สาเก ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
สาเก งานวิจัยและสรรพคุณ 19 ข้อ
ชื่อสมุนไพร สาเก
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ขนุนสำปะลอ (ทั่วไป), สุกุน (อินโดนีเซีย), อุลุ (ฮาวาย), โคโล (ฟิลิปปินส์)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Artocarpus altilis(Parkinson) Fosberg
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Artocarpus altilis, Artocarpus communis J.R. Forst. & G.Forst, Artocarpus incises (Thunb.) L.f.
ชื่อสามัญ Breadfruit, Breadfruit tree, Bread nut tree
วงศ์ Moraceae
ถิ่นกำเนิดสาเก
สาเก เป็นพืชในวงศ์ขนุน (Moraceae) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในหมู่เกาะโพลินีเซียที่อยู่ในมหาสมุทรอินเดียตะวันออกจรดกับมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก อาทิเช่น นิวซีแลนด์ ตองกา ตูวาลู ฮาวาย และเกาะนอร์ฟอลิก เป็นต้น จากนั้นจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ ไปยังหมู่เกาะอินดิสตะวันตกรวมถึงภูมิภาคเขตร้อนต่างๆ ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศโดยเฉพาะภาคตะวันออก และภาคใต้จะพบได้มากกว่าภาคอื่นๆ
ประโยชน์และสรรพคุณสาเก
- ช่วยปรับสมดุลของร่างกาย
- ใช้เป็นยาระงับประสาททำให้ผ่อนคลายความตึงเตรียด
- ช่วยทำให้กระชุ่มกระชวย
- ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
- ช่วยรักษากามโรค
- ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม
- ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน
- ใช้รักษากลากเกลื้อน
- ช่วยรักษาหิด
- ช่วยรักษาโรคมะเร็ง
- รักษาโรคเหงือก
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
- ช่วยควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ
- รักษาความดันโลหิต
- ช่วยในระบบขับถ่าย
- ช่วยในการลดการดูดซึมน้ำตาล
- ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม
- ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนในหญิงวัยหมดประจำเดือน
- ช่วยให้จิตใจสดชื่นมีชีวิตชีวา
สาเก ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในหลายด้านตั้งแต่อดีตมาแล้ว แต่ประโยชน์ที่เด่นชัดที่สุดคือเป็นผลไม้ที่ถูกนำมารับประทานสดซึ่งมีการศึกษาวิจัยว่าสามารถต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้ดีมีเส้นใยมากและยังมีการนำสาเกมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น นำมาเชื่อม บด อบกรอบ หรือนำไปทำเป็นแป้งทำขนมต่างๆ ส่วนยาวนำมาใช้เป็นชันยาเรือ เนื้อไม้นำมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ สิ่งปลูกสร้างหรือนำมาปลูกเป็นไม้ประดับตามบ้านจัดสรรหรือสวนสาธารณะต่างๆ และในปัจจุบันยังมีการนำสาเกมาสกัดเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว อีกด้วย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้สาเก
ใช้ปรับสมดุลของร่างกาย ช่วยให้กระชุ่มกระชวย ใช้ระงับประสาท ผ่อนคลายความเครียด ทำให้จิตใจสงบโดยใช้เปลือกมาย่างไฟให้แห้งแล้วนำมาต้มกับน้ำดื่ม ใช้รักษากามโรคโดยใช้รากมาต้มกับน้ำดื่ม หรือ ใช้รากสาเก แห้งฝนกินกับน้ำ ใช้ป้องกันความจำเสื่อมป้องกันโรคกระดูกพรุน โดยใช้ผลสุกมารับประทานสดหรือนำไปแปรรูปรับประทานก็ได้
