คว่ำตายหงายเป็น ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
คว่ำตายหงายเป็น งานวิจัยและสรรพคุณ 36 ข้อ
ชื่อสมุนไพร คว่ำตายหงายเป็น
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ต้นตายใบเป็น (ภาคตะวันออก), กะลำเพาะ, นิรพัตร, ทองสามย่าน, เบญจฉัตร, ฆ้องสามย่านตัวเมีย (ภาคกลาง), ล็อบแล็บ, ลบลับ, มะตบ (ภาคเหนือ), โพะเพะ, ยาเถ้า, ฮ่อมแฮ่ม (ภาคเหนือ), ส้มเช้า, กะเร, เพรอะเพระ, ตาละ, ดาวาล, เวจิ, มะแซ (ภาคใต้), กาลำ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Kalanchoe pinnata (Lam.) Pers.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Bryophyllum pinnatum (Lam.) Oken, Bryophyllum calycinum.
วงศ์ CRASSULACEAE
ถิ่นกำเนิดคว่ำตายหงายเป็น
คว่ำตายหงายเป็น จัดเป็นพืชในวงศ์กุหลาบหิน (CRASSULACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในหมู่เกาะมาดากัสการ์ของทวีปแอฟริกาต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยสามารถพบคว่ำตายหงายเป็น ได้ทั่วทุกภาคของประเทศบริเวณชายป่าที่โล่ง ทั่วไปตามสองข้างทาง หรือ บ้านเรือนทั่วไป ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 1,000 เมตร
ประโยชน์และสรรพคุณคว่ำตายหงายเป็น
- ช่วยทำให้เลือดเย็น ใช้ฟอกเลือด
- ช่วยทำให้เลือดลมไหลเวียนดี
- แก้เจ็บคอ คอบวม
- แก้บวมน้ำ
- ช่วยสมานแผล
- แก้อักเสบ
- แก้ช้ำบวม
- แก้ปวดกระดูก กระดูกหัก
- ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง
- แก้ปวดหัว จากความร้อน
- แก้ไอ
- แก้บิด
- แก้ท้องร่วง
- แก้อหิวาตกโรค
- แก้นิ่ว
- ช่วยขับปัสสาวะ
- แก้ปวดอักเสบ
- แก้ฟกซ้ำ
- ช่วยรักษาฝี แก้พิษฝีหนอง
- แก้ตาปลา
- ช่วยถอนพิษ
- แก้เคล็ดขัดยอกและแพลง
- แก้กล้ามเนื้ออักเสบ
- แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
- แก้ผดผื่น
- แก้ไขข้ออักเสบ
- แก้ปวดหลังปวดเอว แก้ปวดตามไขข้อต่างๆ
- แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ
- ใช้แก้กระหายน้ำ
- แก้ไอเป็นเลือด
- แก้เจียนเป็นเลือด
- แก้ปวดกระเพาะ แสบกระเพาะ
- แก้หัด
- แก้อีสุกอีใส
- แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ
- แก้ปวดข้างในท้อง
คว่ำตายหงายเป็น ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ดังนี้ ชาวไทยภูเขานำใบคว่ำตายหงายเป็น สดมารับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริก หรือ นำมารับประทานร่วมกับลาบและยังมีการนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับ เนื่องจากเป็นพืชที่เพาะขยายพันธุ์ง่ายทนทานต่อความแล้งและสภาพอากาศแล้งได้ดี อีกทั้งที่สำคัญยังมีดอกที่ห้องเป็นโคมระย้าดูสวยงาม
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้ภายในตามสรรพคุณของใบคว่ำตายหงายเป็น โดยใช้ใบแห้ง 10-15 กรัม ต้มกับน้ำดื่ม ใช้ภายนอก ใช้ใบสด 30-60 กรัม ตำให้ละเอียดใช้ทา หรือ พอกบริเวณที่เป็น ใช้ภายในตามสรรพคุณของรากคว่ำตายหงายเป็น โดยใช้รากแห้ง 3-6 กรัม ต้มกับน้ำดื่ม ใช้ภายนอกใช้รากสด 30-60 กรัม ตำพอก หรือ ทาบริเวณที่เป็น
- ใช้แก้ไอและอาเจียนเป็นเลือด โดยนำใบคว่ำตายหงายเป็น สดขนาดพอประมาณ ตำให้ละเอียด แล้วคั้นเอาแต่น้ำให้ได้ประมาณ ครั้งแก้วชา นำมาผสมกับน้ำผึ้งป่า ครึ่ง-1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาดื่มเมื่อมีอาการ
- ใช้แก้ไข้ ร้อนในกระหายน้ำ แก้ปวดหัวจากความร้อน โดยนำใบคว่ำตายหงายเป็น มาล้างให้สะอาด แล้วนำมาขยำกับน้ำ จากนั้นนำมาชโลมศีรษะให้เปียกชุ่มตลอดเวลา
- ใช้แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปวดข้างในท้อง โดยนำใบคว่ำตายหงายเป็นพอประมาณ มาตำให้ละเอียดแล้วนำมาพอกบริเวณหน้าท้อง วันละ 2 ครั้ง หรือ นำใบคว่ำตายหงายเป็นสด 2-3 ใบ มาตำผสมกับขมิ้น ขนาดยาว 1 นิ้ว ให้ละเอียด แล้วนำมาทาบริเวณหน้าท้องบ่อยๆ หรือ วันละ 2 เวลา ตอนเช้าและก่อนนอน
