร้ใบ 3 กิโลกรัม น้ำ 10 ลิตร กากน้ำตาล 0.5 ลิตร มาหมักรวมกัน ปิดถังหมักทิ้งไว้ในร่ม 1 เดือน

           ในประเทศอินโดนีเซียน้ำยางพญาไร้ใบ ถูกนำมาใช้เพื่อรักษาโรคผิวหนัง และอาการกระดูกหัก ในอินเดียใช้น้ำยางเป็นยากระตุ้นทางเพศ และยาต้านซิฟิลิส ในแอฟริกาตะวันออก ใช้น้ำยาง แก้อาการปวดฟัน แก้ริดสีดวงทวาร แก้โรคลมบ้าหมู งูกัด และใช้แก้อาการไอ เป็นต้น

พญาไร้ใบ

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้แก้ธาตุพิการ และใช้เป็นยาระบาย โดยนำรากมาตากแห้ง แล้วนำไปต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้ปวดท้อง โดยนำรากมาต้มกับน้ำมะพร้าว นำมาทาบริเวณที่ปวด
  • ใช้แก้กระเพาะอักเสบ โดยนำต้นมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้หูด กัดหูด โดยนำยางของพญาไร้ใบ มาแต้มบริเวณที่เป็นหูดวันละ 2-3 ครั้ง
  • ใช้แก้รังแค พอกแผล แก้ปวดบวม ปวดกระดูก กระดูกเดาะ โดยนำต้มมาตำให้ละเอียดพอก หรือ ทาบริเวณที่เป็น
  • ใช้แก้อาการบาดเจ็บ ปวดบวม โดยนำต้นมาต้มกับน้ำ เมื่อน้ำยาอุ่นให้นำมาแช่ที่ที่มีอาการ
  • ใช้แก้ริดสีดวงทวาร โดยยำใบ และรากมาตำพอกบริเวณที่เป็น


ลักษณะทั่วไปของพญาไร้ใบ

พญาไร้ใบ จัดเป็นไม้พุ่ม หรือ ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ลำต้นสูงได้ 1-7 เมตร มักจะแตกกิ่งก้านสาขามาก และแตกแบบไม่เป็นระเบียบ ดูคล้ายกับปะการัง เปลือกลำต้น เมื่อพญาไร้ใบ อ่อนจะมีสีเขียวเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม ลำต้นกลมเรียบไม่มีหนาม กิ่งอ่อนสีเขียวเรียบเกลี้ยง อวบน้ำ รูปทรงกระบอก เมื่อหัก หรือ กรีดจะมีน้ำยางสีขาวข้นไหลออกมาจำนวนมาก

           ใบพญาไร้ใบ เป็นใบเดี่ยว ขนาดเล็กมากออกเรียงตรงข้าม บริเวณส่วนข้อของลำต้น หรือ กิ่งลักษณะของใบมีสีเขียวเป็นรูปขอบขนาน โคน และปลายใบมน มีขนาดกว้าง 0.2 เซนติเมตร และยาว 1 เซนติเมตร อีกทั้งมักจะหลุดร่วงได้ง่าย

           ดอกพญาไร้ใบ เป็นดอกเดี่ยว แต่จะออกเป็นกระจุกบริเวณปลายยอด เป็นดอกสมบูรณ์เพศ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นดอกเพศเมียลักษณะของดอกมีขนาดเล็กสีเขียว ไม่มีกลีบดอก แต่มีกลีบรองดอกสีขาว และมีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ

           ผลพญาไร้ใบ เป็นผลแห้งรูปร่างคล้ายแคปซูล เมื่อผลอ่อนจะมีสีเขียว และจะแตกและอ้าออก ด้านในมีเมล็ดรูปไข่สีน้ำตาล 3 เมล็ด

พญาไร้ใบ
พญาไร้ใบ

การขยายพันธุ์พญาไร้ใบ

พญาไร้ใบ สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการใช้เมล็ด และการปักชำกิ่ง แต่วิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ การเด็ดกิ่งมาปักชำ เนื่องจากเป็นวิธีการที่ง่าย และประหยัดเวลา รวมถึงต้นยังเจริญเติบโตได้เร็วกว่าการเพาะเมล็ด สำหรับวิธีการปักชำกิ่งพญาไร้ใบ นั้นสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการปักชำ พันธุ์ไม้พุ่ม หรือ ไม้ยืนต้นอื่นๆ ซึ่งได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ ทั้งนี้พญาไร้ใบเป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบดินร่วนที่มีการระบายน้ำได้ดี และต้องการแสงแดดตลอดวัน


