แสมดำ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
แสมดำ งานวิจัยและสรรพคุณ 12 ข้อ
ชื่อสมุนไพร แสมดำ
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น แสมทะเล,แสมทะเลดำ (ทั่วไป) ,อาปี อาปี (มาลายู)
ชื่อวิทยาศาสตร์Avicennia officinalis Linn.
ชื่อสามัญGrey mangrove , Indian mangrove
วงศ์AVICENNIACEAE
ถิ่นกำเนิด แสมดำจัดเป็นพืชในวงศ์ แสม (AVICENNIACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิม อยู่ในเขตร้อนของภูมิภาคอินโด–แปซิฟิก (Indo–West Pacific region) ซึ่งมีชื่อที่เรียกว่า “Old World mangrove” zone โดยมีอาณาเขตครอบคลุมชายฝั่ง เอเชียใต้ เช่นตามชายฝั่งของ อินเดีย, บังกลาเทศ, ศรีลังกา, และ มัลดีฟ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามชายฝั่งของเมียนมา, ไทย, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ และยังกระจายไปถึงปาปัวนิวกินี และชายฝั่ง ทางตอนเหนือของออสเตรเลีย เช่นใน Northern Territory, Queensland, Western Australia ส่วนในประเทศไทยพบได้ตามชายฝั่งทั้งอ่าวไทย และทะเลอันดามัน เช่น ในสมุทรสงคราม, ระนอง, พังงา, กระบี่, ปัตตานี, ตราดและจันทบุรีเป็นต้น
ประโยชน์/สรรพคุณ แสมดำถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ดังนี้ มีการนำผลอ่อนของแสมดำมาใช้ทำขนมลูกแสมซึ่งเป็นขนมพื้นบ้านของอำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี โดยนำลุกแสมมาแกะไส้กลางดอกแล้ว นำไปต้มโล่ความขมออกหลายน้ำจนมีรสจืด นอกจากนี้ยังมีการนำนำลุกแสมต้มนี้ไปคลุกเกลือรับประทาน หรือนำไปผสมกับแป้งมันสำปะหลัง แป้งข้าวเจ้า หัวกะทิ น้ำตาลปิ๊บ แล้วนำไปนึ่งรับประทานก็ได้ ส่วนเปลือกต้น และลำต้นมีสาร tannin มีรสฝาด ใช้ต้นฟอกหนัง ส่วนของลำต้นหรือเนื้อไม้ ใช้ทำไม้ค้ำยืนในการก่อสร้าง ใช้ทำเสาบ้าน เสาโป๊ะ หรือใช้เผาเป็นถ่าน และใช้เป็นฟืนก็ได้ นอกจากนี้ในระบบนิเวศวิทยาแสมดำ เมื่ออยู่รวมกันเป็นจำนวนมากยังสามารถเป็นแหล่งพักอาศัยหรืออนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนให้เจริญเติบโตให้เป็นแหล่งอาหารของมนุษย์ได้อีกด้วย
สำหรับสรรพคุณทางยาของแสมดำนั้น ตามตำรายาไทยและตำรายาพื้นบ้านได้ระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ว่า เปลือก และแก่นลำต้น มีรสเค็ม เฝื่อน แก้กษัยเส้น แก้ลมในกระดูก ขับโลหิตเสียของสตรี ทั้งต้น ช่วยเจริญอาหาร แก้ปัสสาวะพิการ แก้หอบหืด แก้ไอกรน ช่วยขับเสมหะ รักษาฝีในท้อง แก้กษัยเส้น ต้านการอักเสบ แก้ริดสีดวงทวาร แก้อาการท้องมาน แก้อาการอาเจียน แก้อาการแน่นท้อง จุกเสียดท้อง แก้อาการท้องเสีย รักษาโรคผวิหนัง ผดผื่นคัน รักษาแผลสด และแผลเป็นหนอง
รูปแบบ/ชนาดวิธีใช้ ใช้จ่ายให้เจริญอาหาร แก้กษัย ปวดข้อ ปวดกระดูก แก้หอบหืด ไอกรน แก้ฝีในท้อง ปัสสาวะพิการ แก้อักเสบ แก้ท้องมาน แน่นท้องจุกเสียดท้อง ท้องเสีย แก้ริดสีดวงทวาร แก้อาเจียน โดยนำทั้งต้น (ราก แก่น ใบ ผล) มาต้มกับน้ำดื่ม ใช้แก้กษัยเส้น แก้ลมในกระดูก แก้ปวดข้อ ปวดในกระดูก โดยนำเปลือกต้นและแก่นมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้แก้โรคผิวหนังผดผื่นคัน แก้แผลสด แผลเป็นหนอง โดยนำทุกส่วน (ราก,เปลือกต้น,ใบ,ผล) มาต้มน้ำอาบ หรือใช้ตำพอกหรือทาบริเวณที่เป็น
