พวงไข่มุก ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

พวงไข่มุก งานวิจัยและสรรพคุณ 6 ข้อ

ชื่อสมุนไพร พวงไข่มุก
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น อูน, อูนบ้าน, ดอกอูน (ภาคเหนือ), ระป่า (ภาคตะวันออก), พอตะบุ, ชิตาโหระ (กะเหรี่ยง), ทู่ซือจื่อ (จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Sambucus canadensis Linn.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Sambucus simpsonii Rehder, Sambucus nigra subsp. canadensis (L.) Bolli
ชื่อสามัญ American elder
วงศ์ ADOXACEAE


ถิ่นกำเนิดพวงไข่มุก

พวงไข่มุก จัดเป็นพืชในวงศ์ เอลเดอร์เบอร์รี่ (ADOXACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนของทวีปอเมริกาเหนือ ต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนต่างๆ ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยพบพวงไข่มุก ได้มากทางภาคเหนือบริเวณอาคารบ้านเรือน หรือ ชายป่า หรือ ตามที่รกร้างว่างเปล่าทั่วไป ที่มีความสูงชุ่มชื้นสูง ที่มีระดับความสูง 200-1,300 เมตร จากระดับน้ำทะเล


ประโยชน์และสรรพคุณพวงไข่มุก

  1. แก้อาการตัวบวม
  2. แก้อาการท้องร่วง
  3. ช่วยขับเหงื่อ
  4. แก้มือเท้าเคล็ด
  5. แก้เคล็ดขัดยอกตามข้อ
  6. บรรเทาอาการมือเท้าเคล็ด ข้อเคล็ด ข้อพลิ

           ในภาคเหนือมีการนำยอดอ่อนของพวงไข่มุก มาใช้รับประทานเป็นอาหาร โดยนำมารับประทานเป็นผักแกล้มน้ำพริก ส่วนผลพวงไข่มุกสุกมีรสเปรี้ยวฝาด ใช้รับประทานได้ หรือ ในต่างประเทศมีการนำมาใช้ทำแยมไวน์และพาย รวมถึงนำดอกพวงไข่มุกมาใช้ปรุงอาหาร หรือ ทำเป็นชาชงน้ำดื่ม ช่อดอกมีกลิ่นหอม มักนำไปวัดเพื่อบูชาพระ หรือ ใช้ในพิธีกรรมต่างๆ

           นอกจากนี้ยังใช้พวงไข่มุก ปลูกเป็นไม้ประดับตามบ้านเรือนตามแนวรั้ว หรือ ใช้ปลูกตกแต่งสวนหย่อมตามอาคารสถานที่ต่างๆ เนื่องจากมีทรงพุ่มที่สวย อีกทั้งดอกมีสีขาวสวยและมีกลิ่นหอม

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • แก้อาการท้องร่วง โดยนำรากพวงไข่มุกมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ช่วยขับเหงื่อ แก้เคล็ดขัดยอก แก้มือเท้าเคล็ด โดยนำดอกพวงไข่มุกแห้งใช้เป็นยาชงดื่ม หรือ นำดอกมาผสมกับสมุนไพรอื่นหมกประคบบริเวณที่เคล็ดขัดยอก
  • ใช้บรรเทาอาการมือเท้าเคล็ด ข้อเคล็ด ข้อพลิก โดยนำพวงไข่มุก นำมาต้มใส่ไข่กิน หรือใช้ผสมกับสมุนไพรอื่น หมกประคบ
  • ใช้แก้อาการตัวบวม โดยนำทั้งต้นพวงไข่มุกมาต้มกับน้ำอาบ


ลักษณะทั่วไปของพวงไข่มุก

พวงไข่มุก จัดเป็นไม้พุ่ม ทรงพุ่มโปร่ง ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง เปลือกต้นมีสีน้ำตาล ผิวขรุขระเล็กน้อยสูง 2-4 เมตร มักจะแตกกิ่งก้านจำนวนมาก กิ่งอ่อนมีสีเขียวค่อนข้างเหนียว กิ่งแก่กลวงมีสีน้ำตาลเปราะหักง่าย

