อรคนธ์ ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

อรคนธ์ งานวิจัยและสรรพคุณ 9 ข้อ

ชื่อสมุนไพร  อรคนธ์

ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น  รสสุคนธ์แดง , เถาอรคนธ์ (ภาคกลาง), ย่านปด, เครือปด, ข่านเปล้า,ปดลื่น (ภาคใต้)

ชื่อวิทยาศาสตร์Tetracera indica (Cristm. & Panz.) Merr.

วงศ์DILLENIACEAE

ถิ่นกำเนิด อรคนธ์จัดเป็นพืชในวงศ์ส้าน (DILLENIACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดบริเวณเขตร้อนของเอเชีย เช่นในภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทางตอนใต้ของจีน ต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังภูมิภาคเขตร้อนอื่นๆของโลก สำหรับประเทศไทย พบได้ทางภาคใต้บริเวณป่าละเมาะ ป่าพรุ หรือตามป่าชายฝั่งที่มีระดับความสูงจากระดับทะเลจนถึง 600 เมตร

ประโยชน์/สรรพคุณ อรคนธ์ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆดังนี้

  • ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับกลางแจ้ง โดยทำเป็นซุ้มให้เลื้อยไต่ ซึ่งจะออกดอกดกและสวยงามแต่ต้องหมั่นตัดยอดให้ขึ้นพันซุ้มและตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง
  • ส่วนในอินเดียมีการนำใบมาใช้แทนกระดาษทราย ลำต้นใช้ทำเป็นเชือก ทั้งต้นใช้เป็นยาเบื่อปลา

 สำหรับสรรพคุณทางยาของอรคนธ์นั้นตามตำรายาไทยและตำรายาพื้นบ้านได้ระบุถึงสรรพคุณเอาไว้ว่า ยาพื้นบ้าน ใช้ลำต้นหรือราก แก้อาการปวดบวม แก้ฝี ตำรายาไทยใช้ ดอก เข้ายาหอมมีสรรพคุณบำรุงหัวใจ แก้ลม(มักใช้คู่กับรสสุคนธ์ขาว) ต้น แก้อาการตกเลือดภายในปอด แก้แผลในปาก ใบ ราก ใช้พอกผิวหนัง แก้ผื่นคัน ราก ใช้ขับปัสสาวะ ทั้งต้นใช้บำรุงกำลัง ยอดอ่อนใช้รักษางูกัด นอกจากนี้ในอินเดียยังมีการนำอรคนธ์มาใช้ แก้ไข้หวัด รักษาเลือดออกในปอด ใช้บ้วนปาก รักษาแผลร้อนในปากอีกด้วย

รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้

  • ใช้บำรุงกำลัง โดยใช้อรคนธ์ทั้งต้น มาผสมกับต้นเล้ง เปลือกต้นทุเรียน นำมาตำคั้นเอาน้ำผสมกับน้ำร้อนดื่ม หรือจะตำแล้วนำมาห่อด้วยผ้าขาวบาง แล้วนำมแช่ใบเหล้าขาว ใบจิบกินทีละน้อยก็ได้
  • ใช้แก้อาการตกเลือดภายในปอด โดยนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้ขับปัสสาวะ โดยนำรากมาต้มกับน้ำดื่ม
  • รักษาแผลปาก โดยนำทั้งต้นมาต้มกับน้ำอมกลั้วปาก
  • ใช้แก้ผื่นคัน โดยนำใบและรากมาตำพอกบริเวณที่เป็น
  • ใช้แก้อาการบวม แก้ฝี โดยนำลำต้นหรือรากอรคนธ์ นำมาผสมกับหญ้างวงช้างทั้งต้น งวงตาล รากกะดังใบ รากลำเจียก รากส้มกุ้ง ผลมะพร้าว เหง้าสับปะรด เหง้ายาหัว เปลือกต้นกัดลิ้น เปลือกต้นมะม่วง และเปลือกต้นสะแกงแสง ลำต้นเครือพลูช้าง ลำต้นหรือรากเถาคันขาว ลำต้นก้อม ลำต้นไผ่ป่า ลำต้นไผ่ดง ลำต้นโพ ลำต้นรักดำ ลำดับหนามพรม ลำต้นอ้อยแดง มาผสมกับน้ำดื่ม

