คว่ำตายหงายเป็น ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
คว่ำตายหงายเป็น งานวิจัยและสรรพคุณ 9 ข้อ
ชื่อสมุนไพร คว่ำตายหงายเป็น
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ต้นตายใบเป็น (ภาคตะวันออก),กะลำเพาะ,นิรพัตร ,ทองสามย่าน,เบญจฉัตร ,ฆ้องสามย่านตัวเมีย (ภาคกลาง),ล็อบแล็บ,ลบลับ,มะตบ(ภาคเหนือ),โพะเพะ,ยาเถ้า,ฮ่อมแฮ่ม (ภาคเหนือ),ส้มเช้า,กะเร,เพรอะเพระ,ตาละ,ดาวาล,เวจิ,มะแซ (ภาคใต้),กาลำ
ชื่อวิทยาศาสตร์Kalanchoe pinnata (Lam.) Pers.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Bryophyllum pinnatum (Lam.) Oken
Bryophyllum calycinum.
วงศ์ CRASSULACEAE
ถิ่นกำเนิด คว่ำตายหงายเป็นจัดเป็นพืชในวงศ์กุหลาบหิน (CRASSULACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในหมู่เกาะมาดากัสการ์ของทวีปแอฟริกาต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อน และกึ่งเขตร้อนทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศบริเวณชายป่าที่โล่ง ทั่วไปตามสองข้างทางหรือบ้านเรือนทั่วไป ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 1000 เมตร
ประโยชน์/สรรพคุณ คว่ำตายหงายเป็นถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ดังนี้ ชาวไทยภูเขานำใบสดมารับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริก หรือนำมารับประทานร่วมกับลาบ และยังมีการนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ เนื่องจากเป็นพืชที่เพาะขยายพันธุ์ง่ายทนทานต่อความแล้ง และสภาพอาการศแล้งได้ดี และที่สำคัญยังมีดอกที่ห้องเป็นโคมระย้าดูสวยงาม สำหรับสรรพคุณทางยของคว่ำตายหงายเป็นนั้น ตามตำรายาไทยและตำรายาพื้นบ้านได้ระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ว่า
- ทั้งต้น มีรสเปรี้ยวฝาดเล็กน้อย ใช้เป็นยาเย็น ทำให้เลือดเย็นใช้ฟอกเลือด ทำให้เลือดลมไหลเวียนดี แก้เจ็บคอ คอบวม แก้บวมน้ำ สมานแผล แก้แผลไฟไหม้ แก้พิษฝีหนอง แก้อักเสบช้ำบวม แก้ปวดกระดูก กระดูกหัก
- ใบ ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ช่วยให้เลือกไหนเวียนดี แก้ปวดหัว แก้ไอ แก้บิด ท้องร่วง แก้อหิวตกโรค แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ แก้ปวดอักเสบ ฟกช้ำบวม รักษาฝี ถอนพิษ แก้เคล็ดขัดยอก และแพลง กล้ามเนื้ออักเสบ แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แก้ฝี ตาปลา แก้ผดผื่น แก้ไขข้ออักเสบ แก้ปวดหลังปวดเอว
- ราก ใช้แก้กระหายน้ำ แก้ไอเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด แก้ปวดกระเพาะแสบกระเพาะ แก้บวมน้ำ แก้หัดอีสุกอีใส แก้เคล็ดขัดยอก แก้พาฝี แก้แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก
รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้
- ใช้ภายในตามสรรพคุณของใบ โดยใช้ใบแห้ง 10-15 กรัม ต้มกับน้ำดื่ม ใช้ภายนอก ใช้ใบสด 30-60 กรัม ตำให้ละเอียดใช้ทาหรือพอกบริเวณที่เป็น ใช้ภายในตามสรรพคุณของรากโดยใช้รากแห้ง 3-6 กรัม ต้มกับน้ำดื่ม ใช้ภายนอกใช้รากสด 30-60 กรัม ตำพอกหรือทาบริเวณที่เป็น
- ใช้แก้ไอและอาเจียนเป็นเลือด โดยนำใบสดขนาดพอประมาณ ตำให้ละเอียด แล้วคั้นเอาแต่น้ำให้ได้ประมาณ ครั้งแก้วชา นำมาผสมกับน้ำผึ้งป่า ครึ่ง-1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาดื่มเมื่อมีอาการ
- ใช้แก้ไข้ ร้อนในกระหายน้ำ แก้ปวดหัวจากความร้อน โดยนำใบมาล้างให้สะอาด แล้วนำมาขยำกับน้ำ จากนั้นนำมาชโลมศีรษะให้เปียกชุ่มตลอดเวลา
- ใช้แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปวดข้างในท้อง โดยนำใบพอประมาณ มาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณหน้าท้อง วันละ 2 ครั้ง หรือนำใบสด 2-3 ใบ มาตำผสมกับขมิ้นขนาดยาว 1 นิ้ว ให้ละเอียด แล้วนำมาทาบริเวณหน้าท้องบ่อยๆ หรือวันละ 2 เวลา ตอนเช้าและก่อนนอน
