สิรินธรวัลลี ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

สิรินธรวัลลี งานวิจัยและสรรพคุณ 19 ข้อ

ชื่อสมุนไพร สิรินธรวัลลี
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ประดงแดง, สามสิบสองประดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Bauhinia sirindhorniae (K.Larsen & S.S.Lasen)
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Phanera sirindhornia
วงศ์ LEGUMINOSAE


ถิ่นกำเนิดสิรินธรวัลลี

สิรินธรวัลลี จัดเป็นไม้เถาที่เพิ่งค้นพบครั้งแรกในโลก จ.หนองคาย ของไทย เมื่อไม่นานมานี้ โดยประมาณปี พ.ศ.2538 ดร.ชวลิต นิยมธรรมและคณะ ได้เดินทางเข้าสำรวจพันธุ์ไม้บนเทือกเขาในจังหวัดหนองคาย และได้พบต้นเสี้ยวที่มีลักษณะแตกต่างกับเสี้ยวชนิดอื่นๆ ต่อมา ศาสตร์จารย์ Kai Larsen ชาวเดนมารก์ นักพฤกษศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญพรรณไม้ได้เดินทางมาตรวจสอบ ตัวอย่างต้นเสี้ยวที่พบอย่างละเอียด ปรากฏว่า ตัวอย่างต้นเสี้ยวดังกล่าว เป็นพันธุ์ไม้ชนิดใหม่ที่ยังไม่เคยค้นพบมาก่อน ดังนั้นทางกรมป่าไม้จึงขอพระราชทานการตั้งชื่อประจำเสี้ยวพันธุ์นี้ ด้วยการใช้พระนามาภิไธยของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เนื่องจากพระองค์ได้ทรงสนพระทัยเกี่ยวกับทางด้านพฤกษศาสตร์มาตลอดในชื่อว่า Bauhinia sirindhorniae K.& S.S. Larsen และต่อมาปี พ.ศ.2542 นักพฤกษศาสตร์ได้มีการค้นพบแหล่งของสิรินธรวัลลี เพิ่มขึ้นมาอีก คือ บริเวณเทือกเขาภูพาน จ.สกลนคร ในปัจจุบันสามารถพบ สิรินธรวัลลี ได้เพิ่มเติม ทั้งในภาคอีสานของไทยและในประเทศลาว ในระดับความสูง 150-200 เมตร จากระดับน้ำทะเล โดยจะพบได้มากใน จังหวัดหนองคาย จังหวัดสกลนคร นครพนมและจังหวัดใกล้เคียง ที่บริเวณป่าดิบแล้ง หรือ ป่าเบญจพรรณ

ประโยชน์และสรรพคุณสิรินธรวัลลี

  • ใช้บำรุงกำลัง
  • รักษาอาการประดงที่เกิดจากระบบโลหิตในร่างกายต่างๆ ประดงทั้งสามสิบสองประการ
  • แก้ผื่นคัน
  • แก้ผื่นแพ้
  • แก้ลมพิษ
  • แก้ปวดแสบปวดร้อน
  • แก้น้ำเหลืองเสีย
  • แก้ภูมิแพ้ต่างๆ
  • แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • แก้โรคผิวหนัง
  • ช่วยรักษาแผลสด
  • แก้แมลงสัตว์กัดต่อย 
  • ช่วยขับพยาธิ
  • รักษาแผลมีน้ำหนอง
  • ช่วยเจริญอาหาร
  • ช่วยบำรุงระบบประสาท
  • ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
  • บำรุงร่างกาย
  • ช่วยขับปัสสาวะ

           ประโยชน์หลักๆ ของสิรินธรวัลลี คือ การนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ และใช้เป็นยาสมุนไพร โดยในการนำสิรินธรวัลลี มาปลูกเป็นไม้ประดับนั้น เนื่องจากดอกสิรินธรวัลลีออกดอกเป็นช่อใหญ่ และมีสีน้ำตาลแดงสวยงาม ส่วนลำต้นเป็นเถาเลื้อยหนา และแตกใบดกร่มตลอดปี จึงเหมาะในการทำซุ้มสำหรับเป็นร่มเงาบังแดด


รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้แก้ประดงทั้ง 32 ประการ แก้น้ำเหลืองเสีย ลมพิษ ภูมิแพ้ และบำรุงกำลัง โดยนำเถาสิรินธรวัลลี มาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้ประดงข้อ ประดงผิวหนัง แก้ปวดเมื่อย โดยนำราก หรือ เถามาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้แก้โรคผิวหนัง ผดผื่นคัน ลมพิษ โดยนำราก หรือ เปลือกต้นมาต้มกับน้ำอาบ
  • ใช้รักษาแผลสด แผลมีหนอง โดยใช้รากมาฝนทาบริเวณที่เป็น หรือ ใช้ใบสดมาบดประคบก็ได้
  • ใช้ขับพยาธิโดยใช้ใบมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้บำรุงประสาท บำรุงร่างกาย กระตุ้มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยเจริญอาหาร ขับปัสสาวะ โดยนำดอกมาตากแห้ง นำมาต้ม หรือ ชงกับน้ำร้อนดื่ม

