ตะขาบหิน ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

ตะขาบหิน งานวิจัยและสรรพคุณ 16 ข้อ

ชื่อสมุนไพร ตะขาบหิน
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ตะขาบบิน, ตะขาบปีนกล้วย, ตะขาบทะยานฟ้า, ผักเปลว, เพว, เฟอ (ภาคกลาง)ล ว่านตะขาบ, ว่านตะเข็บ (ภาคเหนือ), แงกัดเช่า (จีน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Homalocladium playcladum (F.Muell.) L.H.Bailey
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Muehlenbeckia platyclada (F.v.Muell.) Meissn.
วงศ์ POLYGONACEAE


ถิ่นกำเนิดตะขาบหิน

ตะขาบหิน จัดเป็นพืชในวงศ์ผักไผ่ (POLYGONACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิม บริเวณหมู่เกาะทางตะวันตก ในเขตร้อนของมหาสมุทรแปซิฟิก เช่นในปาปัวร์เซีย นิวกินี และหมู่เกาะโซโลมอน จากนั้นจึงถูกนำไปปลูกในเขตร้อนต่างๆ ของโลก แล้วจึงมีการแพร่กระจายพันธุ์ไปทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยพบตะขาบหิน ได้ทั่วทุกภาคของประเทศ บริเวณชายป่าทั่วไป หรือ ตามที่รกร้างว่างเปล่า สองข้างทาง หรือ มีการนำมาปลูกเป็นไม้ประดับตามอาคารสถานที่ต่างๆ


ประโยชน์และสรรพคุณตะขาบหิน

  1. ใช้แก้ร้อนใน
  2. แก้ไอเนื่องจากปอด
  3. แก้เจ็บคอ
  4. แก้เจ็บอก
  5. ช่วยดับพิษต่างๆ เช่น พิษเลือด พิษร้อน พิษฝี
  6. แก้ฝีในปอด
  7. ใช้ระงับปวดภายนอก
  8. แก้โรคผิวหนังเจ็บ
  9. แก้ผื่นคัน
  10. แก้งูสวัด
  11. แก้ฝีตะมอย
  12. แก้น้ำเหลืองเสีย 
  13. แก้แมลงสัตว์กัดต่อย ใช้ถอนพิษแมงป่องและตะขาบ
  14. แก้ฟกบวม
  15. แก้เคล็ดขัดยอก
  16. แก้หูน้ำหนวก 

           ตะขาบหิน ถูกนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับตามอาคารบ้านเรือน วัด และสถานที่ต่างๆ หรือ ถูกนำมาใช้ประดับตามสวนสาธารณะและสวนหย่อมต่างๆ เนื่องจากตะขาบหิน มีรูปทรงต้นที่แปลกตาและมีผลสีแดงสด สวยงาม อีกทั้งยังเป็นพันธุ์ไม้ที่เจริญเติบโตรวดเร็ว ปลูกเลี้ยงง่ายและยังทนต่อสภาวะแห้งแล้งอีกด้วย


รูปแบบและขนาดวิธีใช้

  • ใช้แก้ร้อนใน ดับพิษต่างๆ พิษเลือด พิษร้อน พิษฝี พิษฝีในปอด แก้ไอ แก้เจ็บคอ เจ็บอก โดยนำทั้งต้นตะขาบหินมาต้มกับน้ำดื่ม
  • ใช้รักษาอาการฟกช้ำบวม เคล็ดขัดยอก ใช้ถอนพิษตะขาบ แมงป่อง โดยใช้ต้นและใบตะขาบหินสดนำมาตำผสมกับเหล้า นำมาพอก หรือ เอาแต่น้ำมาใช้ทา
  • ใช้รักษาหูน้ำหนวก โดยนำใบตะขาบหิน สดนำมาตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าขาว คั้นเอาน้ำหยอดหู
  • ใช้แก้โรคผิวหนังเจ็บ ผื่นคัน น้ำเหลืองเสีย งูสวัด ฝีตะมอย โดยนำทั้งต้นตะขาบหินสดมาตำพอกบริเวณที่เป็น หรือ เอาน้ำที่ได้ทาก็ได้
  • ใช้ทาแผลจากแมลงสัตว์กัดต่อย โดยนำใบตะขาบหินสดมาทา หรือ ขยี้ทาบริเวณที่เป็น