ลักษณะทั่วไป แสมดำพบได้ทั้งในแหล่งดินเลนแข็ง และแหล่งดินเลนอ่อนที่ใกล้บริเวณ ชายทะเล เป็นพืชป่าชายเลนที่เติบโตเร็ว ลำต้นสูงใหญ่ มีระบบรากที่ทนต่อสภาพน้ำท่วมขังหรือแห้งแล้งได้ดี โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ มีลำต้นสูงประมาณ 8-20 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทึบหนา ทรงกลม ลำต้นแตกกิ่งเป็นทรงพุ่มหนา และแตกกิ่งไม่สมมาตรตั้งแต่ด้านล่างของลำต้น โคนลำต้นไม่เป็นพูพอน ลำต้นเปลาตรงทรงกรวยคว่ำ เปลือกลำต้นเรียบ หรือแตกเป็นช่องเล็กน้อย มีสีเทาอมน้ำตาล หรือน้ำตาลอมเขียว เปลือกลำต้นมีช่องอากาศโดยระบบรากของแสมดำประกอบด้วยรากหาอาหารที่อยู่ใต้ดิน ทำหน้าที่ดูดสารอาหารในดินมักจะแตกแขนงเป็นตาข่ายสานกันหนาแน่น หยั่งลึกลงดินประมาณ 20-50 เซนติเมตร และมีรากอากาศรูปดินสอยาวประมาณ 15-25 เซนติเมตร โผล่ขึ้นเหนือดิน ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซ และหายใจ ทั้งนี้ ระบบรากทั้ง 2 ชนิด สามารถกรองแยกเกลือกับน้ำ ทำให้เกลือเข้าสู่เซลล์ลำต้นได้น้อยลง ใบออกเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้างสลับตั้งฉากบนกิ่ง แผ่นใบรูปรีหรือรูปไข่กลับกว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 6-9 เซนติเมตร โคนใบแหลมรูปลิ่มปลายใบกลม แผ่กว้างขอบใบเรียบเนื้อใบอวบน้ำและเหนียว ผิวใบด้านบนเกลี้ยงมีสีเขียวเข้มเป็นมัน ส่วนใบด้านล่างมีสีจางกว่า และมีขนสั้นๆ สีเหลืองอมน้ำตาลปกคลุมและมีก้านใบยาว 0.7-1.1 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อกระจุกบริเวณปลายกิ่งและตามง่ามใบใกล้ปลายยอด โดยจะมีมีก้านช่อดอกยาวประมาณ 2-6 เซนติเมตร ในแต่ละช่อมีดอกย่อย 4-10 ดอก ดอกย่อยมีขนาดเล็ก ซึ่งแต่ละดอกจะมีขนาด 1-1.5 เซนติเมตร ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง จำนวน 5 กลีบ ที่มีฐานกลีบเชื่อมติดกัน ปลายกลีบแยกเป็นแฉก ส่วนกลีบดอกมีลักษณะเป็นหลอด ประกอบด้วยกลีบดอก จำนวน 4 กลีบ รูปกงล้อ โคนกลีบเชื่อมติดกัน ปลายกลีบแยกพับลง กลีบดอกมีสีเหลืองหรือเหลืองถึงส้ม แต่ละกลีบยาวประมาณ 0.4-0.8 เซนติเมตร กลางดอกมีเกสรเพศผู้ จำนวน 4 อัน มีก้านเกสรโผล่ยาวเหนือกลีบดอก ผลเป็นผลเดี่ยวรูปหัวใจ มีลักษณะเบี้ยวแบน ปลายผลอ่อนงอเป็นติ่งหรือจะงอแหลม มีขนาดกว้าง 2-2.5 เซนติเมตร ยาว 2.5-3 เซนติเมตร เปลือกผลค่อนข้างบางมีรอยย่น และมีขนนุ่มสีเหลืองอมน้ำตาลปกคลุม ส่วนเนื้อผลด้านในอ่อนนุ่ม เมื่อผลอ่อนมีสีเหลืองอมเขียว ผลสุกมีสีเหลือง และปริแตกบริเวณด้านข้างตามแนวยาว ด้านในผลมีเมล็ดลักษณะกลม แบน ขนาดใหญ่ 1 เมล็ด