ลักษณะทั่วไปของสาเก
สาเก จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ไม่ผลัดใบสูงได้ประมาณ 10-20 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นทรงพุ่มกว้าง ลำต้นสีน้ำตาลปนเทาถึงสีน้ำตาลเข้มทุกส่วนของสาเกจะมียางสีขาวข้นคล้ายกับยางนุ่น
ใบ ออกเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ ใบเป็นรูปไข่ขอบใบเป็นแฉกเว้าลึกจนเกือบถึงเส้นกลางใบ แผ่นใบหนาเป็นสีเขียวเข้มเป็นมัน กว้างประมาณ 25-35 ซม. ยาวประมาณ 30-40 ซม. เส้นใบและก้านใบมีสีเหลือง มีกาบใบสีเหลืองแกมเขียวหุ้มส่วนที่เป็นยอดปลายอ่อน
ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายยอด ดอกตัวผู้และดอกตัวเมีย อยู่บนต้นเดียวกันโดยดอกจะมีสีเหลือง ช่อดอกตัวผู้มีความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ลักษณะคล้ายกระบองและห้อยลง
ผล เป็นผลรวมรูปไข่ หรือ ค่อนข้างกลม คล้ายกับขนุนเปลือกผลมีสีเขียว ขนาดผลประมาณ 15-20 ซม. เนื้อภายในมีสีเหลืองอมเขียว หรือ ขาว ไม่มีเมล็ด ส่วนอีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีเมล็ดเรียกว่า ขนุนสำปะลอ
การขยายพันธุ์สาเก
สาเกมีสายพันธุ์ทั้งหมดกว่า 120 สายพันธุ์ แต่สำหรับในประเทศไทยนั้นพบได้ 2 สายพันธุ์ คือ
สาเกพันธุ์ข้าวเหนียว ซึ่งมีลักษณะผลใหญ่ เนื้อแน่น เมื่อเชื่อมเนื้อจะเหนียวหนึบ ไม่ร่วนซุยเป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกกันทั่วไปกับ สาเกพันธุ์ข้าวจ้าว ซึ่งมีผลเล็กกว่าสายพันธุ์ข้าวเหนียว เนื้อค่อนข้างหยาบ ร่วนซุย เหมาะแก่การทำแป้ง และในปัจจุบันไม่ค่อยนิยมปลูกกันแล้ว ส่วนการขยายพันธุ์สาเกนั้นสามารถขยายพันธุ์โดยวิธีการสกัดราก ทำได้โดยสกัดรากที่โคนต้นที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3-5 เซนติเมตร แล้วใช้มีดหรือเสียมตัดมีดให้ขาดออกจากกันจากนั้นก็ทิ้งรากไว้ในดิน ต่อมารากที่ถูกตัดจะแตกหน่อออกมาเป็นต้นซึ่งจะได้ต้นเดียวหรือหลายต้นแต่หากแตกหน่อออกมาเป็นต้น ซึ่งจะได้ต้นเดียวหรือหลายต้น แต่หากแตกหน่อออกมาหลายต้นให้สกัดแยกออกเป็นต้นๆ แล้วขุดออกมาปลูกชำในดินปลูกเก็บไว้ในที่ร่มรำไรสัก 2-3 สัปดาห์ ก็สามารถนำไปปลูกต่อได้ และเนื่องจากสาเก เป็นพืชเขตร้อน จึงสามารถปลูกได้ทั่วทุกภาคของประเทศ เติบโตได้ในดินแทบทุกชนิด แต่จะเจริญได้ในดินร่วมที่มีความอุดมสมบูรณ์และแหล่งปลูกสาเกต้องมีปริมาณน้ำฝนต่อปีไม่น้อยกว่า 50 ซม. เป็นพื้นที่ที่ไม่มีน้ำท่วมขัง หรือ ขึ้นแฉะนอกจากนี้สาเกยังเป็นพืชที่ชอบแสงแดดจัดๆ อีกด้วย
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของสาเก ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด อาทิเช่น เมื่อได้ทำการแยกองค์ประกอบทางเคมีจากส่วนสกัดหยาบ CH2CL2 และ Acetone จากรากต้นสาเก ด้วยวิธีการโครมาโทกาฟี สามารถแยกสารประกอบประเภท flavonoid ได้ 2 สารคือ artocarpin และ cycloartocarpin นอกจากนี้ยังแยกสารประกอบประเภท triterpene 2 สาร คือ Friedelin และ 3β-Friedelenol ส่วนอีกการศึกษาวิจัยหนึ่งในต่างประเทศยังระบุว่าพบสารที่สำคัญจากส่วนต่างๆ ของสาเกได้แก่ Cycloaltilisin, Artonin E, Morusin, Chaplashin, Isocyclomullberin, Cyclomullberin, Cycloartocarpin, Cycloartobiloxanthone, Cycloartnol, Artoindonesianin F อีกทั้งสาเกยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการของสาเก (100 กรัม)