ลักษณะทั่วไปของตะขาบหิน

ตะขาบหิน จัดเป็นไม้กึ่งพุ่ม หรือ ไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นตั้งตรง สูง 1-2 เมตร ต้นอ่อนแบนบางคล้ายริบบิ้น กว้าง 0.5-1.5 เซนติเมตร เป็นสีเขียว มองเห็นเป็นข้อปล้อง เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นกลมขึ้นและจะมีสีน้ำตาล ลำต้นแตกกิ่งก้านจำนวนมาก

           ใบตะขาบหิน เป็นใบเดี่ยวมีขนาดเล็กออกแบบเรียงสลับตามข้อปล้องของลำต้น หลุดร่วงได้ง่าย ใบตะขาบหินมีลักษณะคล้ายลำต้นเป็นรูปรีรูปขอบขนานแกมรี หรือ รูปหอกกว้าง 0.5-1.5 เซนติเมตร ยาว 2-5 เซนติเมตร โคนใบสอบปลายใบแหลม ขอบใบเรียง หรือ อาจเป็นหยักเล็กน้อย แผ่นใบค่อนข้างบาง มีสีเขียวเข้ม หลังใบและท้องใบเรียบ เนื้อใบอ่อนนิ่มมักเปราะหักง่าย ไม่มีก้านใบ โดยตะขาบหิน มักจะออกใบน้อย หรือ อาจไม่มีเลย

           ดอกตะขาบหินออกเป็นช่อสั้นๆ โดยมักจะออกเป็นช่อกระจุกเล็กๆ บริเวณข้อของลำต้น เป็นแบบแยกเพศต่างต้น ซึ่ง 1 ช่อดอกจะมีดอกย่อย 3-6 ดอก ดอกย่อยมีขนาดเล็กมากเป็นสีขาวนวล สีเหลืองอ่อน หรือ เขียวอ่อน กลีบดอกมี 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวย ปลายแยกเป็น 5 แฉกเป็นรูปรี แกมรูปขอบขนาน มีขนาดกว้าง 0.5-1 เซนติเมตร ยาว 1-1.5 เซนติเมตร มีเกสรเพศผู้ล้อมรอบเกสรเพศเมียอยู่จำนวน 7-8 อัน ก้านดอกสั้น

           ผลตะขาบหิน เป็นผลสดเป็นแบบเปลือกแข็ง มีเนื้อฉ่ำน้ำลักษณะเป็นรูปทรงกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 มิลลิเมตร ผิวผลเรียบเกลี้ยงแบ่งเป็นพู 5 พู ผลตะขาบหิน อ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดง เนื้อผลมีสีแดงมีรสหวานและมีเมล็ดสีเหลือง ลักษณะเป็นสัน 3 สัน อยู่ 1 เมล็ด

ตะขาบหิน
ตะขาบหิน

การขยายพันธุ์ตะขาบหิน

ตะขาบหิน สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ดและการปักชำ แต่วิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ การปักชำเนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวก ประหยัด และเกิดต้นใหม่เร็วกว่าวิธีการเพาะเมล็ด สำหรับวิธีการปักชำตะขาบหิน นั้นสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการปักชำไม้พุ่ม หรือ ไม้เถาเนื้ออ่อนชนิดอื่นๆ เช่น กระบองเพชร หรือ บอระเพ็ด


องค์ประกอบทางเคมี

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนใบและส่วนเหนือดินของตะขาบหิน ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด อาทิเช่น มีรายงานการศึกษาวิจัยระบุว่า จากการแยกทางเคมีด้วยวิธี bioassay-guided fractionation โดยใช้เมทานอล เอทานอล และบิวทานอล สกัดจากส่วนใบและส่วนเหนือดินของตะขาบหิน พบสาร Morin-3-O-α-rhamnopyranoside, Kaempferol-3-O-β-glucopyranoside, Quercetin-3-O-α-rhamnopyranoside, Catechin, β-sitosterol, β-sitosterol glucoside, stigmasterol, β-amyrin, Lupeol, p-coumaric acid, Linoleic acid, Afzelin, Quercitrin, Shikimic acid, Gallic acid, Protocatechuic acid, Miquelianin และ Rutin เป็นต้น

โครงสร้างตะขาบหิน

.การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของตะขาบหิน

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากส่วนเหนือดินของตะขาบหินระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการดังนี้