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยถึงองค์ประกอบทางเคมีจากส่วนต่างๆ ของพญาไร้ใบ ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์หลายชนิดอาทิเช่น ใบพบสาร Sitosterol, stigmasterol, campesterol, β-amyrin, palmitic acid and linoleic acid ลำต้นพบสาร Euphorbol, β-sitosterol, cycloartenol, taraxerone, 24-methylenecycloartenol, ingenol triacetate, euphorbol hexacosonate, 12-deoxy-4β-hydroxyphorbol-13-phenyl acetate-20-acetate เปลือกต้นพบสาร Cycloart-23-ene-3β,25-diol, Taraxerol, euphorcinol, Euphorginol, Euphoriginol และ Taraxerane triterpene กิ่งก้านพบสาร Hentriacontene, hentriacontanol, β-sitosterotchouc, cyclotirucanenol, cycloeupordenol, corilagin, casuarin, euphorbins, euphorone, euphorcinol, euphol, gallic acids, ellagic acids, taraxerol, β-sitosterol, Euphorbin A, euphorbin F, tirucallin A, tirucallin B น้ำยางพบสาร Euphol, 12-deoxyphorbol esters and ingenol, β-sitosterol, 12-deoxy-4β-hydroxyphorbol-13-phenyl acetate-20-acetate, 12, 20-dideoxyphorbol-13-isobutyrate, glut-5-en-3-β-ol, Tirucalicine, Tri-methyl ellagic acid และ isoeuphorol นอกจากนี้ในน้ำยางสดยังมีสารที่เป็นพิษต่อมนุษย์ คือ 4-deoxyphortrol และอนุพันธุ์เป็นสารร่วมก่อมะเร็ง เช่น euphorbon, euphorone, tirucallol, taraxasterol และ esin เป็นต้น

โครงสร้างพญาไร้ใบ

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของพญาไร้ใบ

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาจากส่วนต่างๆ ของพญาไร้ใบระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาดังนี้

           มีรายงานผลการศึกษาฤทธิ์การต้านข้ออักเสบของสารสกัดจากพญาไม้ใบ โดยใช้แบบจำลองการเกิดข้ออักเสบที่เกิดจาก adjuvant ในหนูทดลอง พบว่าหนูทดลองที่ได้รับการรักษาด้วยสารสกัดดังกล่าว จะลดอาการบวมน้ำที่อุ้งเท้าโดยขึ้นอยู่กับขนาดยา และการให้ยาขนาด 400 มก./กก. วันละครั้งนาน 30 วัน พบว่าไม่แสดงอาการผิดปกติการเปลี่ยนแปลง หรือ การเสียชีวิตแต่อย่างใด

           มีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ในการระงับปวดของสารสกัดจากส่วนเหนือดินของพญาไร้ใบ โดยสารสกัดน้ำ, ไดคลอโรมีเทน-เมทานอล และปิโตรเลียมอีเทอร์ พบว่ามีเปอร์เซ็นต์การยับยั้งการปวดบิดเท่ากับ 57.67% 51.80% และ 48.48% ตามลำดับ

           ส่วนฤทธิ์ต้านจุลชีพของสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์ สารสกัดไดคลอโรมีเทน-เมทานอลจากน้ำยาง ของพญาไร้ใบ พบว่าสามารถต้านเชื้อ Bacillus subtilis (B.subtilis), Klebsiella pneumoniae (K.pneumoniae), Staphylococcus aureus (S.aureus) และ Pseudomonas aeruginosa (P.aeruginosa) ได้


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของพญาไร้ใบ

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาจากส่วนของน้ำยางของพญาไร้ใบ ระบุว่าน้ำยางของพญาไร้ใบมีสาร phorbol derivative ที่ฤทธิ์ระคายเคืองต่อผิวหนัง และระบบทางเดินอาหาร รวมถึงสาร 4 - deoxyphorbol ที่มีความเป็นพิษเช่นเดียวกัน


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

การนำพญาไร้ใบมาใช้เป็นสมุนไพรควรใช้โดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากยางพญาไร้ใบมีความเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร หากรับประทานเข้าไปอาจทำให้มีอาการ เยื่อบุหนังกระเพาะอาหาร และลำไส้อักเสบ มีอาการอาเจียน ถ่ายท้องอย่างรุนแรง ม่านตาหด แต่หากถ้าได้รับสารพิษในน้ำยางในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการชักเกร็ง และเสียชีวิตได้