- ใช้แก้ปวดตามไขข้อต่างๆ แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ โดยนำทั้งต้นคว่ำตายหงายเป็น 1 กำมือ มาต้มกับน้ำ 1 ลิตร ให้เดือดแล้วเคี่ยวให้น้ำเหลือ 1 ใน 3 ส่วนนำมากรอง ดื่มครั้งละ ครึ่งแก้วชา วันละ 2 เวลา หลังอาหาร
- ใช้แก้ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือ แผลทั่วไป โดยนำน้ำคั้นใบคว่ำตายหงายเป็น มาผสมกับน้ำมันงา ในขนาด 2:1 นำมาเคี่ยวจนน้ำหมด ใช้ทาบริเวณที่เป็น
- ใช้บำรุงกำลัง โดยนำใบคว่ำตายหงายเป็นสดมาผสมกับก้านและใบขี้เหล็กอเมริกา ใบสับปะรด และแก่นสนสามใบ ต้มอบไอน้ำ
- ใช้แก้คอบวม คอเจ็บ โดยทั้งต้นคว่ำตายหงายเป็นนำมาตำคั้นเอาน้ำมาอบกลั้วคอ
- ใช้แก้ปวดกระเพาะ แสบร้อนกระเพาะ โดยใช้รากและใบคว่ำตายหงายเป็นสด มาตำผสมกับเกลือเล็กน้อย ใช้รับประทาน
ลักษณะทั่วไปของคว่ำตายหงายเป็น
คว่ำตายหงายเป็น จัดเป็นไม้ล้มลุกอวบน้ำอายุหลายปี ลำต้นตั้งตรงแข็งแรง สูงได้ 0.4-1.5 เมตร แตกกิ่งก้านเล็กน้อย ลำต้นผิวเกลี้ยงลักษณะกลม ใบอวบน้ำ มีสีเทาลำต้นและกิ่งก้านกลวงบริเวณยอดต้นเป็นสีม่วงแดงและมีข้อโป่งพองเป็นสีเขียวและแถบ หรือ จุดสีม่วงเข้มแต้มอยู่
ใบคว่ำตายหงายเป็น เป็นใบเดี่ยว หรือ เป็นใบประกอบ มีใบย่อย 3-5 ใบ ใบย่อยมีลักษณะเป็นรูปไข่ รูปวงรีแกมรูปขอบขนาน หรือ รูปรีกว้างใบคว่ำตายหงายเป็น มีขนาดกว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ยาว 5-15 เซนติเมตร ส่วนโคนและปลายใบโค้งมน ขอบใบหยักได้เป็นชี่มนตื้นๆ แผ่นใบมีสีเม่วงค่อนข้างหนา ฉ่ำน้ำ ที่รอบจัดตรงขอบใบจะมีตาที่สามารถงอกรากและลำต้นใหม่ได้ อีกทั้งมีก้านใบยาว 1.5-10 เซนติเมตร
ดอกคว่ำตายหงายเป็น ออกเป็นช่อบริเวณปลายกิ่ง โดยช่อดอกจะยาว 8-10 เซนติเมตร ส่วนก้านดอกคว่ำตายหงายเป็น ยาว 3-8 เซนติเมตร ใน 1 ช่อดอกจะมีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกมีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกยาว 3-5 เซนติเมตร ห้อยลง กลีบดอกด้านบนเป็นสีแดง ด้านล่างเป็นสีเขียว ส่วนกลีบรองดอกจะเชื่อมติดกัน บริเวณส่วนปลายจะเป็นแฉกปลายแหลม 4 แฉก รูปสามเหลี่ยมแกม กลางดอกมีเกสรเพศผู้ 8 อัน ยาว 3.5 เซนติเมตร ส่วนเกสรเพศเมียยาว 2.5-3.5 เซนติเมตร มีรังไข่เป็นรูปขอบขนานแกมรูปไข่ มีสีเขียว ผิวเกลี้ยง
ผลคว่ำตายหงายเป็น ออกเป็นพวงแต่ละพวงจะมีอยู่ 4 ผล โดยจะเป็นผลแห้ง แตกตะเข็บเดียว ซึ่งผลจะมีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกหุ้มอยู่ ด้านในผลมีเมล็ดขนาดเล็กรูปกระสวยแกมรูปขอบขนาน หรือ รูปขอบขนานแกมรูปรีจำนวนมาก


การขยายพันธุ์คว่ำตายหงายเป็น
คว่ำตายหงายเป็น สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการเพาะเมล็ดและการใช้ใบปักชำ แต่วิธีที่เป็นที่นิยม คือ การใช้ใบปักชำ เนื่องจากเป็นวิธีที่จ่าย สะดวกรวดเร็วและไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์มาก เริ่มจากนำใบคว่ำตายหงายเป็นที่แก่มาปักชำในกระบะทราย หรือ ดินร่วนปนทรายรดน้ำทุกวัน จากนั้น 5-7 วัน จะงอกเป็นต้นใหม่ขึ้นมารออีก 10-15 วัน จึงนำไปปลูกในที่ที่ต้องการได้
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนใบของคว่ำตายหงายเป็น ระบุว่า พบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด อาทิเช่น
- สารกลุ่ม Bufadienolides (cardiac glycoside) เช่น bryophyllin A, bryophyllin B, bryophyllin C, bryophyllol, bryophollenone, bryphollone
- สารกลุ่ม flavonoids เช่น quercetin, kaempferol derivatives, rutin
- สารกลุ่ม triterpenoids และ sterols เช่น α-amyrin, β-amyrin, β-sitosterol
- สารอื่นๆ อีกเช่น caffeic acid, palmitic acid, phytol, n-alkanols, n-alhanols, n-alkanes, Quercetin-3-diarabinsoside, Kaempferol-3-glucoside

