เล็บเหยี่ยว ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
เล็บเหยี่ยว งานวิจัยและสรรพคุณ 21 ข้อ
ชื่อสมุนไพร เล็บเหยี่ยว
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น มะตันขอ, หนามเหยี่ยว (ภาคเหนือ) เล็บแมว, ยับเหยี่ยว (ภาคอีสาน), ยับยิ้ว, แสงคำ, สั่งคัน (ภาคใต้), พุทธาขอ (ภาคกลาง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ziziphus oenopolia (L.)Mill.
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Rhamnus oenopolia Linn.
ชื่อสามัญ Wild Jujube, Jackal jujube, Small-fruited jujube
วงศ์ RHAMNACEAE
ถิ่นกำเนิดเล็บเหยี่ยว
เล็บเหยี่ยว จัดเป็นพืชในวงศ์ พุทรา (RHAMNACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในเขตร้อนของภูมิภาคเอเชียใต้ แล้วกระจายพันธุ์ไปยังเขตร้อนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นใน พม่า ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย รวมถึงจีนตอนใต้ และตอนเหนือของออสเตรเลีย สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ บริเวณชายป่าทั่วไป ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าชายหาด และตามที่รกร้างว่างเปล่าทั่วไป
ประโยชน์และสรรพคุณเล็บเหยี่ยว
- ช่วยขับปัสสาวะ
- แก้โรคเบาหวาน
- แก้มดลูกพิการ
- แก้ไข้ทับระดู
- ช่วยขับระดูขาว
- แก้ฝีในมดลูก
- แก้ตะคริว
- ช่วยบำรุงกำลัง
- แก้อาการปวดเมื่อย
- แก้ฝีมุตกิต
- ช่วยสมานแผล
- แก้ฝี
- แก้ไอ
- แก้เสมหะ
- ช่วยทำให้ชุ่มคอ
- ใช้เป็นยาระบาย
- ใช้ฆ่าเชื้อ
- ช่วยขับพยาธิตัวกลม
- ช่วยย่อยอาหาร
- ช่วยรักษาภาวะกรดเกิน
- รักษาอาการปวดท้องจากโรคกระเพาะอาหาร
มีการนำผลสุกของเล็บเหยี่ยว ที่มีรสเปรี้ยวอมหวานมาใช้รับประทานเป็นผลไม้ โดยเฉพาะเด็กๆ ในชนบทจะนิยมเก็บมารับประทานเล่น ส่วนเปลือกต้นพบว่ามีสารแทนนินอยู่ถึง 12% จึงมีการนำมาใช้ในการฟอกหนัง
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้ขับปัสสาวะ แก้เบาหวาน แก้มดลูกพิการ แก้ฝีมุตกิด ฝีในมดลูก แก้มดลูกพิการ โดยนำราก และเปลือกต้นเล็บเหยี่ยว มาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้ไอ แก้เสมหะ ทำให้ชุ่มคอ
- ใช้เป็นยาระบาย โดยใช้ผลสุกของเล็บเหยี่ยวมารับประทานสด
- ใช้บำรุงกำลัง แก้อาการปวดเมื่อยโดยนำเปลือกต้น หรือ ลำต้นเล็บเหยี่ยวตากแห้ง ต้นฮ่อสะพานควาย เปลือกลำต้นนางพญาเสือโคร่ง ข้าวหลามดง ม้ากระทืบโรง จะค่าน แก่นฝาง โด่ไม่รู้ล้ม ตานเหลือง ไม้มะดูก และหัวยาข้าวเย็น นำมาต้มกับน้ำรวมกันดื่ม
- ใช้แก้ไอ โดยใช้รากเล็บเหยี่ยว รากหญ้าคา และรากหญ้าชันกาด ต้มกับน้ำดื่ม
- แก้ไข้ทับระดู โดยใช้รากเล็บเหยี่ยว แก่นจันทน์ขาว รากรางแดง รากสามสิบ แก่นจันทน์แดง รากชะอม และเขากวาง นำมาฝนใส่ข้าวจ้าวรับประทาน
- ใช้แก้ตะคริวโดยใช้รากเล็บเหยี่ยว รากคนทา รากกำจาย รากมะแว้งต้น รากดังดีด รากทองกวาว ข้าวสารเจ้า และข้าวสารเหนียว นำมาตำให้ละเอียด แล้วทำเป็นยาประคบ
ลักษณะทั่วไปของเล็บเหยี่ยว
เล็บเหยี่ยว จัดเป็นไม้พุ่มรอเลื้อย เนื้อแข็ง ยาว 3-10 เมตร เถาและกิ่งมีสีดำเทา หรือ สีน้ำตาล มีหนามสั้นแหลมโค้งตามลำต้นและกิ่งก้าน เปลือกเถาเรียบ หรือ ขรุขระเล็กน้อย กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลขึ้นปกคลุมและมีเปลือกด้านในสีแดง
ใบเล็บเหยี่ยว เป็นใบเดี่ยวออกแบบเรียงสลับใบเป็นรูปไข่แกมรูปใบรีกว้าง 1-3 เซนติเมตร และยาว 2-6 เซนติเมตร โคนใบมนและเบี้ยวเล็กน้อย ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบนุ่มอ่อนมีขนนุ่มสั้นๆ บริเวณผิวใบทั้งสองด้านใบมีเส้นใบที่เห็นได้ชัด 3 เส้น ออกจากฐานใบถึงปลายใบและมีก้านใบยาวประมาณ 2-8 มิลลิเมตร
ดอกเล็บเหยี่ยว ออกเป็นช่อบริเวณซอกใบโดยจะออกเป็นช่อกระจุกขนาดเล็ก ประมาณ 4-6 มิลลิเมตร และใน 1 ช่อ จะมีดอกย่อยจำนวนมาก (ประมาณ 5-11 ดอก) ลักษณะกลีบดอกมีสีเขียว หรือ เขียวอมเหลือง 5 กลีบ คล้ายรูปช้อนปลายกลมกว้าง 0.2-0.5 มิลลิเมตร ยาว 0.8-1 มิลลิเมตร ออกสลับกับกลีบเลี้ยงและมีเกสรเพศผู้ มี 5 อัน สีเขียวอมเหลืองและมีก้านดอกย่อยยาว 1.0-2.5 มิลลิเมตร มีขนเล็กน้อย
ผลเล็บเหยี่ยว เป็นผลสดลักษณะทรงกลม หรือ รูปไข่ ผิวเนียนเกลี้ยงมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร เมื่อผลยังอ่อนมีสีเขียว แต่เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำก้านผลมีขนกระจายอยู่ทั่วไปยาวประมาณ 3-5 มิลลิเมตร ด้านในผลมีเมล็ดทรงกลม 1 เมล็ด ลักษณะค่อนข้างแข็ง มีขนาดกว้าง 5-8 มิลลิเมตร และยาว 6-9 มิลลิเมตร
