ตะบูนดำ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

ตะบูนดำ งานวิจัยและสรรพคุณ 13 ข้อ

ชื่อสมุนไพร ตะบูนดำ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ตะบูน (ทั่วไป)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Xylocarpus moluccensis (Lam.) M.Roem
วงศ์ MELIACEAE


ถิ่นกำเนิดตะบูนดำ

ตะบูนดำ จัดเป็นพันธุ์ไม้ในป่าชายเลนอีกชนิดหนึ่ง โดยมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมบริเวณชายฝั่งทะเล เขตร้อน ซึ่งมักจะพบกระจายพันธุ์อยู่ในชายฝั่งทะเลของทวีป แอฟริกา เอเชีย อเมริกา และออสเตรเลีย สำหรับในประเทศไทย สามารถพบตะบูนดำ ได้ตามป่าชายเลน หรือ ตามชายฝั่งทะเลของภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้


ประโยชน์และสรรพคุณตะบูนดำ

สำหรับสรรพคุณทางยาของตะบูนดำนั้น ในตำรายาไทยและตำรายาพื้นบ้านได้ระบุถึงสรรพคุณว่ามีสรรพคุณคล้ายกับตะบูนขาว

  1. ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย
  2. แก้อาการไอ
  3. แก้ท้องร่วง
  4. รักษาแผลภายใน
  5. แก้อาการท้องเสีย
  6. แก้อหิวาตกโรค
  7. แก้บิด
  8. รักษาแผลสด ใช้ชะล้างบาดแผล ทำความสะอาดแผล
  9. รักษาแผลบวม แผลฟกช้ำเป็นหนอง
  10. แก้มะเร็งผิวหนัง
  11. ใช้เป็นยาลดไข้
  12. แก้อาการอักเสบในลำไส้
  13. แก้อาการผิดปกติในช่องท้อง

           ตะบูนดำเนื้อไม้ที่แข็งมีสี และลวดลายสวยงาม มีการนำมาใช้ตกแต่งทำเฟอร์นิเจอร์ และก่อสร้าง หรือ ใช้ทำไม้กระดานปูพื้น หรือ ใช้ทำฝาบ้านได้ ส่วนเปลือกไม้ตะบูนดำ สามารถนำมาใช้ในการฟองหนัง เพื่อใช้เป็นพื้นรองเท้า (heavy leather) หรือ นำน้ำฝาด จากเปลือกต้นมาใช้ย้อมผ้าย้อมแห อวน โดยจะให้สีน้ำตาล

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้เป็นยาลดไข้ ใช้แก้อาการท้องเสีย อาการอักเสบในลำไส้ อาการผิดปกติในช่องท้อง โดยนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้รักษาแผลภายใน แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้อหิวาตกโรค โดยนำเปลือกต้น และผลตะบูนดำ มาตากให้แห้งใช้ต้มกับน้ำดื่มหากใช้พอกแผลสด แผลบวม พกช้ำ เป็นหนองให้นำเปลือก และผลมาต้มแล้วตำให้ละเอียดแล้วใช้พอกบริเวณที่เป็นแผล
  • ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย แก้ไอ แก้ท้องร่วง โดยนำผลและเมล็ด มาสับให้ละเอียดตากแดดให้แห้งแล้วนำมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้มะเร็งผิวหนัง โดยนำผลแห้งตากแห้งมาเผาไฟร่วมกับเห็ดพังกาและน้ำมันมะพร้าว ใช้ทาบริเวณที่เป็น
  • ใช้ชะล้างบาดแผล ทำความสะอาดแผล โดยนำเปลือกผลมาต้มกับน้ำใช้น้ำที่ได้ชะล้างทำความสะอาดบาดแผล


ลักษณะทั่วไปของตะบูนดำ

ตะบูนดำ จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดใหญ่ มีทรงพุ่มเป็นพุ่มกลม ลำต้นมีความสูง 6-35 เมตร มีลักษณะของลำต้นเปลาตรง เปลือกต้นหยาบมีความหนา 0.3-0.5 เซนติเมตร ขรุขระ มีสีเทา หรือ สีน้ำตาลเข้ม ต้นเมื่อแก่เปลือกจะลอกเป็นแถบ และแตกเป็นร่องตามยาว อีกทั้งมักจะเป็นโพรง ส่วนเนื้อไม้มีสีน้ำตาล โคนต้นเป็นพูพอนเล็กน้อย ส่วนระบบราก มีรากหายใจ เป็นรูปกรวยคว่ำ หรือ แบบโผล่ขึ้น บริเวณผิวดิน ประมาณ 20-40 เซนติเมตร