ลักษณะทั่วไปของสิรินธรวัลลี

สิรินธรวัลลี จัดเป็นไม้เถาขนาดใหญ่เนื้อแข็งเถามีความยาว 10-20 เมตร กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดงขึ้นปกคลุม กิ่งแก่สีน้ำตาลอมเทาผิวเกลี้ยงบริเวณเถามีมือเกาะม้วนงอ

           ใบสิรินธรวัลลีเป็นใบเดี่ยว ออกแบบเรียงสลับกันบนกิ่ง แผ่นใบเป็นรูปไข่เกือบกลมคล้ายรูปหัวใจ มีขนาดกว้าง 4-17 เซนติเมตร ยาว 5-18 เซนติเมตร โคนใบกว้างเว้าตรงกลางลึกจนเกือบถึงโคนใบคล้ายฐานรูปหัวใจ ปลายใบสอบ โค้งมน แผ่นใบหนา และหยาบ แผ่นใบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบด้านบนมีสีเขียวเข้ม เป็นมัน แผ่นใบด้านล่างมีสีจางกว่า มีขนปกคลุมเล็กน้อยและมีก้านใบยาว 2-6.5 เซนติเมตร

           ดอกสิรินธรวัลลี ออกเป็นช่อกระจุกซ้อนที่ปลายกิ่ง หรือ ปลายยอดช่อดอกยาวได้ถึง 15 เซนติเมตร ในแต่ละช่อมีดอกย่อยสีน้ำตาลแดงจำนวนมาก ลักษณะของดอกตูมเป็นรูปรี ยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร เมื่อบานจะกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร และมีใบประดับ 2 ใบ รูปใบหอก ด้านในเกลี้ยง ด้านนอกมีขน มีก้านดอกย่อยยาว 1.5-2 เซนติเมตร มีขนสั้นนุ่ม กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ โคนเชื่อมกันปลายแยก ยาวประมาณ 6 มิลลิเมตร กว้างประมาณ 3 มิลลิเมตร ผิวนอกมีขนหนาแน่น กลีบดอก มี 5 กลีบ รูปใบหอกแคบ สีส้มแดง ถึงน้ำตาลแดงกว้าง 3-6 มิลลิเมตร ยาว 9-13 มิลลิเมตร ด้านนอกมีขนสีน้ำตาลแดงหนาแน่น

           ผลสิรินธรวัลลี ออกเป็นฝัก มีลักษณะแบนรูปขอบขนานปลายมีติ่งแหลม ฝักกว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 15-20 เซนติเมตร เปลือกฝักมีสีน้ำตาลแดง และมีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุมแน่น ด้านในฝักมีเมล็ดลักษณะกลมแบนเปลือกเมล็ดสีดำ 5-7 เมล็ด  โดยขนาดเมล็ดมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5-2 เซนติเมตร

สิรินธรวัลลี
สิรินธรวัลลี

การขยายพันธุ์สิรินธรวัลลี

สิรินธรวัลลีสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี เช่น การเพาะเมล็ด การตอนกิ่งและการปักชำกิ่ง ทั้งนี้ สิรินธรวัลลี สามารถเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย หรือ ดินร่วนที่มีการระบายน้ำได้ดี และยังเป็นพืชที่ชอบแสงแดดตลอดวัน ชอบน้ำปานกลาง สำหรับวิธีการขยายพันธุ์สิรินธรวัลลีทั้งการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง หรือ การปักชำกิ่ง ก็สามารถได้เช่นเดียวกันกับ การเพาะเมล็ด การตอนกิ่งและการปักชำกิ่ง พันธุ์ไม้ชนิดอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในบทความก่อนหน้านี้


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยถึงองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากราก และเถาของสิรินธรวัลลี ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น (25)-eriodictyol,(25)-naringenin, luteolin, isoliquiritigenin4-methyl ether, lithospermoside, menisdaurin, lupeol, (+)-taxifolin, glutinol, (-)-epicatechin,5,7-dihydroxychromone, protocatechuic acid เป็นต้น

