แสมสาร ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
แสมสาร งานวิจัยและสรรพคุณ 18 ข้อ
ชื่อสมุนไพร แสมสาร
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ขี้เหล็กสาร, ขี้เหล็กป่า, กระบัด, กราบัด (ภาคอีสาน), ขี้เหล็กแพะ, ขี้เหล็กป่า, ขี้เหล็กโคก (ภาคเหนือ), ไซงาน (เขมร)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Senna garre ttiana (Craib) H.S. Irwin & Bameby
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Cassia garrettiana Craib.
วงศ์ FABACEAE-LEGOMINOSAE
ถิ่นกำเนิดแสมสาร
แสมสาร จัดเป็นพันธุ์ไม้ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในภูมิภาคอินโดจีน ได้แก่ ในไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ต่อมาจึงมีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังบริเวณรอบๆ ภูมิภาคนี้ สำหรับในประเทศไทย สามารถพบแสมสาร ได้ในป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ และป่าผลัดใบผสมที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ที่มีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง จนถึงไม่เกิน 500 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทั้งนี้แสมสาร ถูกค้นพบครั้งแรกในประเทศไทย โดยศาสตราจารย์ William Grant Craib นักพฤกษศาสตร์ชาวสกอต ได้ค้นพบในป่าในท้องที่ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 18 กันยายน ปี ค.ศ.1911 และได้บันทึกเป็นพันธุ์ไม้ชนิดใหญ่ของโลก โดยได้ตีพิมพ์ลงในวารสาร Bulletin of Miscellaneous lnformation, Royal Gardens, Kew ในปี ค.ศ.1912
ประโยชน์และสรรพคุณแสมสาร
- แก้โลหิต
- แก้ลม
- ช่วยขับเสมหะ
- ช่วยขับระดูในสตรี ฟอกถ่ายประจำเดือนสตรี
- ช่วยถ่ายกษัย
- ช่วยทำให้เส้นเอ็นอ่อน
- แก้โลหิตกำเดา
- ใช้เป็นยาระบาย
- แก้ปัสสาวะพิการ
- แก้ไตพิการ
- แก้ลมในกระดูก
- แก้ริดสีดวงทวาร
- แก้นอนไม่หลับ
- ช่วยขับพยาธิ
- แก้งูสวัด
- รักษาแผลสดและแผลเรื้อรัง
- แก้โรคเบาหวาน
- ฟอกโลหิต
นอกจากนี้ในบัญชียาจากสมุนไพร ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติยังมีการใช้แก่นของแสมสาร ในตำรับยาต่างๆ อีกเช่น ตำรับ “ยาบำรุงโลหิต” มีส่วนประกอบของแก่นแสมสารร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยมีสรรพคุณใช้บำรุงโลหิตและในตำรับ “ยากษัยเส้น” ก็มีส่วนประกอบของแก่นแสมสารร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น โดยมีสรรพคุณใช้บรรเทาอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดเมื่อยตามร่างกายอีกด้วย
มีการนำดอกอ่อนและใบอ่อนมาลวกใช้รับประทานเป็นฝักจิ้มน้ำพริก หรือ นำมาต้มลดความขมแล้วนำไปแกง เช่นเดียวกันกับแกงขี้เหล็ก ส่วนเนื้อไม้ก็มีการนำมาใช้ประโยชน์เนื่องจากมีแข็งแรงความทนทาน เหนียว เสี้ยนตรง โดยในสมัยก่อนนิยมนำมาใช้ต่อเรือ ทำเครื่องเรือน เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ เช่น เขียง ฝักมีด หรือ นำมาใช้ทำเป็นถ่านไม้และฟืน เป็นต้น

รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้แก้โลหิต แก้ลม ฟอกโลหิต ขับระดู ฟอกถ่ายประจำเดือนสตรี ขับเสมหะ แก้โลหิตกำเดา แก้ปัสสาวะพิการ ไตพิการ ใช้เป็นยาระบาย แก้ลมในกระดูก แก้กษัย ทำให้เส้นเอ็นอ่อน โดยนำแก่นมาต้มแสมสารกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้ริดสีดวงทวาร โดยนำเปลือกต้นแสมสาร มาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้นอนไม่หลับ โดยนำดอกแสมสารมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้โรคเบาหวาน โดยนำยอดแสมสารมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้เป็นยาขับพยาธิ ถ่ายพยาธิ โดยนำใบแสมสารมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้โรคงูสวัด รักษาแผลสด แผลเรื้อรัง โดยนำใบแสมสาร สดมาตำพอก หรือ ทาบริเวณที่เป็น
- ใช้เป็นยาฟอกโลหิต โดยนำรากแสมสารมาต้มกับน้ำดื่ม
ลักษณะทั่วไปของแสมสาร
แสมสาร จัดเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ เรือนยอดกลมทึบ ที่มีความสูงของต้น 5-10 เมตร ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง แตกกิ่งแขนงมาก เปลือกลำต้นค่อนข้างหนาเป็นสีน้ำตาล ถึงสีน้ำตาลดำและมักขรุขระและเป็นสะเก็ดเหลี่ยม อีกทั้งเป็นร่องเล็ก กิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยมสันมีขนขึ้นปกคลุมประปราย
ใบแสมสาร เป็นใบประกอบขนนก ปลายคู่ โดยจะออกเรียงสลับเวียนรอบๆ กิ่งใบประกอบจะมีใบย่อย 6-9 คู่ ออกเรียงตรงข้ามกัน ใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปไข่กว้าง หรือ รูปใบหอกมีขนาดกว้าง 2-5 เซนติเมตร ยาว 5-9 เซนติเมตร โคนใบมน หรือ กลมปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ หลังใบเรียบบางเป็นมันมีสีเขียวเข้ม ท้องใบเรียบแต่มีสีอ่อนกว่า สามารถมองเห็นเส้นแขนงใบข้างละ 10-15 เส้น ส่วนก้านใบย่อยมีความยาว 4-6 มิลลิเมตร
ดอกแสมสาร ออกเป็นช่อกระจะขนาดใหญ่ คล้ายขี้เหล็กบ้าน โดยจะออกบริเวณปลายกิ่ง หรือ ออกตามมุมของก้านใบ โดยช่อดอกมักจะตั้งขึ้น ช่อดอกมีความยาว 9-20 เซนติเมตร และในแต่ละช่อดอกจะมีดอกย่อยเป็นสีเหลือง หรือ สีเหลืองเข้ม จำนวนมากเบียดกันแน่นเป็นกระจุก ลักษณะดอกย่อยจะมีกลีบดอก 5 กลีบ เป็นรูปไข่กลับ โคนกลีบดอกเรียวปลายกลีบดอกมน ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมีลักษณะเป็นรูปกลมมีขนสั้นนุ่มปกคลุม เป็นสีเขียวออกเหลือง เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดกว้าง 1-3 เซนติเมตร และจะมีก้านดอกยาว 1-3 เซนติเมตร เช่นกัน ตรงกลางดอกมีเกสรเพศผู้ 10 อัน ก้านเกสรเป็นสีน้ำตาลมีขนาดยาวไม่เท่ากัน (ขนาดใหญ่ 2 อัน ขนาดเล็ก 5 อัน และอีก 3 อันเป็นแบบลดรูป) ส่วนรังไข่และหลอดเกสรเพศเมียเกลี้ยง หรือ อาจมีขนประปราย
ผลแสมสาร ออกเป็นฝักแบนรูปขอบขนาน มีขนาดกว้าง 2-4 เซนติเมตร และยาว 15-22 เซนติเมตร ผิวฝักอ่อนมีสีเขียวอ่อนเรียบเกลี้ยงไม่มีขน เมื่อแก่ฝักจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล หรือ สีดำ อีกทั้งฝักมักจะบิดและแตกออก เปลือกฝักค่อนข้างบาง ภายในฝักมีเมล็ดรูปไข่ ขนาดกว้าง 5 มิลลิเมตร ยาว 9 มิลลิเมตร ประมาณ 10-20 เมล็ด


การขยายพันธุ์แสมสาร