การขยายพันธุ์เล็บเหยี่ยว
เล็บเหยี่ยวสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ด ซึ่งวิธีการเพาะเมล็ดก็สามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการเพาะเมล็ดพืชชนิดอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้าที่ แต่การเพาะเมล็ดเล็บเหยี่ยว ค่อนข้างจะใช้เวลานานกว่าพืชชนิดอื่น โดยอาจต้องรอถึง 3 เดือน กว่าที่ต้นกล้าจะงอกและมีความสมบูรณ์พร้อมที่จะสามารถนำไปปลูกได้ ทั้งนี้ สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิด แต่จะชอบดินร่วนปนทรายมากกว่า อีกทั้งยังเป็นพืชที่ทนความแห้งแล้งได้ดีไม่ชอบน้ำขัง ชอบความร้อน ชอบแสงแดด ชอบดินที่ชุ่มชื้นเล็กน้อย แต่การปลูกช่วงแรกอาจต้องให้น้ำเพียงพอและหลังจากปลูกแล้วเล็บเหยี่ยวจะให้ผลผลิตประมาณ 2-3 ปี หลังปลูก
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยถึงองค์ประกอบทางเคมีจากส่วนต่างๆ ของเล็บเหยี่ยว รวมถึงสารสกัดจากเปลือกต้น และใบของเล็บเหยี่ยว ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น ส่วนของผล ใบ เปลือกต้นและรากของเล็บเหยี่ยวพบสาร betulin, betulinic acid, betulinic aldehyde, alphitolic acid, zizyberenalic acid, euscaphic acid, β-sitosterol, scopoletin, quercitrin, kaempferol, afzelin, silvestrol และ combrestatin เป็นต้น สารสกัดจากเป็นต้นและใบของเล็บเหยี่ยว พบสารออกฤทธิ์ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เช่น flavones-Cglucosides-6”sinapoylspinosin, 6”-feruloylspinisin and 6-“p-coumaroylspinosin. และ 3-o-ziziyphus [2-α-L-fucopyrnosyl-3-o-β-Dglucopyranosyl-α-Larabinopyranosyl] jujubogenin. เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของเล็บเหยี่ยว
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยถึงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารสกัดเล็บเหยี่ยว จากส่วนต่างๆ ในต่างประเทศระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการ ดังนี้
สารสกัดจากรากมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคมีเรีย staphylococcus epidemidis staphylococcus aureus Esherichia coli และ Pseudomonas aeruginosa และอีกการศึกษาหนึ่งระบุว่า สารสกัดจากรากมีฤทธิ์ถ่ายพยาธิ ส่วนสารสกัดเอทานอลจากรากมีฤทธิ์ปกป้องตับ ที่เกิดจากพิษของยาพาราเซตามอนและสารสกัดแอลกอฮอล์จากเมล็ด มีฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยระบุว่าสารจากเปลือก ต้นและรากด้วยเอทานอลและน้ำ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและมีฤทธิ์ต้านมะเร็งอีกด้วย
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของเล็บเหยี่ยว
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
สำหรับการใช้เล็บเหยี่ยวเป็นสมุนไพร ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาด และปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง เล็บเหยี่ยว
- พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ และคณะ. ทรัพยากรพืชในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 3: พืชให้สีย้อมและแทนนิน. กทม. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย. 2544. หน้า 167-168
- ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “เล็บเหยี่ยว ”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com. [31 พ.ค.2014].
- เล็บเหยี่ยว ศูนย์ข้อมูลพืช สำนักวิชาการ-วิจัยองค์การสวนพฤกษศาสตร์
- เล็บเหยี่ยว, ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.phargarden.com/main.php?actione=viewpage&pid=279
- Abdel-Zaher AO, Salim SY, Assaf MH, Abdel-Hady RH. 2005. Teucrium Polium Antidiabetic activity and toxicity of Zizyphus spina -christi leaves. Journal of Ethnopharmacology, 101(1-3):129-138.
- Kirtikar KR, Basu BD. 1991. Indian Medicinal Plants, 2nd Edition, 1:295-296.
- Kaur R, Kapoor K, Kaur H. 2011. Plants as a source of anticancer agents Scholars Research Library Journal of Natural Product and Plant Resource, 1(1): 119-124