มะเขือขื่น ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย
มะเขือขื่น งานวิจัยและสรรพคุณ 22 ข้อ
ชื่อสมุนไพร มะเขือขื่น
ชื่ออื่นๆ/ชื่อสมุนไพร มะเขือแจ้, มะเขือคำ, มะเขือขันคำ, มะเขือคางกบ, มะเขือหิน (ภาคเหนือ), เขือหิน, เขือเพา (ภาคใต้), มะเขือหิน (ภาคอีสาน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Solanum aculeatissimum Jacq
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Solanum cavaleriei H.Lev.&Vaniot, Solanum khacianum, solanum xanthocarpum Schrad&Wendl.
ชื่อสามัญ Dutch eggplant, Cock roach berry
วงศ์ SOLANACEAE
ถิ่นกำเนิดมะเขือขื่น
มะเขือขื่น จัดเป็นพันธุ์พืชในวงศ์มะเขือ (SOLANACEAE) ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมบริเวณเขตร้อนของทวีปเอเชียตั้งแต่ภูมิภาคเอเชียใต้มาจนถึงคาบสมุทรอินโดจีน เช่น ในศรีลังกา อินเดีย เนปาล บังกลาเทศ พม่า ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย กัมพูชา และเวียดนาม เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยสามารถพบมะเขือขื่น ได้ทั่วไปทุกภาคของประเทศบริเวณตามที่รกร้าง ว่างเปล่า ทุ่งหญ้า ป่าเปิด หรือ อาจมีการนำมาปลูกบริเวณรอบๆ บ้านและเรือกสวนไร่นา ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 600-2,300 เมตร
ประโยชน์และสรรพคุณมะเขือขื่น
- ใช้ขับเสมหะ
- ล้างเสมหะในลำคอ
- ช่วยขับน้ำลายกระทุ้งพิษไข้
- แก้ไข้ ที่มีพิษร้อน
- แก้ไข้สันนิบาต
- แก้ไอ
- แก้น้ำลายเหนียว
- ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
- แก้ซางในเด็ก
- แก้กามตายด้าน
- แก้ลูกอัณฑะอักเสบ
- แก้ปวดฟัน
- ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย
- ช่วยกัดเสมหะ
- แก้น้ำลายเหนียว
- ช่วยขับลมขึ้น
- แก้อาการปวดข้อเนื่องจากลมขึ้นติดเกาะ
- แก้ปวดข้อ ไขข้ออักเสบ
- แก้มือเท้าชา
- แก้ไข้สันนิบาต
- ใช้แก้พิษ
- แก้ฝีหนอง
มะเขือขื่นจัดเป็นพันธุ์ไม้พื้นบ้านของไทยอีกชนิดหนึ่ง โดยมีการนำมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
คนไทยตามภาคต่างๆ มีการนำผลมะเขือขื่น ที่แก่แล้วมาใช้ปรุงอาหาร โดยใช้เฉพาะส่วนผิวนอกและเนื้อเท่านั้น ซึ่งอาจใช้กินเป็นผักจิ้มร่วมกับน้ำพริกต่างๆ หรือ ปลาร้า หรือ อาจใช้เนื้อมะเขือขื่นในการปรุงเครื่องจิ้ม เช่น เยื่อเคยทรงเครื่อง หรือ นำมาใช้ปรุงรสอาหาร เช่น ส้มตำอีสาน ใช้ตำกับผลตะโกและมะขาม ใช้ยำเตาในภาคเหนือและภาคอีสาน ในภาคกลางใช้เนื้อมะเขือขื่นเป็นผักใส่แกง เช่น แกงส้ม มะเขือขื่นกับเห็ดลวก แกงป่าเนื้อ แกงป่านก และยังมีการนำเมล็ดมะเขือขื่นมาใส่ในน้ำพริกกะปิ อีกด้วย
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
- ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย กัดเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว แก้ไอ แก้ไข้สันนิบาต โดยนำผลมะเขือขื่นสดมารับประทาน
- ใช้แก้ไข้ ที่มีพิษร้อน ช่วยกระทุ้งพิษไข้ ขับเสมหะ ล้างเสมหะในลำคอ กัดเสมหะขับน้ำลาย แก้น้ำลายเหนียว แก้ไอ แก้ไข้ สันนิบาต ลดไขมันในเลือด โดยนำรากมะเขือขื่น มาต้มกับน้ำดื่ม
- ใช้ขับลมขึ้น แก้อาการปวดข้อเนื่องจากลมขึ้นติดเกาะ แก้ไขข้ออักเสบ มือเท้าชา โดยผลสดมะเขือขื่น 770-100 กรัม นำมาตุ๋นกับไตหมูรับประทาน
- แก้อัณฑะอักเสบ ด้วยการใช้รากมะเขือขื่น 15 กรัม หญ้าแซ่ม้า 15 กรัม และต้นทิ้งถ่อน นำมารวมกันต้นกับน้ำดื่ม
- ใช้แก้เด็กเป็นโรคซาง โดยนำรากมะเขือขื่น มาฝนใช้เป็นกระสายยาดื่ม