ลักษณะทั่วไป  อรคนธ์จัดเป็นเถาเลื้อยเนื้อแข็ง เถาอ่อนเป็นสีน้ำตาลอมเขียว เถาแก่เป็นสีน้ำตาลแดง สามารถเลื้อยได้ไกล 10 เมตร เปลือกเถาเรียบ เมื่อแก่จะแตกเป็นสะเก็ดบางๆ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกแบบเรียงสลับตามเถาและกิ่งก้าน ใบมีลักษณะเป็นรูปรีแกมขอบขนานหรือรูปไข่กลับ มีขนาดกว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 6-10 เซนติเมตร โคนใบสอบแหลมปลายใบมนหรือแหลม ขอบใบจักเป็นซี่ห่างๆ แผ่นใบเรียบมีสีเขียว ผิวใบสากคาย มีขนตามเส้นใบด้านล่าง และมีก้านใบสีแดงสั้น 0.5-10 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อแบบแยกแขนงบริเวณปลายยอดปลายกิ่งโดยใน 1 ช่อดอกจะมีดอกย่อย 3-8 ดอก ดอกมีกลิ่นหอมเย็น มีขนาด 2.5-3 เซนติเมตร มีกลีบเลี้ยงสีเขียวอมแดงหนา จำนวน 4 กลีบ แต่ละกลีบกว้าง 7-9 มิลลิเมตร ยาว 8-10 มิลลิเมตร ส่วนกลีบดอกเป็นรูปไข่กลับ เป็นสีขาวหรือสีขาวอมชมพู มี 4-5 กลีบ ลักษณะมีขนาดกว้าง 6-8 มิลลิเมตร ยาว 12-15 มิลลิเมตร ตรงกลางดอกมีเกสรเพศผู้จำนวนมาก โผล่พันกลีบดอกออกมา โดยปลายก้านชูอับเรณูเป็นสีแดง ส่วนโคนก้านเป็นสีขาว รังไข่มี 3-4 คาร์เพล ด้านหลังบมีขนแข็งประปราย ผลออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 ผล โดยผลเป็นผลแห้งแบบแคปซูลทรงกลมมีขนาดกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ปลายผลมีจะงอยแหลมยาว 2-6 มิลลิเมตร แตกเป็นแนวตะเข็บด้านเดียว ผลมีสีส้มถึงแดง ด้านในผลมีเมล็ดรูปไข่สีดำ กว้าง 2-3 มิลลิเมตร ยาว 3-4 มิลลิเมตร อยู่ประมาณ 2-4 เมล็ด ซึ่งเมล็ดจะมีเยื่อหุ้มเมล็ดมีแดงสด ยาวประมณ 1 เซนติเมตร ที่ฐานเป็นชายครุย

การขยายพันธุ์ อรคนธ์สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการใช้เมล็ด การตอนกิ่งและการปักชำ แต่ในปัจจุบันการขยายพันธุ์ของอรคนธ์จะเป็นการขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดในธรรมชาติมากกว่าถูกนำมาปลูก/ขยายพันธุ์โดยมนุษย์ เนื่องจากอรคนธ์เป็นไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่เถา เลื้อยได้ไกล จึงไม่นิยมนำมาปลูก ทั้งนี้อรคนธ์เป็นพันธุ์ไม้ที่ชอบดินร่วน ชอบความชื้นปานกลาง และชอบแสงแดดจัดตลอดวัน

องค์ประกอบทางเคมี มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมี ของสารสกัดจากส่วนลำต้น/เปลือกต้น รวมถึงส่วนใบ/กิ่ง ของอรคนธ์ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิดอาทิเช่น สารสกัดจากลำต้นและเปลือกต้นพบสาร wogonin,  5,8-Dihydroxy-7-methoxyflavone , norwogonin Betulonic acid , techtochrysin , β-sitosterol และ quercetin ส่วนสารสกัดจากส่วนกิ่งและพบสารใบ catechin, epicatechin gallate และ isorhamnetin เป็นต้น

การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากลำต้น ใบ และกิ่ง ของอรคนธ์ยังระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านเบาหวาน และเพิ่มการเผาผลาญ น้ำตาลในเลือด ระบุว่าสารฟลาโวนอยด์จากลำต้น ของอรคนธ์ (เช่น wogonin, norwogonin, techtochrysin และ quercetin) มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการสร้าง adipocyte (adipogenesis) และเพิ่มการนำกลูโคสเข้าเซลล์ 3T3-L1 อย่างมีนัยสำคัญ โดยยืนยันด้วยการย้อมไขมัน (Oil Red O) และการวัด glucose uptake