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของคว่ำตายหงายเป็น
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนใบและสารสกัดจากทั้งต้นของคว่ำตายหงายเป็น ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้
ฤทธิ์รักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินในสตรีวัยทอง มีรายงานผลการศึกษาทางคลินิกแบบสุ่ม ปกปิดสองฝ่ายและเปรียบเทียบกับยาหลอก (Prospective, double-blind randomized, placebo-controlled study) ในสตรีวัยหลังหมดประจำเดือนซึ่งมีภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (Overactive Bladder Syndrome) จำนวน 20 ราย โดยแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ได้รับแคปซูลขนาด 350 มก. (มีน้ำคั้นจากใบคว่ำตายหงายเป็น 50%) โดยให้รับประทานครั้งละ 3 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง จำนวน 10 ราย และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (แลคโตส) จำนวน 10 ราย ซึ่งได้ทำการศึกษานาน 8 สัปดาห์ พบว่าผู้ป่วย 8 ใน 10 ราย ที่ได้รับสารสกัดคว่ำตายหงายเป็น จำนวนครั้งของถ่ายปัสสาวะทั้งกลางวันและกลางคืนต่อ 24 ชั่วโมง ลดลง (จาก 9.5±2.2 เป็น 7.8±1.2) และจากการติดตามประเมินผลตลอดการศึกษา พบว่ากลุ่มที่ได้รับแคปซูลต้นคว่ำตายหงายเป็นมีผู้ป่วย 8 ใน 10 ราย มีจำนวนครั้งของถ่ายปัสสาวะทั้งกลางวันและกลางคืนต่อ 24 ชั่วโมงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอก มีเพียง 5 ใน 9 ราย ที่พบว่าจำนวนครั้งของถ่ายปัสสาวะทั้งกลางวันและกลางคืนต่อ 24 ชั่วโมงลดลง ในด้านคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยพบว่าทั้ง 2 กลุ่ม ไม่มีความแตกต่างกัน จากการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่า การใช้สารสกัดจากต้นคว่ำตายหงายเป็นน่าจะเป็นแนวโน้มที่ดีในการรักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินในสตรีวัยหมดประจำเดือน
มีรายงานการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านเนื้องอก/เซลล์มะเร็ง (cytotoxicity) ในหลอดทดลองของสารกลุ่ม bufadienolides ที่ได้จากสารสกัดจากส่วนใบคว่ำตายหงายเป็น พบว่าสารกลุ่มดังกล่าวแสดงฤทธิ์ cytotoxic ต่อเซลล์มะเร็งหลายสายพันธุ์ ในหลอดทดลองและยังมีรายงานระบุว่าสารสกัดจากใบคว่ำตายหงายเป็นมีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิดของหนูทดลองและมีฤทธิ์ไปกระตุ้นลำไส้ส่วนกลางของหนู ทำให้การบีบตัวของลำไส้แรงขึ้น นอกจากนี้ยังมีรายงานอีกหลายฉบับระบุว่าสารสกัดจากทั้งต้นของคว่ำตายหงายเป็นมีฤทธิ์กระตุ้นภูมิต้านทาน ต้านการซึมเศร้า ลดไข้ แก้แพ้ ปกป้องกระเพาะ ไต และตับ มีฤทธิ์แก้ปวด ต้านการอักเสบ ต้านจุลินทรีย์ แบคทีเรีย และเชื้อราได้อีกด้วย
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของคว่ำตายหงายเป็น
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
มีรายงานจากต่างประเทศระบุว่าควรระมัดระวังการใช้คว่ำตายหงายเป็นในรูปแบบยาสมุนไพร ในผู้ที่มีโรคหัวใจ หรือ รับยาในกลุ่ม cardiac glycosides (เช่น digoxin) - เนื่องจากสาร bufadienolides ที่พบในคว่ำตายหงายเป็น มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ปั๊มโซเดียม-โพแทสเซียม (Na+/K+-ATPase inhibitor) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะรวมถึงผู้ป่วยโรคไตและผู้ป่วยไตวายเพราะอาจเกิดการเสริมฤทธิ์ของยาได้ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า คว่ำตายหงายเป็นเป็นพิษต่อสัตว์เคี้ยวเอื้อง (วัว, ควาย) เมื่อสัตว์กินในปริมาณมาก (โดยเฉพาะส่วนช่อดอก)
เอกสารอ้างอิง คว่ำตายหงายเป็น
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม. คว่ำตายหงายเป็น, หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 170-172.
