นุ่น ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
นุ่น งานวิจัยและสรรพคุณ 27 ข้อ
ชื่อสมุนไพร นุ่น
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น งิ้วดอกขาว, งิ้วสร้อย, งิ้วสาย, งิ้วน้อย (ภาคกลาง), งิ้ว (ภาคเหนือ), ต่อเหมาะ (กะเหรี่ยง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ceiba pentandra (L.) Gaerth.
ชื่อสามัญ Silk cotton, White silk cottontree, Ceiba
วงศ์ MALVACEAE-BOMBACACEAE
ถิ่นกำเนิดนุ่น
นุ่น จัดเป็นพืชเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ บริเวณป่าเขตร้อนของประเทศเปรูต่อมาจึงได้มีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังบริเวณใกล้เคียง และได้ถูกนำไปปลูกยังเขตร้อนอื่นๆ ของโลกเช่น ในแอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทยสามารถพบนุ่น ได้ทั่วทุกภาคของประเทศโดยในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะนิยมปลูกไว้ใช้สอยในครัวเรือนตามหัวไร่ปลายนา ส่วนในภาคกลางและภาคใต้ เช่น กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และนครศรีธรรมราช จะมีการปลูกกันเป็นแบบการค้า
ประโยชน์และสรรพคุณนุ่น
- ใช้บำรุงกำหนด
- แก้ไข้
- แก้บิด บิดเรื้อรัง
- แก้ร้อนใน
- ช่วยขับปัสสาวะ
- ทำให้อาเจียน
- แก้หืด
- แก้หวัดในเด็ก
- แก้นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- แก้อาหารเป็นพิษ
- เป็นยาบำรุงกำลัง
- แก้ท้องเสีย ท้องร่วง
- แก้พิษแมลงป่อง
- แก้โรคเบาหวาน
- รักษาลำไส้อักเสบ
- ใช้เป็นยาระบาย
- แก้ระดูขาว
- แก้ฟกช้ำ
- ใช้พองฝี ให้แตกหนอง
- แก้โรคเรื้อน
- แก้ไอ
- แก้เสียบแหบ
- แก้หวัดลงท้อง
- แก้ท่อปัสสาวะอักเสบ
- แก้เคล็ดบวม
- ใช้เป็นยาสมาน
- แก้ปวด
นุ่น ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ หลายประการอาทิเช่น ฝักนุ่นที่ยังอ่อน (เนื้อในผลยังไม่เป็นปุยนุ่น) สามารถนำมาใช้เป็นอาหาร โดยสามารถนำมารับประทานสดๆ หรือ ใส่ในแกง ส่วนชาวกะเหรี่ยง ยังมีการนำช่อดอกอ่อนมาลวกกินกับน้ำพริกอีกด้วย เนื้อไม้ใช้ทำกระสวยทอผ้า ส้นรองเท้า นำมาบดทำไส้ในไม้อัด หรือ นำมาทำเยื่อกระดาษ ขนที่ติดอยู่ที่เมล็ดที่เราเรียกว่า “นุ่น ” สามารถนำมาใช้ยัดหมอน ฟูก เบาะ และที่นอนได้ เมล็ดใช้สกัดทำเป็นนำมันพืช กากที่เหลือก็สามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ได้ และไส้นุ่น นำมาใช้เพาะเห็ดฟางได้อีกด้วย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้เป็นยาแก้ร้อนใน แก้ไข้ แก้บิด บำรุงกำหนัด ขับปัสสาวะ แก้หืด แก้หวัดในเด็ก แก้นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ แก้อาหารเป็นพิษ โดยนำเปลือกต้นนุ่น มาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง แก้บิด แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้ลำไส้อักเสบ โดยนำรากมาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้โรคเบาหวาน ทำให้อาเจียน โดยนำรากสดมาคั้นเอาน้ำกิน
- ใช้ขับปัสสาวะ โดยนำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำร่วมกับหมาก ลูกจันทน์เทศ และน้ำตาลแล้วนำน้ำที่ได้มาดื่ม
- ใช้แก้ท่อปัสสาวะอักเสบ โดยนำใบมาตำผสมกับหัวหอม และขมิ้นชัน แล้วผสมกับน้ำดื่ม
- ใช้เป็นยาพอกฝีให้แตกหนอง โดยนำใบมาเผาไฟผสมกับขมิ้นอ้อย และข้าวสุก ใช้พอกบริเวณที่เป็นฝี