อีกทั้งยังมีรายงานระบุว่าสารสกัดน้ำและเมทานอลจากส่วนใบของอรคนธ์มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในหนูขาวที่ถูกเหนียวนำให้เป็นเบาหวานด้วย alloxan โดยมีการวัด FBG, OGTT และพยาธิสัณฐานตับอ่อนร่วมด้วย และยังมีรายงานการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดเมทานอลจากลำต้น อรคนธ์พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ xanthine oxidase และ lipoxygenase แบบ dose-dependent โดยสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ ได้แก่ 5,7-dihydroxy-8-methoxyflavone และ kaempferol ซึ่งสามารถที่ยับยั้ง lipoxygenase ที่ความเข้มข้น 100 ppm ได้เท่ากับ 100% และ 90% ตามลำดับ  ส่วนสาร Betulinic acid, kaempferol และ 5,7-dihydroxy-8-methoxyflavone สามารถยังยับยั้ง xanthine oxidase ที่ 95%, 90%, และ 80% ตามลำดับ 

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าสารสกัด ethyl acetate จากกิ่งอรคนธ์พบปริมาณสาร phenolic และ flavonoid สูง และสารสกัดดังกล่าวแสดงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเป็นอย่างดี โดยมีค่า IC₅₀ (DPPH) ≈ 99.84 µg/mL และค่า FRAP ≈ 4296.67 mol/g

การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา มีรายงานผลการศึกษาวิจัยพิษเฉียบพลัน (acute toxicity) ของสารสกัดใบ น้ำ และเมทานอลจากส่วนใบของอรคนธ์ในหนูทดลองพบว่า ค่า LD₅₀ เมื่อให้ทางปากแก่หนูทดลอง มีค่ามากกว่า 5,000 mg/kg และยังไม่พบการตายหรือตัวชี้วัดความเป็นพิษ ภายในช่วงดังกล่าว

ข้อแนะนำ/ข้อควรระวัง  ผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาลดน้ำตาล ในเลือดควรยกเว้นการใช้อรคนธ์เป็นยาสมุนไพรในรูปแบบการรับประทาน อาจเกิดการเสริมฤทธิ์ลดน้ำตาล โดยควรติดตามระดับน้ำตาลและปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ร่วมกัน ส่วนผู้ป่วยโรคตับ โรคไต ควรหลีกเลี่ยง การใช้ในขนาดสูง และการใช้ต่อเนื่องระยะยาว เนื่องจากอาจทำให้ค่าตับและไต เลวร้ายลงได้ สำหรับบุคคลาทั่วไปหากมีอาการไม่พึงประสงค์หลังการใช้อรคนธ์เป็นสมุนไพร เช่น มีผื่นคัน แน่นหน้าอก เวียนศีรษะ และน้ำตาลตกควรหยุดใช้และพบแพทย์โดยด่วน

อ้างอิงอรคนธ์

  1. มัณฑนา นวลเจริญ.พรรณไม้ป่าชายหาด.ปทุมธานี.สำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2552. หน้า 136.
  2. เถาอรคนธ์.หนังสือสมุนไพรจากพื้นที่พรุในจังหวัดนราธิวาส.ฝ่ายโครงการพิเศษ กองแผนงาน สำนักวิจัยการจัดการป่าไม้และผลิตผลป่าไม้กรมป่าไม้.หน้า18.
  3. มูลนิธิมหาวิทยาลัยมหิดล.(2548.)สารานุกรมสมุนไพร เล่ม 5 สมุนไพรพื้นบ้านอีสาน หน้า158.
  4. ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม.เชือกเขาไฟ.หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย.ฉบับพิมพ์ครั้งที่5.หน้า278.
  5. ฐานข้อมูลสมุนไพรไทยเขตอีสานใต้ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. อรคนธ์, [ออนไลน์]. 2025, แหล่งที่มา: https://phar.ubu.ac.th/herb-DetailPhargarden/156.
  6. Jacobs, M. (1953). The genus Tetracera (Dilleniaceae). Reinwardtia, 2, 206 (distribution note for T. indica).
  7. Miranda, F., Astuty, S., Sari, D., & Nurlely, N. (2016). Flavon compound from the ethyl acetate extract of the stem of supit (Tetracera indica Merr.). Molekul, 11(2), 103–109.
  8. Ogunlakin, A. O., et al. (2022). Phytochemistry and biological activities of Tetracera species. Trends in Phytochemical Research, 6(4), 265–284.
  9. Ahmed, Q. U., Lay, J. O., Taher, M., Susanti, D., Mandal, U. K., & Jaffri, J. (2012). Antidiabetic activity of the leaves of Tetracera indica Merr. (Dilleniaceae) in alloxan-induced diabetic rats. Journal of Medicinal Plants Research, 6(49), 5912–5922.
  10. Mohd Fauzi, F., Ho, C. L., et al. (2017). Flavonoids from Tetracera indica Merr. induce adipogenesis and exert glucose uptake activities in 3T3-L1 adipocyte cells. BMC Complementary and Alternative Medicine, 17,