           ใบพวงไข่มุก เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกบริเวณปลายกิ่งและจะออกเรียงตรงข้าม โดยใน 1 ใบ จะมีใบย่อย 2-6 คู่ ใบมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก หรือ รูปไข่แกมใบหอกมีขนาดกว้าง 2-5 เซนติเมตร ยาว 6-15 เซนติเมตร โคนใบมนปลายใบแหลมเป็นติ่ง

           ดอกพวงไข่มุก ออกเป็นช่อบริเวณปลายกิ่ง โดยช่อจะมีขนาดใหญ่ประมาณ 20-45 เซนติเมตร และใน 1 ช่อดอกจะมีดอกย่อยจำนวนมากดอกย่อยมีขนาดเล็กประมาณ 4-4.5 มิลลิเมตร มีกลีบรองดอกเป็นหลอดยาว 1 มิลลิเมตร กลีบดอกมีสีขาว โดยโคนกลีบดอกจะเชื่อมติดกัน ส่วนปลายแยกออกเป็น 5 แฉก ตรงกลางดอกมีเกสรเพศผู้สีเหลือง 5 อัน ซึ่งดอกพวงไข่มุกจะมีกลิ่นหอมมากในเวลาเย็นจนถึงเช้ามืด

           ผลพวงไข่มุก เป็นผลสด มีลักษณะเป็นรูปกลมขนาดของผล 4-5 มิลลิเมตร ผิวผลมัน เมื่อผลอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มเกือบดำ ด้านในมีเมล็ด ลักษณะรูปรีแกมขอบขนานที่มีขนาด 2.5 มิลลิเมตร ประมาณ 4-5 เมล็ด

พวงไข่มุก
พวงไข่มุก

การขยายพันธุ์พวงไข่มุก

พวกไข่มุก สามารถขยายพันธุ์ได้โดย การเพาะเมล็ดและการตอนกิ่ง ซึ่งวิธีการเพาะเมล็ดและการตอนกิ่งพวงไข่มุกนั้น สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดและการตอนกิ่ง ไม้พุ่มชนิดอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวถึงมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้ ทั้งนี้พวงไข่มุก เป็นพืชที่ชอบความชื้นสูง ต้องการดินที่ชุ่มชื้นมาก ไม่ชอบแสงแดดจัด แต่หากปลูกในที่ที่มีแดดจัดพบว่า ลำต้นและกิ่งจะแข็งแรงไม่เปราะหักง่าย


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนผลของพวงไข่มุก ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น cyanidin 3-O-sambubioside-5-O-glucoside, cyanidin 3-O-sambubioside, cyanidin 3-O-glucoside, cyanidin 3-O-[6-O-(E-p-coumaroyl-2-O-β-D-xylopyranosyl)-β-D-glucopyranoside]-5-O-βD-glucopyranoside, caffeoylquinic acids, neochlorogenic acid, chlorogenic acid, rutin, hyperoside, isoquercitrin, isorhamnetin 3-O-rutinoside, kaempferol, quercetin นอกจากนี้ยังพบสาร petunidin 3-O-rutinoside และ Delphinidin 3-Orutinoside อีกด้วย

โครงสร้างพวงไข่มุก

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของพวงไข่มุก

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาในต่างประเทศของสารสกัดจากส่วนผลของพวงไข่มุกระบุว่า มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านไวรัส ต้านการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ต้านเบาหวาน และช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยมีรายงานการศึกษาวิจัยระบุว่าสารสกัดจากผลพวงไข่มุก สามารถยับยั้งการออกซิเดชันได้ในลักษณะที่ขึ้นอยู่กับปริมาณโดยสารสกัดพวงไข่มุก จากผลพวงไข่มุกที่ย่อยในลำไส้ใหญ่ 1 มก./มล. จะออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระซึ่งสามารถปกป้องเซลล์ลำไส้ใหญ่จากผลกระทบที่การออกซิเดชันได้ โดยจะทำให้เกิดการลดการผลิต ROS ในเซลล์ที่มากเกินไปและป้องกันความเสี่ยงหายจากออกซิเดชันของ DNA ในเซลล์เยื่อบุลำไส้ใหญ่ของมนุษย์ได้

           นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าสารสกัดจากผลพวงไข่มุก ยังมีฤทธิ์ต่อต้านวัยได้ เนื่องจากสารเหล่านี้มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบที่เป็นสาเหตุหลักของการแก่ก่อนวัยและความชราของเซลล์ รวมถึงเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักในการเกิดโรคเรื้อรังและโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุที่พบบ่อย ได้แก่ โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม ต้อหิน หลอดเลือดแข็ง ความดันโลหิตสูง เบาหวานประเภท 2 และมะเร็ง เป็นต้น