การขยายพันธุ์ แสมดำสามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ดเป็นต้นกล้าแล้วนำไปปลูก โดยมีวิธีการดังนี้ เริ่มจากนำเมล็ดที่แก่จัดที่เก็บได้จากเมล็ดหล่นจากดินมาแช่น้ำไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพราะจะทำให้งอกได้ดีขึ้น จากนั้นมาเพาะชำในถุงเพาะที่เตรียมไว้โดยใช้ถุงขนาด 2.5x6 นิ้ว และใช้วัสดุเพาะคือหน้าดินเลนผสมแกลบเผา ในอัตราส่วน 1:1 หรืออาจจะใช้ดินทรายผสมเลนก็ได้ จากนั้นนำเมล็ดที่เตรียมไว้มาวางในถุงเพาะ โดยกดให้ฝังลงในดินเล็กน้อย หรือจมลงระดับผิวดิน ให้ส่วนที่จะแตกรากและลำต้นสัมผัสดินพอดี แล้วใช้น้ำกร่อยรดให้ชุมอยู่เสมอจนกว่าจะแตกต้นอ่อนออกมา และเมื่อต้นกล้าสูงประมาณ 30 เซนติเมตร ก็สามารถย้ายไปปลูกในพื้นที่ได้
องค์ประกอบทางเคมี มีรายงกานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากทุกส่วนของแสมดำ ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น สารกลุ่ม flavonoids เช่น apigenin, chrysin, catechin, epigallocatechin gallate (EGCG), picatechin gallate (ECG), kaempferol, luteolin, naringenin, myricetin, quercetin และ rutin สารกลุ่มphenolic acids เช่น caffeic acid, chlorogenic acid, p-coumaric acid, corilagin, ellagic acid, gallic acid และ syringic acid นอกจากนี้ยังพบสารกลุ่มfatty acid และสารกลุ่มsterols เช่น palmitic acid, linoleic acid, Phytol, Squalene, lauric acid, stearic acid, trans-cinnamic acid, 2,4-di-tert-butyl phenol, dibutyl phthalate, β-Sitosterol, androst-7-ene-6,17-dione และ 2,3,14-trihydroxy เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนของเปลือกต้น ใบและผลของแสมดำระบุว่า มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้
ฤทธิ์ต้านจุลชีพ (antibacterial / antifungal) มีรายงานการศึกษาวิจัยในหลอดทดลองหลายงานทดสอบระบุว่าสารสกัดจากใบ/เปลือก/ผล ของแสมดำมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย และฤทธิ์ต้านเชื้อราในระดับต่าง ๆ โดยขึ้นกับตัวทำละลายและความเข้มข้นที่ใช้ และยังสามารถต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ในการทดสอบแบบ DPPH/ABTS โดยสารสกัดดังกล่าวจะสามารถจับกับอนุมูลอิสระได้ ทำให้มีฤทธิ์ในการยับยั้งอนุมูลอิสระได้ อีกทั้งยังมีรายงานการศึกษาวิจัยทดลองสารสกัดจากส่วนใบของแสมดำในหนูถีบจักร พบว่าฤทธิ์ต้านการอักเสบและลดอาการเจ็บปวด และมีฤทธิ์ปกป้องการถูกทำลายของตับ จากแอลกอฮอล์หรือสารพิษอื่น โดยพบสัญญาณการปกป้องตับและเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระในเนื้อเยื่อหนูทดลอง
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง สำหรับการใช้แสมดำเป็นสุมนไพรควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาด/ปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไปหรือใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง แสมดำ
- สนิท อักษรแก้ว,กอร์ดอน เอส แมกซ์เวลล์,สนใจหะวานนท์ และสมชาย พานิชสุโข,2535 พันธุ์ไม้ป่าชายเลน บริษัทฉลองรัฐ กรุงเทพฯ.120หน้า
- วัชระ บัวทอง. (2558). การศึกษาความหลากหลายของไม้ป่าชายเลนในจังหวัดระนอง. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. หน้า 45–47.