           ใบตะบูนดำ เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ โดยจะออกแบบเรียงสลับบริเวณกิ่ง ช่อใบยาว 10 เซนติเมตร ซึ่งใน 1 ช่อใบจะมีใบย่อย 1-3 คู่ ใบย่อยมีลักษณะเป็นใบหอก หรือ รูปรีแกมขอบขนาน กว้าง 2-6.5 เซนติเมตร ยาว 5-15 เซนติเมตร โคนใบสอบแคบค่อนข้างเบี้ยว ปลายใบแหลม หรือ มน ขอบใบเรียบ ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน มีสีเขียวเข้ม เมื่อใบแก่จะเปลี่ยนเป็นสีส้ม และมีก้านใบสีเทาเข้มสั้นๆ

           ดอกตะบูนดำ ออกเป็นช่อดอกแบบช่อแยกแขนงและเป็นแบบแยกเพศ โดยจะออกบริเวณง่ามใบ ยาว 7-17 เซนติเมตร ซึ่งใน 1 ช่อดอกจะประกอบไปด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ลักษณะของดอกจะมีกลีบดอก รูปขอบสีขาว หรือ สีครีม จำนวน 4 กลีบ มีขนาด 0.4-0.8 เซนติเมตร มีเกสรตัวผู้ 8 อัน อยู่ตรงกลาง และมีกลีบเลี้ยงมีเขียว 4 กลีบ ยาว 1-1.5 เซนติเมตร

           ผลตะบูนดำ เป็นผลเดี่ยว ลักษณะกลม มีขนาดประมาณเท่ากำปั้น โดยมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางผล 7-12 เซนติเมตร ผิวผลเกลี้ยงมีสีเขียวเมื่อผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง แต่ละผลมีร่องแบ่งเป็น 4 พู เมื่อผลแก่เต็มที่เปลือกหุ้มผลจะแตก และหลุดร่วงลงจากต้น ด้านในผลมีเมล็ด ลักษณะสามเหลี่ยมมีฐานโค้งนูน ประมาณ 7-11 เมล็ด

ตะบูนดำ 

ตะบูนดำ

ตะบูนดำ

การขยายพันธุ์ตะบูนดำ

ตะบูนดำ สามารถขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด โดยนำเมล็ดเพาะไว้ในเรือนเพาะชำ ให้เป็นกล้าก่อน แล้วค่อยนำไปปลูกโดยเริ่มจากนำเมล็ดที่แก่จัดมาแช่น้ำ 2-3 คืน แล้วจึงมาเพาะชำในถุงเพาะขนาด 2.5x6 นิ้ว ที่เตรียมไว้ และใช้วัสดุเพาะที่ประกอบด้วยหน้าดินเลนผสมแกลบเผา ในอัตราส่วน 1:1 หรือ อาจจะใช้ดินทรายผสมเลนก็ได้ แล้วนำเมล็ดตะบูนดำ ที่เตรียมไว้มาวางในถุงเพาะ กดให้ฝังลงในดินเล็กน้อย โดยให้ส่วนที่จะแตกราก และลำต้นสัมผัสดิน หรือ จมลงระดับผิวดิน แล้วรดน้ำโดยใช้น้ำกร่อยรดให้ชุ่มอยู่เสมอจนกว่าจะแตกต้นอ่อนออกมา หลังจากต้นกล้าตะบูนดำ สูงประมาณ 30 ซม. ก็สามารถย้ายไปปลูกได้ สำหรับการปลูกตะบูนดำควรใช้ระยะปลูกประมาณ 1.5x1.5 เมตร อีกทั้งพื้นที่เหมาะสมกำหนับการปลูกตะบูนดำ ควรเป็นพื้นที่ป่าชายเลน หรือ พื้นที่เป็นดินเลนค่อนข้างแข็ง น้ำท่วมถึงสม่ำเสมอ หรือเป็นครั้งคราว  


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยถึงองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากเมล็ดและผลของตะบูนดำ ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น มีรายงานการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีจากผลตะบูนดำ ที่สกัดด้วยเอทานอล 95% ระบุว่าพบ สารออกฤทธิ์ 2 ชนิด คือ Xyloccensins X, Xyloccensins Y และมีการศึกษาวิจัยสารสกัดในเมล็ดของตะบูนดำ ที่สกัดด้วย เอทานอล 95% ที่อุณหภูมิห้อง พบว่าสามารถสกัดประเภทลิโมนอยด์ ซึ่งประกอบด้วย Godavarins A-J, Mexica nolide และ Fissinolide ส่วนสารสกัดหยาบเอทิลอะซิเตทของเมล็ดตะบูนดำ พบสาร Thaimoluccensis A, 7-deaeetyl gedunin, Thaimoluccensis B และ C เป็นต้น

           นอกจากนนี้ยังมีรายงานการศึกษาองค์ประกอบทางเคมี สารสกัดหยาบเมทานอล จากเปลือกหุ้มเมล็ดตะบูนดำ พบสาร Moluccensin H, Moluccensin I และ Moluccensin J

โครงสร้างตะบูนดำ

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของตะบูนดำ

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดตะบูนดำ จากเมล็ดและผล ระบุว่าฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้  