           มีรายงานการศึกษาวิจัยในการทดลองเกี่ยวกับฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง superoxide anion และการปล่อย neutrophil elastase ของสารกลุ่มฟลาโวนอยด์ที่แยกได้ จากสารสกัดตะขาบหิน จากส่วนเหนือดินของตะขาบหิน morin-3-O-rhamnoside, kaempferol glycosides, quercetin glycoside, (+)-catechin) พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง superoxideanion และลดการปล่อย elastase ของนิวโทรฟิลมนุษย์ในหลอดทดลอง

           ส่วนอีกการศึกษาหนึ่งระบุว่าสารสกัด methanol และ chloroform จากส่วนเหนือดินของตะขาบหินมีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียแกรมบวก เช่น Staphylococcus aureus และ Bacillus subtilis รวมถึงแบคทีเรียแกรมลบ เช่น Salmonella typhi ได้

           นอกจากนี้มีรายงานการศึกษาวิจัยสารสกัดเอทานอลจากส่วนใบของตะขาบหิน โดยการป้อนสารสกัดแก่หนูทดลองทางปาก ในขนาด 100, 200, 400 mg/kg (p.o.) พบว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบและบรรเทาอาการปวดในการทดสอบหลายแบบ โดยพบการลด acetic-acid writhing, ลดเวลา licking ใน formalin test (both phases ลดได้ที่ 200-400 mg/kg), เพิ่ม latency ใน hot-plate test (ที่ 400 mg/kg), ลด edema และการเคลื่อนตัวของ leukocyte (ที่ 200-400 mg/kg)เป็นต้น


การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของตะขาบหิน

มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยา (การกัดพิษเฉียบพลัน) ของสารสกัดจากส่วนเหนือดินของตะขาบหิน โดยป้อนสารสกัดทางปากแก่หนูทดลองในขนาด 200 mg/kg.(P.O) พบว่ามีค่า LD50=267 g/kg (P.O)


ข้อแนะนำและข้อควรระวัง

สำหรับการใช้ตะขาบหิน เป็นยาสมุนไพรในการบำบัดรักษาโรคต่างๆ นั้น ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาดและปริมาณที่ได้กำหนดไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาดที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้


เอกสารอ้างอิง ตะขาบหิน
  1. อนุกรมวิธานพืช อักษร ต เล่ม 1 ฉบับราชบัณฑิตยสภา-กรุงเทพฯ:สำนักราชบัณฑิตยสถาน 2562. 400 หน้า
  2. ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์. ตะขาบหิน (Ta Khap Hin) หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. หน้า 120.
  3. สุธรรม ตรีกลุ.(2552). องค์ความรู้เรื่องพืชป่าที่ใช้ประโยชน์ทางภาคเหนือของไทยเล่ม 2. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
  4. ฐานข้อมูลสมุนไพรไทย เขตอีสานใต้ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ตะขาบบิน, [ออนไลน์]. 2025, แหล่งที่มา https://phar.ubu.ac.th/herb-DetailPhargarden/46.
  5. Royal Botanic Gardens, Kew. (n.d.). Muehlenbeckia platyclada (F.Muell.) Meisn. In Plants of the World Online. Retrieved
  6. Fagundes, L. L., Vieira, G. D.-V., Pinho, J. J. R. G., Yamamoto, C. H., Alves, M. S., Stringheta, P. C., & Sousa, O. V. (2010). Pharmacological properties of the ethanol extract of Muehlenbeckia platyclada (F. Muell.) Meisn. leaves. International Journal of Molecular Sciences, 11(10), 3942-3953.
  7. Nuria,MC.(2010).Antibacterial aetivities.from jangkang(Homalocldium platycladum F.Muell.) Bailey) leaves.Mediagro,6(2)
  8. Yen, C.-T., Hsieh, P.-W., Hwang, T.-L., Lan, Y.-H., Chang, F.-R., & Wu, Y.-C. (2009). Flavonol glycosides from Muehlenbeckia platyclada and their anti-inflammatory activity. Chemical & Pharmaceutical Bulletin, 57(3), 280-282.
  9. Siriwatanametanon, N., et al. (2010). In vitro anti-inflammatory, anticancer and antioxidant activities (thesis/paper including Thai medicinal plants panel).