- ใช้แก้พิษแมลงป่อง โดยนำรากสดมาทุบพอกบริเวณที่โดนต่อย
ลักษณะทั่วไปของนุ่น
นุ่น จัดเป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบในฤดูแล้ง พุ่มแผ่กว้างบริเวณยอด ลำต้นกลม เปลาตรง ผิวลำต้นสีเขียว สูง 8-30 เมตร มีหนามตามโคนต้น มักแตกกิ่งขนานกับพื้นดิบรอบต้น
ใบนุ่น ออกเรียงสลับ โดยจะเป็นในประกอบแบบนิ้วมือ ใน 1 ช่อใบจะมีใบย่อยประมาณ 5-11 ใบ และมีก้านช่อใบยาว 8-20 เซนติเมตร ซึ่งลักษณะของใบย่อยจะมีขนาดกว้าง 1-1.5 นิ้ว และยาว 2-5 นิ้ว เป็นรูปขอบขนานแกมใบหอก หรือ รูปหอกเรียวแหลม โคนใบ และปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบเป็นสีเขียว ก้านใบ และเส้นก้านใบเป็นสีแดงอมน้ำตาล มีก้านใบย่อยยาว 0.3-0.5 เซนติเมตร
ดอกนุ่น ออกเป็นช่อกระจะ บริเวณซอกใบ และปลายกิ่ง โดยจะออกเป็นกระจุกอัดแน่น มีขนาด 2-3.5 เซนติเมตร ใน 1 ช่อจะมีดอกย่อยจำนวนมาก ลักษณะดอกย่อยจะเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 5 กลีบ ยาว 1-1.5 นิ้ว กลีบดอกมีสีขาวแกมเหลือง เชื่อมติดกันที่ฐาน กลีบดอกนอกเป็นสีขาวนวล และมีขน ด้านในสีเหลือง มีเกสรตัวผู้ 5-6 อัน
ผลนุ่น เป็นรูปนาวรี หรือ รูปกระสวย โคนและปลายผลแหลม เปลือกแข็ง มีสีเขียวแต่เมื่อผลแห้งจะเป็นสีน้ำตาล ผลมีขนาดกว้างประมาณ 2 นิ้ว และยาว 4-5 นิ้ว เมื่อผลแห้งจะแตกออกได้เป็น 5 พู ภายในผลจะมีนุ่นสีขาวเป็นปุยอยู่ และมีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดรูปร่างกลม เป็นสีดำ หรือ สีน้ำตาลดำ มีเส้นใยสีขาวคล้ายเส้นไหมยาวหุ้มเมล็ดเป็นปุย
การขยายพันธุ์นุ่น
นุ่น สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการเพาะเมล็ด และการปักชำ โดยมีวีการดังนี้
- การปลูกด้วยกล้าจากเมล็ดให้ทำการเพาะกล้าในกระบะเพาะ หรือ ในถุงพลาสติก จนกล้ามีความสูง 80-150 ซม. หรือ มีอายุ 6-12 เดือน จึงสามารถย้ายลงปลูกในไร่
- ส่วนการปลูกด้วยกิ่งปักชำ ให้เลือกตัดกิ่งแขนงของกิ่งใหญ่ไปปักชำในแปลงปักชำที่เตรียมดินอย่างดี โดยให้มีระยะห่างกัน ประมาณ 10-15 ซม. และหมั่นรดน้ำดูแลให้ดี ประมาณ 2-4 เดือน ก็สามารถนำไปปลูกในแปลงได้
- ส่วนในการปลูกควรมีการไถพรวน และปรับพื้นที่เช่นเดียวกับการปลูกไม้ยืนต้นอื่นๆ และควรเตรียมขุดหลุมปลูกขนาด 50x50x50 ซม. และให้เว้นระยะปลูก 6x6 เมตร จนถึง 8x8 เมตร
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยถึงองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดเมทานอลจากส่วนใบ และเปลือกต้นของนุ่น ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญดังนี้ Cleomyscosin A, Heptadecenoic acid, Hexadecanoic acid, a-tocophero, β-sitosterol, Cyanidin 3-O-glucoside, lupenone, β-tocopherol ส่วนสารสกัดเมทานอลจากส่วนผล และรากของนุ่น พบสาร Verbascoside, Tricine, Palmitoleic acid, β-tocopherol, vavain-3'- O - β-D -glucoside, Cinchonaine la, Luteolin-7- O - β -D-glucoside
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของนุ่น