แสมสาร สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธีทั้งการใช้เมล็ด การตอนกิ่งและการปักชำ แต่วิธีที่เป็นที่นิยมและได้ผลดีที่สุด คือ การใช้เมล็ด โดยมีวิธีการดังนี้ เนื่องจากเปลือกเมล็ดแสมสารค่อนข้างหนาและแข็ง ดังนั้นก่อนการเพาะเมล็ดแสมสาร ต้องนำเมล็ดแช่น้ำร้อน 80-90 องศาเซลเซียส แล้วทิ้งไว้ให้เย็นแล้วจึงนำไปเพาะ จะได้อัตราการงอกประมาณร้อยละ 75 จากนั้นเมล็ดจะใช้เวลางอก 4-30 วัน แล้วจึงสามารถนำไปปลูกได้ ทั้งนี้แสมสารเป็นไม้โตเร็ว ชอบแสงแดดจัด ทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี สามารถอยู่ได้ทั้งดินปนทราย ดินหินปูน หรือ ดินลูกรังที่ตื้น
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากแก่น เปลือกต้น และใบของแสมสาร ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น พบสารกลุ่ม anthraquinone อยู่หลายชนิด ได้แก่ Chrysophanol, aloe emodin, aloin, benz-(D-E)-anthracen-7-(H):6,8-dthydroxy-4 methyl
- สารกลุ่ม stilbenes/polyphenols เช่น Piceatannol
- สารกลุ่ม botulin/triterpene เช่น Betulinic acid
- สารกลุ่ม flavonoids เช่น Quercetin, rhamnetin, rhamnocitrin, protocatechuic aldehyde
- สารกลุ่ม polyphenols /bibenzyls/ stilbenes เช่น Cassigarol A, Cassigarol B, Cassigarol E
- สารกลุ่ม phenolics เช่น Caffeic acid, methyl caffeate, (S)-6-hydroxymellein
นอกจากนี้ยังพบสารอื่นๆ อีกเช่น Cassialoin, chrysophanic acid, dianthrone และ scirpusin B เป็นต้น

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของแสมสาร
มีรายงานการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดแก่นต้นของแสมสารระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ มีรายงานการศึกษาวิจัยสาร piceatannol ที่สกัดได้จากแก่นของแสมสาร ในแบบทดสอบในหนูทดลอง (mouse ear edema, carrageenan paw edema, cotton pellet granuloma, CFA-induced polyarthritis) พบว่า เมื่อป้อนสารสกัดทางปากในขนาด 10-40 mg/kg มีผลแสดงการยับยั้งการอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรังได้อย่างมีนัยสำคัญ (เช่น % inhibition, ลด PGE2, TNF-α, IL-1β ฯลฯ)
ฤทธิ์ต้านมะเร็ง มีรายงานการศึกษาวิจัย สารสกัดจาก ethanol จากแก่นของแสมสาร โดยได้ทำการทดสอบบนเซลล์มะเร็ง (HT-29, HeLa, MCF-7 KB) พบว่าสาร 5 ตัว ได้แก่ chrysophanol, piceatannol, aloe-emodin, emodin และ tassigarol E ให้ค่าการยับยั้งเซลล์มะเร็ง (IC50) ได้อย่างมีนัยสำคัญ
และยังมีรายงานการศึกษาวิจัยอีกหลายฉบับระบุถึงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของแก่นแสมสารดังนี้ มีรายงานว่าสารสกัดแสมสาร จากแก่นแสมสารมีฤทธิ์เป็นยาระบายและมีองค์ประกอบทางเคมีที่มีฤทธิ์ต้านอีสตามีนและมีฤทธิ์ต้านเชื้อรายับยั้งเอนไซม์ proton pecmp อีกทั้งยังช่วยยับยั้งเอนไซม์ H+, K+-ATPase เป็นผลให้การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารลดลง ส่วนสารสกัดเมทานอลของแก่นแสมสารมีฤทธิ์ยับยั้งเนื้องอกและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งในสัตว์ทดลอง นอกจากนี้สารสกัดน้ำจากแก่นแสมสารยังมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์เอชไอวี-1โพรที่เอส (HIV-1 protease) ซึ่งมีผลยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสเอชไอวีได้อีกด้วย