- สุนทร ปุณโณทก. ยากลางบ้าน,กทม.โรงพิมพ์สุวิทย์ ยี แอด, 2526
- คว่ำตายหงายเป็น, หนังสือสมุนไพรพื้นบ้านล้านนา.ภาควิชาเภสัชวิทยาพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. หน้า 136.
- ภูมิพิชญ์ สุชาวรรณ พืชสมุนไพรใช้เป็นยา กทม.มปท.2536
- วิทยา บุญวรพัฒน์, คว่ำตายหงายเป็น. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน.ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย, หน้า 156.
- ผลการรักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินในสตรีวัยหลังหมดประจำเดือน ของต้นคว่ำตายหงายเป็น. ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร. สำนักข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
- Mirzayeva, N., Forst, S., Passweg, D., Geissbühler, V., Simões-Wüst, A. P., & Betschart, C. (2023). Bryophyllum pinnatum and improvement of nocturia and sleep quality in women: A multicentre, nonrandomised prospective trial. Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine, 2023, Article ID 2115335.
- Kołodziejczyk-Czepas, J., & Stochmal, A. (2017). Bufadienolides of Kalanchoe species: an overview of chemical structure, biological activity and prospects for pharmacological use. Phytochemistry Reviews, 16(6), 1155-1171.
- Coutinho, M. A. S., Casanova, L. M., dos Santos Nascimento, L. B., Leal, D., Palmero, C., Toma, H. K., … Costa, S. S. (2021). Wound-healing cream formulated with Kalanchoe pinnata major flavonoid is as effective as the aqueous leaf extract cream in a rat model of excisional wound. Natural Product Research, 35(24), 6034-6039.
- McKenzie, R. A., Franke, F. P., & Dunster, P. J. (1987). The toxicity to cattle and bufadienolide content of six Bryophyllum species. Australian Veterinary Journal, 64(10), 298-301.
- Supratman, U., Fujita, T., Akiyama, K., & Hayashi, H. (2000). New insecticidal bufadienolide, bryophyllin C, from Kalanchoe pinnata. Bioscience, Biotechnology, and Biochemistry, 64(6), 1310-1312
- Saravanan, V., Murugan, S. S., & Kumaravel, T. S. (2020). Genotoxicity studies with an ethanolic extract of Kalanchoe pinnata leaves. Mutation Research - Genetic Toxicology and Environmental Mutagenesis, 856-857, Article 503229.
- Igwe, S. A., & Akunyili, D. N. (2005). Analgesic effects of aqueous extracts of the leaves of Bryophyllum pinnatum. Pharmaceutical Biology, 43(8), 658-661.
- Dos Santos Nascimento, L. B., Casanova, L. M., & Costa, S. S. (2023). Bioactive compounds from Kalanchoe genus potentially useful for drug development: a review. Life (Basel), 13(3), 646.
- Pereira, K. M. F., Grecco, S. S., Figueiredo, C. R., Hosomi, J. K., Nakamura, M. U., & Lago, J. H. G. (2018). Chemical composition and cytotoxicity of Kalanchoe pinnata leaves extracts prepared using accelerated system extraction (ASE). Natural Product Communications, 13(2), 163-166.
- Betschart, C., von Mandach, U., Seifert, B., Scheiner, D., Perucchini, D., Fink, D., … Simões-Wüst, A. P. (2013). Randomized, double-blind, placebo-controlled trial with Bryophyllum pinnatum versus placebo for the treatment of overactive bladder in postmenopausal women. Phytomedicine, 20(3-), 351-358.