- ใช้แก้ปวดตามไขข้อต่างๆ แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ โดยนำทั้งต้น 1 กำมือ มาต้มกับน้ำ 1 ลิตร ให้เดือดแล้วเคี่ยวให้น้ำเหลือ 1 ใน 3 ส่วนนำมากรอง ดื่มครั้งละ ครึ่งแก้วชา วันละ 2 เวลา หลังอาหาร
- ใช้แก้ไฟไหม้น้ำร้อนลวกหรือแผลทั่วไป โดยนำน้ำคั้นใบคว่ำตายหงายเป็น มาผสมกับน้ำมันงา ในขนาด 2:1 นำมาเคี่ยวจนน้ำหมด ใช้ทาบริเวณที่เป็น
- ใช้บำรุงกำลัง โดยนำใบสดมาผสมกับก้านและใบขี้เหล็กอเมริกา ใบสับปะรด และแก่นสนสามใบ ต้มอบไอน้ำ
- ใช้แก้คอบวม คอเจ็บ โดยทั้งต้นนำมาตำคั้นเอาน้ำมาอบกลั้วคอ
- ใช้แก้ปวดกระเพาะ แสบร้อนกระเพาะ โดยใช้รากและใบสด มาตำผสมกับเกลือเล็กน้อย ใช้รับประทาน
ลักษณะทั่วไป คว่ำตายหงายเป็นจัดเป็นไม้ล้มลุกอวบน้ำอายุหลายปี ลำต้นตั้งตรงแข็งแรง สูงได้ 0.4-1.5 เมตร แตกกิ่งก้านเล็กน้อย ลำต้นผิวเกลี้ยงลักษณะกลม ใบอวบน้ำ มีสีเทาลำต้นและกิ่งก้านกลวงบริเวณยอกต้นเป็นสีม่วงแดง และมีข้อโป่งพองเป็นสีเขียวและแถบหรือจุดสีม่วงเข้มแต้มอยู่ ใบเป็นใบเดี่ยวหรือเป็นใบประกอบ มีใบย่อย 3-5 ใบ ใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปไข่ รูปวงรีแกมรูปขอบขนาน หรือรูปรีกว้าง ใบมีขนาดกว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ยาว 5-15 เซนติเมตร ส่วนโคนและปลายใบโค้งมน ขอบใบหยักได้เป็นชี่มนตื้นๆ แผ่นใบมีสีเม่วงค่อนข้างหนา ฉ่ำน้ำ ที่รอบจัดตรงขอบใบจะมีตาที่สามารถงอกรากและลำต้นใหม่ได้ และมีก้านใบยาว 1.5-10 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อบริเวณปลายกิ่ง โดจช่อดอกจะยาว 8-10 เซนติเมตร ส่วนก้านดอกยาว 3-8 เซนติเมตร ใน 1 ช่อดอกจะมีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกมีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก ยาว 3-5 เซนติเมตร ห้อยลง กลีบดอกด้านบนเป็นสีแดง ด้านล่างเป็นสีเขียว ส่วนกลีบรองดอกจะเชื่อมติดกัน บริเวณส่วนปลายจักเป็นแฉกปลายแหลม 4 แฉก รูปสามเหลี่ยมแกม กลางดอกมีเกสรเพศผู้ 8 อัน ยาว 3.5 เซนติเมตร ส่วนเกสรเพศเมียยาว 2.5-3.5 เซนติเมตร มีรังไข่เป็นรูปขอบขนานแกมรูปไข่ มีสีเขียว ผิวเกลี้ยง ผลออกเป็นพวงแต่ละพวงจะมีอยู่ 4 ผลโดยจะเป็นผลแห้ง แตกตะเข็บเดียว ซึ่งผลจะมีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกหุ้มอยู่ ด้านในผลมีเมล็ดขนาดเล็กรูปกระสวยแกมรูปขอบขนานหรือรูปขอบขนานแกมรูปรีจำนวนมาก
การขยายพันธุ์ คว่ำตายหงายเป็นสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ดและการใช้ใบปักชำ แต่วิธีที่เป็นที่นิยม คือการใช้ใบปักชำ เนื่องจากเป็นวิธีที่จ่าย สะดวกรวดเร็วและไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์มาก เริ่มจากนำใบที่แก่มาปักชำในกระบะทรายหรือดินร่วนปนทรายรดน้ำทุกวัน จากนั้น 5-7 วัน จะงอกเป็นต้นใหม่ขึ้นมารออีก 10-15 วัน จึงนำไปปลูกในที่ที่ต้องการได้
องค์ประกอบทางเคมี มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนใบของคว่ำตายหงายเป็นระบุว่า พบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด อาทิเช่น สารกลุ่ม Bufadienolides (cardiac glycoside) เช่น bryophyllin A, bryophyllin B, bryophyllin C ,bryophyllol , bryophollenone, bryphollone สารกลุ่ม flavonoids เช่น quercetin, kaempferol derivatives, rutin สารกลุ่ม triterpenoids และ sterols เช่น α-amyrin ,β-amyrin, β-sitosterol และสารอื่นๆอีกเช่น caffeic acid ,palmitic acid, phytol , n-alkanols , n-alhanols , n-alkanes , Quercetin-3-diarabinsoside , Kaempferol-3-glucoside