พลังงาน |
103 |
กิโลแคลอรี่ |
คาร์โบไฮเดรต |
27.12 |
กรัม |
น้ำตาล |
11 |
กรัม |
เส้นใย |
4.9 |
กรัม |
ไขมัน |
0.23 |
กรัม |
โปรตีน |
1.07 |
กรัม |
น้ำ |
70.65 |
กรัม |
ลูทีนและซีแซนทีน |
22 |
ไมโครกรัม |
0.11 |
มิลลิกรัม |
|
วิตามิน บี2 |
0.03 |
มิลลิกรัม |
0.9 |
มิลลิกรัม |
|
วิตามิน บี6 |
0.457 |
มิลลิกรัม |
วิตามิน บี9 |
14 |
ไมโครกรัม |
29 |
มิลลิกรัม |
|
วิตามิน อี |
0.1 |
มิลลิกรัม |
.5 |
ไมโครกรัม |
|
โคลีน |
9.8 |
มิลลิกรัม |
0.54 |
มิลลิกรัม |
|
แคลเซียม |
17 |
มิลลิกรัม |
แมกนีเซียม |
25 |
มิลลิกรัม |
0.06 |
มิลลิกรัม |
|
ฟอสฟอรัส |
30 |
มิลลิกรัม |
โพแทสเซียม |
490 |
มิลลิกรัม |
2 |
มิลลิกรัม |
|
สังกะสี |
0.12 |
มิลลิกรัม |
การศึกษาทางเภสัชวิทยาของสาเก
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยของสาเก ระบุว่า มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆดังนี้
ฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรีย มีการศึกษาวิจัยโดยมีการนำสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ (artocarpin และ cycloartocarpin) ที่แยกได้จากต้นสาเกไปทดสอบการออกฤทธิ์การยับยั้งเชื้อแบคทีเรียทั้งที่เป็นแกรมบวก ได้แก่ Bacilus subtilis, Staphylococcus aureus, Enterococcus faecalis TISTR 459, Methicillin-Resistant Staphylococcus aureus AYCC 43300, Vancomycin-Resistant Enterococcus faecalis และแกรมลบ ได้แก่ Salmonella typhi, Shigella sonei, Pseudomonas aeruginosa ผลทดสอบการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย พบว่าสารทั้งสองยับยั้งเชื้อแบคทีเรียเฉพาะสายพันธุ์ MRSA ได้ดี
ฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง มีการนำสารบริสุทธิ์ที่แยกได้จากรากสาเกไปทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยทดสอบทั้งหมด 4 เซลล์คือ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ และ มะเร็งช่องปาก จากผลการทดสอบ พบว่าสาร artocarpin ซึ่งแยกได้จากต้นสาเกสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ดี ส่วนในสารประกอบอื่นๆ ไม่แสดงสารออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งใดๆ
ฤทธิ์ลดระดับคอเลสเตอรอล มีการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งในหนูทดลอง ที่มีคอเลสเตอรอลสูงจากการกินอาหารพบว่า มีน้ำหนักของตับและหัวใจที่น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากให้กินสารสกัดจากสาเก (ซึ่งน้ำหนักที่มีปริมาณมากก่อนหน้านี้บ่งบอกถึงการมีสะสมไขมันมมาก) นอกจากนี้ยังพบว่าหนูมีระดับไขมันชนิดดีเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีและเนื้อเยื่อภายในร่างกายไปในทางที่ดีกว่าเดิม อีกด้วย
ฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส มีการศึกษาทดลองฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเมลานินโดยได้ทดลอง กับผิวหนังของหนูตะเภาสีน้ำตาลที่มีสีผิวคล้ำเนื่องจากแสง UV-B ซึ่งผลการทดลองพบว่าสารสกัดจากเนื้อไม้สาเก มีผลการยับยั้งไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งมีความแรงเท่ากับกรดโคจิก สารสกัดจากเนื้อไม้สาเกทำให้ผิวของหนูจางลงได้โดยไม่ก่อให้เกิดอาการอักเสบที่ผิวหนังและไม่มีผลก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์แต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าสารสกัดจากสาเกยังมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ อีกคือ ฤทธิ์ต้านมาลาเรีย ต้านเชื้อรา และเป็นพิษต่อเซลล์เป็นต้น
การศึกษาทางพิษวิทยาของสาเก
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
ในการรับประทานสาเก ในรูปแบบทั่วไปนั้นมีความปลอดภัยเช่นเดียวกับการรับประทานอาหารชนิดอื่น แต่การใช้สาเกเพื่อสรรพคุณสมุนไพร ในการรักษาโรคต่างๆ ตามตำรับตำราต่างๆ ควรใช้ในขนาดและปริมาณที่เหมาะสม ตามที่ได้ระบุไว้อย่างเคร่งครัด เด็กและสตรีมีครรภ์และให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการใช้สาเกเป็นยาโดยเฉพาะรูปแบบการรับประทานเนื่องจากปัจจุบันไม่มีข้อมูลความปลอดภัย ส่วนผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ ควรระมัดระวังในการรับประทานสาเก เพราะสาเกอาจส่งผลทำให้ความดันลดต่ำเกินไป นอกจากนี้สาเกยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีเลือดออก ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลือดออกไม่ควรรับประทานสาเกมากจนเกินไป
เอกสารอ้างอิง สาเก
- นิดดา หงส์วิวัฒน์และทวีทอง หงส์วิวัฒน์. สาเก ในผลไม้ 111 ชนิด. คุณค่าอาหารและการกิน. กทม. แสงแดด. 2550 หน้า 245.
- สุชาดา จันทร์พรหมมา, ฉัตรชนก กะราลัย, อัครวิทย์ กาญจนโอภาษ. การศึกษาสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจากรากต้นสาเกและรากต้นจำปาดะ. รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ประจำปี 2549. 46 หน้า
- พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ และคณะ. ทรัพยากรพืชในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2: ไม้ผลและไม้ผลเคี้ยวมัน. กทม. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย. 2544. หน้า 105.
- สาเก ประโยชน์ต่อสุขภาพ. พบแพทย์ดอทคอม (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก http://www.pobpad.com
- Patil et al., 2002 A.D. Patil, A.J. Freyer, L. Killmer, P. Offen, P.B. Taylor, B.J. Votta, R.K. Johnson A new dimeric dihydrochalcone and a new pernylated flavone from the bud covers of Aetocarpus altilis: potent inhibitors of cathepsin K J.Nat. Prod.,65,pp.624-627.
- Chen et al., 1993 C.C. Chen, Y.L. Huang J.C. Ou, C.F. Lin, T.M. Pan Three new prenylflavonea from Artocarpin altilis J.Nat.Prod., 56,pp.1594-1597.
- Jagtap and Bapat 2010 U.B. Jagtap V.A. Bapat Artocarpus: a review of its traditional uses, phytochemistry and pharmacology J. Ethnopharmacol., 129,pp. 142-166.
- Boonpong et al., 2007 S. Boonpong A. Baramee P. Kittakoop P. Pakawan Antitubercular and antiplasmodial prenylated flavones from the roots of artocarpus altilis Chiang Mal J. Sci., 34, pp. 339-344.
- Altman and Zito, 1976 L.J. Altman S.w. Zito Sterols and triterpenes from the fruite of artocarpus altilis Phytochem.,15 pp. 829-830.