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารสกัดนุ่น จากส่วนต่างๆ ระบุว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยสามารถลดอาการบวมน้ำที่อุ้งเท้าที่เกิดจากราคาจีแนน ซึ่งมีการทดสอบอาการบวมน้ำที่อุ้งเท้าหลังของหนูทดลองที่เกิดจากคาราจีแนน โดยการให้สารสกัดน้ำจากส่วนใบ และรากในขนาด 200 และ 400 มก./กก. และใช้มาตรฐานยา ASA ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบในขนาด 50 มก./กก. ซึ่งขนาดยาทั้งหมดนี้ถูกให้ 1 ชั่วโมงก่อนฉีดคาราจีแนน 50 ไมโครลิตร (1 มล./กก.;1% ในน้ำเกลือโดยปริมาตร/ปริมาตร) โดยฉีดเข้าใต้ผิวหนังเข้าทางด้านข้างฝ่าเท้าด้านหลัง และยังมีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ โดยการทดสอบการกำจัดอนุมูลอิสระ DPPH, DPPH พบว่าสารสกัดเมทานอลจากส่วนราก และเปลือกต้นของนุ่น มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ดี
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของนุ่น
ไม่มีข้อมูล
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
ในการใช้นุ่น เป็นสมุนไพรเพื่อบำบัดรักษาโรคต่างๆ นั้น ควรต้องใช้อย่างระมัดระวัง เช่นเดียวกับการใช้สมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยควรใช้ในขนาด และปริมาณที่เหมาะสมตามที่ได้ระบุไว้ในตำรับตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้ในขนาด และปริมาณที่มากจนเกินไป หรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
เอกสารอ้างอิง นุ่น
- ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม. “นุ่น”. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5. หน้า 400-401.
- ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ 2551 พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยงที่ตำบลบ้านจันทร์ และแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ วิทยานิพนธ์ (วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 271 หน้า
- กัณหา บุญพรหมมา. นุ่น....การปลูกและการจัดการ. เอกสารเผยแพร่ประชาสัมพันธ์. กรมส่งเสริมการเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- นุ่น .ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://www.phargarden.com/main.php?action=viewpag&pid=62
- Madhuri S, Pandey G, Verma KS. Antioxidant, immunomodulatory and anticancer activities of Emblica of cinalis: an overview. Int Res J Pharm 2011; 2: 38–42.
- Arbonnier M. Arbres, arbustes et lianes d’Afrique de l’Ouest. Éditions Quae, ed. 4ème. Hors Collection: CIRAD Fr, 2019, 775..
- Traore TK, Tibiri A, Ouédraogo N et al. Ethnopharmacological plants used to treat hepatitis and their anti-oxidant activity of district of Bobo-Dioulasso (Burkina Faso). Int J Pharmacol Res 2018; 8: 15
- Boton F, Debiton E, Yedomonhan H, Avlessi F, Teulade J, Sohounhloue D. α-Glucosidase inhibition, antioxidant and cytotoxicity activities of semi-ethanolic extracts of Bridellia ferruginea benth and Ceiba pentandra L. Gaerth. Res J Chem Sci. 2012;2(12):31-36
- Gopa B, Bhatt J, Hemavathi KG. A comparative clinical study of hypolipidemic ef cacy of Amla (Emblica of cinalis) with 3-hydroxy-3-methylglutaryl-coenzyme-A reductase inhibitor simvastatin. Indian J Pharmacol 2012; 44: 238–42
- Belemlilga MB, Traoré TK, Boly GAL et al. Evaluation of antiox-idant, anti-in ammatory and analgesic activities of leaves of Saba senegalensis (ADC) Pichon (Apocynaceae). Eur J Med Plants 2019; 27: 1–12