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา ของสารสกัดจากส่วนใบและสารสกัดจากทั้งต้น ของคว่ำตายหงายเป็นระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้
ฤทธิ์รักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินในสตรีวัยทอง มีรายงานผลการศึกษาทางคลินิกแบบสุ่ม ปกปิดสองฝ่าย และเปรียบเทียบกับยาหลอก (Prospective, double-blind randomized, placebo-controlled study) ในสตรีวัยหลังหมดประจำเดือนซึ่งมีภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (Overactive Bladder Syndrome) จำนวน 20 ราย โดยแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ได้รับแคปซูล ขนาด 350 มก. (มีน้ำคั้นจากใบคว่ำตายหงายเป็น 50%) โดยให้รับประทานครั้งละ 3 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง จำนวน 10 ราย และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (แลคโตส) จำนวน 10 ราย ซึ่งได้ทำการศึกษานาน 8 สัปดาห์ พบว่าผู้ป่วย 8 ใน 10 ราย ที่ได้รับสารสกัดคว่ำตายหงายเป็น จำนวนครั้งของถ่ายปัสสาวะทั้งกลางวันและกลางคืนต่อ 24 ชั่วโมง ลดลง (จาก 9.5 ± 2.2 เป็น 7.8 ± 1.2) และจากการติดตามประเมินผลตลอดการศึกษา พบว่ากลุ่มที่ได้รับแคปซูลต้นคว่ำตายหงายเป็นมีผู้ป่วย 8 ใน 10 ราย มีจำนวนครั้งของถ่ายปัสสาวะทั้งกลางวันและกลางคืนต่อ 24 ชั่วโมงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอก มีเพียง 5 ใน 9 ราย ที่พบว่าจำนวนครั้งของถ่ายปัสสาวะทั้งกลางวันและกลางคืนต่อ 24 ชั่วโมงลดลง ในด้านคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยพบว่าทั้ง 2 กลุ่ม ไม่มีความแตกต่างกัน จากการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่า การใช้สารสกัดจากต้นคว่ำตายหงายเป็นน่าจะเป็นแนวโน้มที่ดีในการรักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินในสตรีวัยหมดประจำเดือน
มีรายงานการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านเนื้องอก/เซลล์มะเร็ง (cytotoxicity) ในหลอดทดลองของสารกลุ่ม bufadienolides ที่ได้จากสารสกัดจากส่วนใบคว่ำตายหงายเป็น พบว่าสารกลุ่มดังกล่าวแสดงฤทธิ์ cytotoxic ต่อเซลล์มะเร็งหลายสายพันธุ์ ในหลอดทดลอง และยังมีรายงานระบุว่าสารสกัดจากใบคว่ำตายหงายเป็นมีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิดของหนูทดลอง และมีฤทธิ์ไปกระตุ้นลำไส้ส่วนกลางของหนู ทำให้การบีบตัวของลำไส้แรงขึ้น นอกจากนี้ยังมีรายงานอีกหลายฉบับระบุว่าสารสกัดจากทั้งต้นของคว่ำตายหงายเป็นมีฤทธิ์กระตุ้นภูมิต้านทาน ต้านการซึมเศร้า ลดไข้ แก้แพ้ ปกป้องกระเพาะ ไต และตับ มีฤทธิ์แก้ปวด ต้านการอักเสบ ต้านจุลินทรีย์ แบคทีเรีย และเชื้อราได้อีกด้วย
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง มีรายงานจากต่างประเทศระบุว่าควรระมัดระวังการใช้คว่ำตายหงายเป็นในรูปแบบยาสมุนไพร ในผู้ที่มีโรคหัวใจหรือรับยาในกลุ่ม cardiac glycosides (เช่น digoxin) — เนื่องจากสารbufadienolides ที่พบในคว่ำตายหงายเป็น มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซปั๊มโซเดียม-โพแทสเซียม (Na+/K+-ATPase inhibitor) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะรวมถึงผู้ป่วยโรคไตและผู้ป่วยไตวายเพราะอาจเกิดการเสริมฤทธิ์ของยาได้ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า คว่ำตายหงายเป็นเป็นพิษต่อสัตว์เคี้ยวเอื้อง (วัว,ควาย) เมื่อสัตว์กินในปริมาณมาก (โดยเฉพาะส่วนช่อดอก)
อ้างอิงคว่ำตายหงายเป็น
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม.คว่ำตายหงายเป็น,หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย,ฉบับพิมพ์ครั้งที่5.หน้า170-172.