โครงสร้างสิรินธรวัลลี

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสิรินธรวัลลี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดสิรินธรวัลลี จากส่วนต่างๆ ระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการอาทิเช่น มีการศึกษาวิจัยโดยนำสารสกัดจากเถาสิรินธรวัลลีใน 20% เอทานอลมาทดสอบปฏิกิริยาเปลี่ยน L-Dopa ไปเป็นโดปาโครม (Dopachrome) โดยเอนไซม์ไทโรซิเนสจากเห็ด โดยเทียบกับสารละลายมาตรฐาน kojic acid พบว่าสารละลายตัวอย่างทุกความเข้มข้นมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส จากเถาสิรินธรวัลลีมีค่า IC50 = 0.08 มก./มล. เมื่อเทียบกับค่า IC50 ของสารละลายมาตรฐาน kojic acid (IC50 = 0.0023 มก./มล.) และมีการได้ศึกษาฤทธิ์ต้านแบคทีเรียเบื้องต้นด้วยวิธี agar diffusion ของสิ่งสกัดหยาบจากราก และลำต้นของต้นสิรินธรวัลลี ได้แก่ สิ่งสกัดเฮกเซนคลอโรฟอร์ม และ 95% เอทานอล พบว่าสิ่งสกัด 95% เอทานอล จากรากและลำต้นมีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรีย Bacillus subtilis และ Staphylococcus aureus

           นอกจากนี้ยังมีการศึกษาผลของสารสกัดหยาบเอทานอลจากใบสิรินธรวัลลี ต่อการเจริญของจุลินทรีย์ก่อโรคได้แก่ Escherichia coli, Bacillussubtilis และ Staphylococcus aureus ซึ่งมีอายุที่ 48 ชั่วโมง โดยมีเซลล์เริ่มต้น คือ 1.43x105, 2.5x1,010 และ 2.1x109 CFU/ml ตามลำดับ โดยได้ทำการทดสอบด้วยวิธีการสกัดหยาบ (crude extract) จากใบสิรินธรวัลลีและใช้ตัวทำละลาย Dimethyl sulfoxide (DMSO) โดยจะใช้อัตราส่วนของสารสกัดหยาบเอทานอลจากใบสิริธรวัลลีต่อ DMSO เป็น 100 มิลลิกรัมต่อ 1 มิลลิลิตร และตรวจสอบผลการยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์โดยการวัดวงใส (clear zone) ผลการทดลองพบว่า สารสกัดหยาบเอทานอลจากใบสิริธรวัลลี สามารถยับยั้งการเจริญของ Staphylococcus aureus ได้ดีที่สุด โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางของวงใสขนาด 9.4 มิลลิเมตร และสามารถยับยั้งการเจริญของ Escherichia coli, Bacillus subtilis ได้ดีรองลงมาโดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางของวงใสขนาด 7.7 และ 6.5 มิลลิเมตร ตามลำดับ และสามารถยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ได้ดีกว่า DMSO ซึ่งเป็นกลุ่มควบคุม


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของสิรินธรวัลลี

ไม่มีข้อมูล


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการใช้สิรินธรวัลลีเป็นสมุนไพร โดยเฉพาะการรับประทาน เนื่องจากในตำรายาไทยระบุว่ามีฤทธิ์ขับระดู ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแท้งบุตรได้ ส่วนในผู้ที่มีสุขภาพร่างกายเป็นปกติ ก็ควรระมัดระวังในการใช้สิรินธรวัลลี เป็นสมุนไพร เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสมที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาที่นานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้


เอกสารอ้างอิง สิรินธรวัลลี
  1. เจษฏา อุดมพิทยาสรรพ์. การศึกษาเอกลักษณ์สมุนไพรด้านจุลทรรศน์ลักษณะต้นสิรินธรวัลลี. เอกสารประกอบการประชุมหาดใหญ่วิชาการระดับชาติ และนานาชาติ ครั้งที่ 12 (25 มิถุนายน 2564) .หน้า 1586-1595
  2. ศิริวรรณ อธิคมกุลชัย, นงลักษณ ศรีอุบลมาศ และนิจศิริเรืองรังษี. (2548). องค์ประกอบทางเคมีและฤทธิ์ตานแบคทีเรียของตนสิรินธรวัลลี. วารสารวิจัยวิทยาศาสตรการแพทย์, 19(1), 147-153.
  3. บุปผาชาติ พตด้วง, มณีรัตน์ มีพลอย. การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสของเถาสิรินธรวัลลี (สามสิบสองประดง), 2549.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 21(3):69-78
  4. พรรณี คงพลปาน. (2555). ผลของสารสกัดหยาบเอทานอลจากใบสิริธรวัลลีต่อการเจริญของจุลินทรีย์ก่อโรค. กรุงเทพฯ: คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ.
  5. สิรินธรวัลลี. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.[hargarden.com/main.php?action=viewpage&pid=165
  6. สิรินธรวัลลี/ประดงแดง ประโยชน์และสรรพคุณสิรินธรวัลลี. พืชเกษตรดอทคอม เว็บเพื่อพืชเกษตรไทย (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.puechkaset.com
  7. Larsen, K. and S.S. Larsen. (1997). Bauhinia sirindhorniae sp. Nov. (Leguminosae - Caesalpinioideae) a remarkable new species from Thailand. Nordic Journal of Botany, 17(2),113-118.