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของแสมสาร
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสารสกัดจากแก่นแสมสาร ระบุว่ามีการทดสอบความเป็นพิษของสารสกัดแอลกอฮอล์และน้ำในอัตรา 1:1 โดยเมื่อทำการป้อนทางปาก หรือ ฉีดเข้าทางใต้ผิวหนังของหนูถีบจักรในขนาด 10 กรัมต่อกิโลกรัม ผลปรากฏว่าไม่พบความเป็นพาแต่อย่างใด
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
- โดยทั่วไปพืชตระกูล Senna หรือ Cassia จะมีฤทธิ์เป็นยาระบายอยู่แล้วหากใช้ในปริมาณมากเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดอาการท้องร่วงรุนแรง สูญเสียน้ำเกลือแร่ หรือ อาจมีภาวะตับเป็นพิษได้ ดั้งนั้นจึงไม่ควรใช้ในระยะยาว หรือ ใช้ในที่ขนาดสูง
- ผู้มีภาวะป่วยเป็นโรคตับ หรือ ไต ก่อนจะใช้แสมสาร เป็นยาสมุนไพรควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะยังขาดข้อมูลการเผาผลาญและข้อมูลการปลอดภัยระยะยาวในมนุษย์
- สาร Phenolic และสาร polyphenols ที่พบในขี้เหล็กสารอายมีฤทธิ์ปฏิสัมพันธ์กับยา interaction หลายชนิด เช่น ยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือ ยาที่มีการเมแทบอลิซึม โดย CYR450 ดังนั้นผู้ที่ใช้ยาดังกล่าวจึงควรระมัดระวังและปรึกษาแพทย์เภสัชกร ก่อนใช้แสมสารเป็นสมุนไพร
เอกสารอ้างอิง แสมสาร
- พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, ดร.นิจศิริ เรืองรังสี, กัญจนา ดีวิเศษ, แสมสาร, หนังสือสมุนไพร ในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง,หน้า 145.
- สำนักงานหอพรรณไม้, คู่มือเลือกชนิดพรรณไม้เพื่อปลูกป่าป้องกันอุทกภัย. กรุงเทพฯ: กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. 2555. หน้า 65.
- ดร.นิจศิริ เรืองรังสี, ธวัชชัย มังคละคุปต์, แสมสาร (Samae San) หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. หน้า 309.
- แสมสาร, หนังสือสมุนไพรสวนสิริรุกขชาติ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, หน้า 78.
- Surapanthanakorn, S., Wattanapiromsakul, C., & Reanmongkol, W. (2018). Assessment of the Anti-inflammatory Activity of Piceatannol-rich Extract from Senna garrettiana Heartwood. Chiang Mai Journal of Science, 45(7), 2691-2702.
- Baba, K., Maeda, K., Tabata, Y., et al. (1988). Chemical Studies on the Heartwood of Cassia (Cassia/Cassia garrettiana) Garrettiana Craib. III. Structures of Two New Polyphenolic Compounds. Chemical & Pharmaceutical Bulletin, 36, 2977.
- Krumsri, R., et al. (2022). Phytotoxic effects of Senna garrettiana and identification of phytotoxic substances for the development of bioherbicides. Agriculture, 12(9), 1338.
- Madaka, F., et al. (2018). Potential markers for standardized herb: bioassay-guided isolation from S. garrettiana for ACE inhibitory activity. Phcog Mag.
- Yuenyongsawad, S., Bunluepuech, K., Wattanapiromsakul, C., & Tewtrakul, S. (2014). Anti-cancer activity of compounds from Cassia (Senna) garrettiana heartwood. Songklanakarin Journal of Science and Technology, 36(2), 189-194.