- ใช้แก้อาการปวดฟัน โดยนำรากมะเขือขื่น 15 กรัม นำมาต้มเอาน้ำอมกลั้วปากบ่อยๆ
- ใช้แก้พิษ แก้ฝีหนอง โดยนำใบมะเขือขื่นสดมาตำพอกบริเวณที่เป็น
ลักษณะทั่วไปของมะเขือขื่น
มะเขือขื่น จัดเป็นไม้ล้มลุกกึ่งไม้พุ่ม หรือ ไม้พุ่มขนาดเล็กมีความสูงของลำต้นประมาณ 1-2 เมตร แตกกิ่งไม้เป็นระเบียนในระดับต่ำ ลำต้นมีหนามแหลมขนาดประมาณ 1.5x2-10 มิลลิเมตร ลำต้นมีสีม่วง หรือ สีเขียวกิ่งก้านเป็นรูปทรงกระบอกตั้งตรง มีขนอ่อนละเอียดรูปดาวยาวประมาณ 2 มิลลิเมตร ขึ้นอยู่ทั่วไป เนื้อไม้แข็งแต่เปราะง่าย
ใบมะเขือขื่นเป็นใบเดี่ยว ออกแบบเรียงสลับบริเวณกิ่งและก้านลักษณะของแผ่นใบมีหลายรูปร่าง แล้วแต่สายพันธุ์ย่อย แต่ที่พบมากนั้นแผ่นใบมักจะเป็นรูปไข่กว้าง 4-12 เซนติเมตร ยาว 4-10 เซนติเมตร โคนใบเป็นรูปหัวใจ ปลายใบแหลม หรือ มน ฐานใบเยื้องกันเล็กน้อย ขอบใบหยักเว้าเป็นพูตื้นๆ ประมาณ 5-7 พู แผ่นใบบางสากมือมีขนรูปดาวทั้งสองด้านและหลังใบเป็นสีเขียว ท้องใบสีอ่อนกว่าและมีหนามแหลมตามเส้นกลางใบ ส่วนก้านใบอ้วนสั้น ยาว 3-7 เซนติเมตร
ดอกมะเขือขื่น ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะ ใน 1 ช่อดอกจะมีดอกย่อยประมาณ 4-6 ดอก หรือ บางทีอาจออกเป็นดอกเดี่ยวบริเวณซอกใบ สำหรับก้านช่อดอกจะยาวประมาณ 1 เซนติเมตร สำหรับลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปหอกมี 5 กลีบ เป็นสีม่วงขนาดประมาณ 4x14 มิลลิเมตร มีขนนุ่มขึ้นปกคลุมโคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวยสั้น ส่วนปลายแยกเป็น 5 แฉก ส่วนกลีบเลี้ยงสีเขียว มีโคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็นแฉก 5 แฉก เป็นรูปหอกแรมรูปขอบขนานขนาด 5x15 มิลลิเมตร อับเรณูเป็นรูปหอก เรียวแหลม ขนาดประมาณ 6-7 มิลลิเมตร รังไข่เกลี้ยงและมีก้านดอกย่อยยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร
ผลมะเขือขื่น เป็นผลเดี่ยวรูปทรงกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-5 เซนติเมตร ผิวผลเรียบเป็นมัน เปลือกผลเหนียว ผลอ่อนผิวเป็นสีเขียวเข้ม มีลาวขาวแพรก เมื่อผลสุกจะเป็นสีเหลืองสด เปลือกผลค่อนข้างหนา ชั้นเนื้อผลบาง มีสีเขียวอ่อนอมสีเหลืองใส มีกลิ่นเฉพาะและมีรสขื่น ภายในผลจะมีเมล็ดรูปกรมแบบขนาดเล็กสีน้ำตาลอ่อน จำนวนมาก เมล็ดมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-2.8 มิลลิเมตร
องค์ประกอบทางเคมี
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมีของสารสกัดจากส่วนเหนือดินของมะเขือขื่น ระบุว่าพบสารออกฤทธิ์ที่สำคัญหลายชนิด ดังนี้ Solanine, Solasonine, Solamargine, Solasodine, Chlorogenic acid, Caffeic acid, p-Coumaric acid, Ferulic acid, Armaosigenin, Vanillin, N-trans-feruloyltramine, Sinapaldehyde, threo-Guaiacyiglycerol, 4-Hydroxy-3-methoxycinnamaldehyde
การศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของมะเขือขื่น
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของสารสกัดมะเขือขื่น จากส่วนเหนือดินของมะเขือขื่นระบุว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาต่างๆ ดังนี้
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยระบุว่าสารผสมของ stigmasterol และ oterol บางชนิด ที่แยกได้จากสารสกัดเฮกเซน จากส่วนเหนือดินของมะเขือขื่นมีฤทธิ์ยับยั้งไลเปส โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 683-18±1.34 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร และสาร solasonine ที่แยกได้จากสารสกัดหยาบเอ็น-บิวทานอล ก็มีฤทธิ์ยับยั้งไลเปสปานกลาง โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 160.95±0.82 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร
ส่วนอีกการศึกษาหนึ่งระบุว่าสาร solamargine และ solasonine ที่แยกได้จากมะเขือขื่น มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น
การศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของมะเขือขื่น
มีรายงานผลการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของมะเขือขื่น ระบุว่าสาร Solanine, Solasonine และ glycoalkaloids อื่นๆ ในมะเขือขื่นมีฤทธิ์เป็นพิษต่อระบบประสาทและระบบทางเดินอาหาร โดยส่วนของพืชที่มีพิษมากที่สุด คือ ผลดิบ เมล็ด และใบ
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
มะเขือขื่น เป็นพืชในวงศ์ SOLANACEAE ที่มีความเป็นพิษ ดังนั้นในการนำมารับประทาน หรือ นำมาใช้เป็นยาสมุนไพร ควรระมัดระวังในการใช้เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งมีรายงานว่าสาร solanine และ solasonine ที่พบในมะเขือขื่น มีความเป็นพิษสูง โดยเฉพาะในผลดิบและเมล็ด ดังนั้นในการนำมาบริโภค หรือ นำมาใช้เป็นสมุนไพรในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการเป็นพิษได้ โดยอาจมีอาการ เวียนศีรษะคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และในกรณีรุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
เอกสารอ้างอิง มะเขือขื่น
- ดร.นิจศิริ เรืองรังสี. ธวัชชัย มังคละคุปต์. มะเขือขื่น (Ma Khuea Kuenl.) หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. หน้า 215.
- เดชา ศิริภัทร. มะเขือขื่น. ความเขียงขื่นที่เปี่ยมรสชาติและคุณประโยชน์. คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 237. มกราคม 2542.
- เพียสิง จะเลินสิน. ตำรับอาหารพระราชวังหลวงพระบาง แปลโดยจินดา จำเริญ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กทม. ผีเสื้อลาว. 2553. หน้า 21-22
- วิทยา บุญวรพัฒน์. มะเขือขื่น. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน. ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. หน้า 430.
- ทิพย์สุดา ตั้งตระกุล. 2541. พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวขมุ ชาวลัวะและชาวถิ่นในบางพื้นที่ของจังหวัดน่านวิทยานิพนธ์ (วิทยาศาสตรมหาบัณฑิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 242 หน้า)
- ฐานข้อมูลสมุนไพรไทยเขตอีสานใต้ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มะเขือขื่น, (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://phar.ubu.ac.th/herb-DetailPhargarden/259.
- Acharya, E., Pokhrel, B., 2006. Ethano-Medicinal Plants Used by Bantar of Bhaudaha, Morang, Nepal, Our Nature 4, p. 96
- Nabeta, K., 1993. XXIII Solanum aculeatissimum Jacq.:in vitro Culture and Production of Secondary Metabolites, in “Biotechnology in Agriculture and Forestry, vol 21. Medicinal and Aromatic Plant V” Y.P.S. Bajaj, Editor. Springer, Berlin Heidelberge, New York, p. 329.
- Saijo, R., Fuke, C., Murakami, K., Nohara, T., Tomimastu, T., 1983. Two Steroidal Glycoside, Aculeatiside A and B, from Solanum aculeatissimum, Phytochemistry 22, p. 733
- Kadkade, P.G., Recinos, J.A., Madrid, T.R., 1979. Studies on the Distribution of Glycoalkaloids in Solanum aculeatissimum, Planta Medica 37, p. 70.