- จักกริช พวงแก้ว,สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิช.วิภาพรรณ นาคแพน(2006.) นักสืบชายหาด,พืชและสัตว์ชายหาด กทม.มูลนิธิโลกสีเขียว.p.155.
- นพรัตน์ บำรุงรักษ์ 2535.การปลูกป่าชายเลน สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์,กรุงเทพฯ72หน้า
- ศูนย์ข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ. (2560). พรรณไม้ชายเลนของประเทศไทย. กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง. หน้า 72–74.
- แสมดำ ประโยชน์และสรรพคุณแสมดำ.พืชเกษตรดอทคอม.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จากhttp://www.puechkaset.com
- Tomlinson, P. B. (1986). The botany of mangroves. Cambridge University Press. pp. 120–122.
- Duke, N. C. (1991). A systematic revision of the mangrove genus Avicennia (Avicenniaceae) in Australasia. Australian Systematic Botany, 4(2), 299–324.
- Bandaranayake, W. M. (1998). Traditional and medicinal uses of mangroves. Mangroves and Salt Marshes, 2(3), 133–148.
- Giesen, W., Wulffraat, S., Zieren, M., & Scholten, L. (2007). Mangrove guidebook for Southeast Asia. FAO and Wetlands International. pp. 108–110.
- Mahmud, S., Uddin, M. A. R., Zaman, M., Sujon, K. M., Rahman, M. E., Shehab, M. N., Islam, A., Alom, M. W., Amin, A., & Akash, A. S. (2021). Efficacy of phytochemicals derived from Avicennia officinalis for the management of COVID-19: A combined in silico and biochemical study. Molecules, 26(8), Article 2210.
- Lalitha, P., Parthiban, A., Sachithanandam, V., Purvaja, R., & Ramesh, R. (2021). Antibacterial and antioxidant potential of GC-MS analysis of crude ethyl acetate extract from the tropical mangrove plant Avicennia officinalis L. South African Journal of Botany, 142, 149–155.
- Das, S. K., Samantaray, D., Mahapatra, A., & Thatoi, H. (2018). Pharmacological activities of leaf and bark extracts of a medicinal mangrove plant Avicennia officinalis L. Clinical Phytoscience, 4, 13.
- Yap, C. K., Rauf, A., & Foo, T. C. (2022). The ecological-health risks of potentially toxic metals in mangrove sediments: A case study on Avicennia officinalis L. Biology (or relevant journal).
- Duryat, D. (2025). Acute toxicity study of the leaf and fruit extracts of Avicennia officinalis. Journal of Pandawa Institute,
- Nguyen, C. V., Nguyen, C. T., Duong, N. T., & Le, C.-T. (2024). Optimization of ultrasound-assisted extraction using response surface methodology and quantification of phenolic and flavonoid compounds in Avicennia officinalis L. Farmasiia