           มีรายงานการศึกษาวิจัย โดยนำสารสกัดเมทานอลจากเปลือกหุ้มเมล็ดตะบูนดำ มาทดสอบฤทธิ์ ต้านเชื้อแบคทีเรีย พบว่าสาร Moluccensins H ที่พบในสารสกัดดังกล่าวมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรียชนิด Staphylococcus hominis และ Enterococcus faecalis อีกทั้งยังมีรายงานการศึกษาวิจัยโดยนำสารสกัดเอทิลอะซิเตทจากเมล็ดตะบูนดำไปทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยดูการยับยั้งการผลิตสารไนตริกออกไซต์จาก macrophage พบว่าสาร 7-deccetylgedunin ที่พบในสารสกัดดังกล่าวมีฤทธิ์ในการยับยั้งการผลิตสารไนตริกออกไซต์ดีที่สุดด้วยค่า IC50 น้อยกว่า 10 µM

           นอกจากนี้ยังมีการนำสารที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอล 95% จากผลของตะบูนดำ มาทำการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งโรคกระเพาะในหนูทดลอง พบว่าสารผสมระหว่าง Xyloccensine X และ Xyloccensins Y ซึ่งเป็นสารที่พบนสารสกัดดังกล่าว แสดงฤทธิ์ในการยับยั้งแผลในกระเพาะอาหารของหนูทดลองได้เป็นอย่างดี


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของตะบูนดำ

ไม่มีข้อมูล


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

ในการใช้ตะบูนดำมาเป็นสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคนั้น ควรระมัดระวัง ในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยการใช้ในขนาด และปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำราต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้

เอกสารอ้างอิง ตะบูนดำ
  1. สำนักงานหอพรรณไม้. (2557). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทยเต็ม สมิตินันทน์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
  2. วิพักตร์ จินตนา.2528. การปรับตัวทางด้านสรีระและด้านอื่นๆของพันธุ์พืชในป่าชายเลน. เอกสารเสนอในการสัมมนาระบบนิเวศวิทยาป่าชายเลนแห่งชาติ ครั้งที่ 5 จังหวัดภูเก็ต, 26-29 กรกฎาคม. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, กรุงเทพฯ
  3. มัณฑนา นวลเจริญ. 2552. สารานุกรมความหลากหลายทางชีวภาพตำบลคลองประสงค์ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่. กทม. สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. หน้า 43
  4. ก่องกานดา ชยามฤต และลีนา ผู้พัฒนพงศ์. (2545).สมุนไพรไทย ตอนที่ 7. กรุงเทพฯ: ประชาชน.
  5. ประมูล รักษาแก้ว, 2519. การปลูกสร้างสวนป่าไม้โกงกาง. วารสารวนสารปีที่ 34,3 : 275-283.
  6. รัตนา อินทรานุปกรณ์. (2550). การตรวจสอบ และการสกัดแยกสาระสำคัญจากสมุนไพร. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  7. สนิท อักษรแก้ว, สนใจ หะวานนท์, ชาตรี มากนวล, คู่มือการปลุกพันธุ์ไม้ป่าชายเลน. โครงการวิจัยป่าชายเลน ITTO/JAM/Ti NATMANCOM Development and Dissemination of Re-afforestation Techniques of Mangrove Forests.
  8. ศิริพร จิ๋วสุวรรณ. การศึกษาทางเคมี และฤทธิ์ชีวภาพจากพืชสกุล Xylocarpus.วิทยานิพนธ์สาขาวิชาเคมีศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลับรูรพา.ธันวาคม 2560. 80 หน้า
  9. ชุติมา จิตนิยม. (2554). ลิโมนอยด์จากเมล็ดตะบูนขาว และตะบูนดำ จังหวัดสุราษฎร์ ธานี. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต, สาขาวิชาเคมี, คณะวิทยาศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
  10. Jun Li, Min-Yi Li, Gang Feng, Qiang Xiao, Jari Sinkkonen, Tirumani Satyanandamurty, & Jun Wua. (2010). Limonoids from the seeds of a Godavari mangrove, Xylocarpus moluccensis. Phytochemistry, 71, 1917-1924.
  11. Khanitha Pudhom, DamrongSommit, Paulwatt Nuclear, Nattaya Ngamrojanavanich, & Amorn Petsom. (2010). Moluccensins H-J, 30-Ketophragmalin Limonoids from Xylocarpus moluccensis. Journal of Natural Products,73,263–266.
  12. Vijai Lakshmi, Vaibhav Mishra, & Gautam Palit. (2014). A New Gastroprotective Effect of Limonoid Compounds Xyloccensins X and Y from Xylocarpus molluccensis in Rats. Natural Products and Bioprospecting, 4, 277–283.
  13. Warin Ravangpai, Damrong Sommit, Thapong Teerawatananond, Nuntawan Sinpranee, Taapat Palaga, Somchai Penpreecha, Nongnuj Muangsin, & Khanitha Pudhom. (2011). Limonoids from seeds of Thai Xylocarpus moluccensis. Bioorganic & Medicinal Chemistry Letters, 21, 4485-4489.