- สุนทร ปุณโณทก.ยากลางบ้าน,กทม.โรงพิมพ์สุวิทย์ ยี แอด,2526
- คว่ำตายหงายเป็น,หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา.ภาควิชาเภสัชวิทยาพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.หน้า136.
- ภูมิพิชญ์ สุชาวรรณ พืชสมุนไพรใช้เป็นยา กทม.มปท.2536
- วิทยา บุญวรพัฒน์ ,คว่ำตายหงายเป็น.หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน.ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย,หน้า156.
- ผลการรักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินในสตรีวัยหลังหมดประจำเดือน ของต้นคว่ำตายหงายเป็น.ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
- Mirzayeva, N., Forst, S., Passweg, D., Geissbühler, V., Simões-Wüst, A. P., & Betschart, C. (2023). Bryophyllum pinnatum and improvement of nocturia and sleep quality in women: A multicentre, nonrandomised prospective trial. Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine, 2023, Article ID 2115335.
- Kołodziejczyk-Czepas, J., & Stochmal, A. (2017). Bufadienolides of Kalanchoe species: an overview of chemical structure, biological activity and prospects for pharmacological use. Phytochemistry Reviews, 16(6), 1155–1171.
- Coutinho, M. A. S., Casanova, L. M., dos Santos Nascimento, L. B., Leal, D., Palmero, C., Toma, H. K., … Costa, S. S. (2021). Wound-healing cream formulated with Kalanchoe pinnata major flavonoid is as effective as the aqueous leaf extract cream in a rat model of excisional wound. Natural Product Research, 35(24), 6034–6039.
- McKenzie, R. A., Franke, F. P., & Dunster, P. J. (1987). The toxicity to cattle and bufadienolide content of six Bryophyllum species. Australian Veterinary Journal, 64(10), 298–301.
- Supratman, U., Fujita, T., Akiyama, K., & Hayashi, H. (2000). New insecticidal bufadienolide, bryophyllin C, from Kalanchoe pinnata. Bioscience, Biotechnology, and Biochemistry, 64(6), 1310–1312
- Saravanan, V., Murugan, S. S., & Kumaravel, T. S. (2020). Genotoxicity studies with an ethanolic extract of Kalanchoe pinnata leaves. Mutation Research - Genetic Toxicology and Environmental Mutagenesis, 856–857, Article 503229.
- Igwe, S. A., & Akunyili, D. N. (2005). Analgesic effects of aqueous extracts of the leaves of Bryophyllum pinnatum. Pharmaceutical Biology, 43(8), 658–661.
- Dos Santos Nascimento, L. B., Casanova, L. M., & Costa, S. S. (2023). Bioactive compounds from Kalanchoe genus potentially useful for drug development: a review. Life (Basel), 13(3), 646.
- Pereira, K. M. F., Grecco, S. S., Figueiredo, C. R., Hosomi, J. K., Nakamura, M. U., & Lago, J. H. G. (2018). Chemical composition and cytotoxicity of Kalanchoe pinnata leaves extracts prepared using accelerated system extraction (ASE). Natural Product Communications, 13(2), 163–166.
- Betschart, C., von Mandach, U., Seifert, B., Scheiner, D., Perucchini, D., Fink, D., … Simões-Wüst, A. P. (2013). Randomized, double-blind, placebo-controlled trial with Bryophyllum pinnatum versus placebo for the treatment of overactive bladder in postmenopausal women. Phytomedicine, 20(3–4), 351–358.