           นอกจากนี้น้ำยางของพญาไร้ใบ ยังมีความเป็นพิษต่อผิวหนัง โดยหากสัมผัสน้ำยางอาจทำให้เกิดอาการ ผิวหนังอักเสบเป็นปื้นแดง บวมพองเป็นตุ่มน้ำ ปวดแสบ ปวดร้อน หากสัมผัส หรือ กระเด็นเข้าตาจะทำให้เยื่อบุตาอักเสบ และตาบอดได้ อีกทั้งสตรีมีครรภ์ก็ไม่ควรใช้พญาไร้ใบเป็นยาสมุนไพรเพราะมีรายงานว่าน้ำยางของพญาไร้ใบมีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแท้งบุตรได้


เอกสารอ้างอิง พญาไร้ใบ
  1. ดร.นิจศิริ เรืองรังสี, ธวัชชัย มังคละคุปต์, พญาไร้ใบ (Phaya Rai Bai) หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1.หน้า 189.
  2. เศรษฐมนตร์ กาญจนกุล.ไม้มีพิษ. กทม. เศรษฐศิลป์. 2552
  3. “พญาไร้ใย Milk Bush” หนังสือสมุนไพรสวนสิริรุกขชาติ. คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลับมหิดล. หน้า 109
  4. วัฒนา เสถียรสวัสดิ์ และคณะ. พญาไร้ใบพืชปิโตรเลียม.รายงานการวิจัย โครงการวิจัยพืชเพื่อทดแทนและอุตสาหกรรม. ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (วิทยาการพลังงานเขตกำแพงแสน), มิถุนายน 2526. 21 หน้า
  5. เศรษฐมนตร์ กาญจนกุล. ว่าน.กทม. เศรษฐศิลป์. 2553. หน้า 48
  6. พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ. พญาไร้ใบ. หนังสือสมุนไพรอุทยานแห่งชาติภาคเหนือ. หน้า 139.
  7. พญาไร้ใบ. ศูนย์ข้อมูลพืชพิษ. สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยามหิดล.
  8. Nadkarni KM, Nadkarni AK. Indian materia medica. 3rd ed., vol.I. Bombay: Popular Prakashan; 2007.
  9. Duke JA. Handbook of energy crops. Indiana: Purdue University Centre for New Crops and Plant Products; 1983.
  10. Chatterjee A, Chakrabarty M, Ghosh AK. Trimethylellagic acid from Euphorbia tircualli Linn. Indian J Chem B 1977; 15: 564-5.
  11. Masataka K, Katsuyuki TY, Hideya F, Yasuyoshi S, Hidenobu U,Kanji O. Cloning and characterization of a cDNA encoding bamyrin synthase from petroleum plant Euphorbia tirucalli L. Phytochemistry 2005; 66: 1759-66.
  12. Sarang B, Anpurna K, Beenish K, Vijay Kumar G, Naresh Kumar S, Krishan Avtar S, et al. Anti-arthritic activity of a biopolymeric fraction from Euphorbia tirucalli. J Ethnopharmacol 2007; 110: 92-8.
  13. Van Damme P. Het traditioneel gebruik van Euphorbia tirucalli [The traditional uses of Euphorbia tirucalli]. Afr Focus 1989; 5: 176-93.
  14. Burkill, L.H. 1966. A Dictionary of economic products of the Malay Perninsula. Vol I (A-E):996-999.
  15. Baslas RK, Gupta NC. Chemical constituents of the bark of Euphorbia tirucalli. Indian J Pharm Sci 1982; 5: 113-5.
  16. Prabha MN, Ramesh CK, Kuppasta IJ, Mankani KL. Studies on anti-inflammatory and analgesic activities of Euphorbia tirucalli L. latex. Int J Chem Sci 2008; 6(4): 1781-7.
  17. Khan AQ, Malik A. A new macrocyclic diterpene ester from the latex of Euphorbia tirucalli. J Nat Prod 1990; 53: 728-31.
  18. Asha SK, Ramesh CK, Paramesha M, Srikanth AV. Evaluation of anthelmintic and antimicrobial activities of Euphorbia tirucalli L. latex. Nat Prod 2009; 5(2): 45-9.
  19. Chauhan S, Singh A. Impact of Taraxerol in combination with extract of Euphorbia tirucalli plant on biological parameters of Lymnaea acuminate. Rev Inst Med Trop Sao Paulo 2011; 53(5):265-70.
  20. Rafael CD, Kathryn Ana BSS, Allisson FB, Rodrigo M, Ana FP, Flavia CM, et al. Euphol, a tetracyclic triterpene produces anti- nociceptive effects in inflammatory and neuropathic pain: the involvement of cannabinoid system. Neuropharmacology 2012; 63: 593-605.