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของพวงไข่มุก

ไม่มีข้อมูล


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

สำหรับการใช้พวงไข่มุกเป็นสมุนไพรนั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้ ทั้งนี้มีรายงานว่า ทุกส่วนของลำต้นพวงไข่มุก เมื่อรับประทานสดๆ ในปริมาณที่มากจะทำให้เวียนศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ ปวดท้อง


เอกสารอ้างอิง พวงไข่มุก
  1. ปิยะ เฉลิมกลิ่น, ไม้ดอกหอม เล่ม 1. สำนักพิมพ์บ้านและสวน, พิมพ์ครั้งที่ 5. 160 หน้า.(44)
  2. พัฒน์ พิชาน. 2550. สุดยอดไม้ประดับ-ไม้ดอกหอม. ไทยควอลิตี้บุ๊คส์. กรุงเทพมหานคร.
  3. พวงไข่มุก. หนังสือสมุนไพร พื้นบ้านล้านนา. ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. หน้า 189.
  4. เศรษฐมนตร์ กาญจนกุล. ไม้มีพิษ, กทม. เศรษฐศิลป์. 2552
  5. Ozgen, M.; Scheerens, J.C.; Reese, R.N.; Miller, R.A. Total phenolic, anthocyanin contents and antioxidant capacity of selected elderberry (Sambucus canadensis L.) accessions. Pharmacogn. Mag. 2010, 6, 198-203.
  6. Waswa, E.N.; Li, J.; Mkala, E.M.; Wanga, V.O.; Mutinda, E.S.; Nanjala, C.; Odago, W.O.; Katumo, D.M.; Gichua, M.K.; Gituru, R.W.; et al. Ethnobotany, phytochemistry, pharmacology, and toxicology of the genus Sambucus L. (Viburnaceae). J. Ethnopharmacol. 2022, 292, 115102
  7. Avula, B.; Katragunta, K.; Wang, Y.-H.; Ali, Z.; Srivedavyasasri, R.; Gafner, S.; Slimestad, R.; Khan, I.A. Chemical profiling and UHPLC-QToF analysis for the simultaneous determination of anthocyanins and flavonoids in Sambucus berries and authentication and detection of adulteration in elderberry dietary supplements using UHPLC-PDA-MS. J. Food Comp. Anal. 2022, 110, 104584.
  8. Lee, J.; Finn, C.E. Anthocyanins and other polyphenolics in american elderberry (Sambucus canadensis) and European elderberry (S. nigra) cultivars. J. Sci. Food Agric. 2007, 87, 2665-2675
  9. Tem Samitinand. Thai Plant Names. Revised 2001.810p.(463)
  10. Zakay-Rones, Z.; Thom, E.; Wollan, T.; Wadstein, J. Randomized study of the efficacy and safety of oral elderberry extract in the treatment of influenza a and b virus infections. J. Int. Med. Res. 2004, 32, 132-140.
  11. Hu, X.; Yang, Y.; Tang, S.; Chen, Q.; Zhang, M.; Ma, J.; Qin, J.; Yu, H. Anti-aging effects of anthocyanin extracts of Sambucus canadensis caused by targeting mitochondrial-induced oxidative stress. Int. J. Mol. Sci. 2023, 24, 1528
  12. Młynarczyk, K.; Walkowiak-Tomczak, D.; Łysiak, G.P. Bioactive properties of Sambucus nigra L. As a functional ingredient for food and pharmaceutical industry. J. Funct. Foods 2018, 40, 377-390
  13. Mocanu, M.L.; Amariei, S. Elderberries-a source of bioactive compounds with antiviral action. Plants 2022, 11, 740.
  14. Murkovic, M.; Abuja, P.; Bergmann, A.; Zirngast, A.; Adam, U.; Winklhofer-Roob, B.; Toplak, H. Effects of elderberry juice on fasting and postprandial serum lipids and low-density lipoprotein oxidation in healthy volunteers: A randomized, double-blind, placebo-controlled study. Eur. J. Clin. Nutr. 2004, 58, 244-249